Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1046
GGS:บทที่ 1046 สุดยอดสวนสัตว์ (1)
เมื่อประตูสวนสัตว์จงหยุนได้เปิดออก เหล่านักท่องเที่ยวก็ได้หลั่งไหลเข้าไปกว่าจะหมดก็ต้องใช้เวลาพอสมควร
พวกเขานั้นได้เห็นฟานเว่ยเฉินและซิ่วจงหงออกมาต้อนรับนักท่องเที่ยวในฐานะไกด์ด้วยตัวเอง นี่ทำให้นักท่องเที่ยวค่อนข้างประหลาดใจอย่างมาก
นั่นก็เพราะคนหนึ่งคือระดับหัวหน้าผู้ควบคุมสวนสัตว์แห่งนี้ อีกหนึ่งคือนักฝึกสัตว์และสัตวแพทย์มากฝีมือ
จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะประหลาดใจที่อยู่ๆก็ได้เห็นคนที่มีชื่อเสียงมาทำงานแบบนี้ได้
นี่ยิ่งทำให้ทุกคนคิดได้ทันทีว่าการปรับปรุงและเปลี่ยนมือในครั้งนี้ต้องสำคัญอย่างแน่นอน
ถึงแม้บางคนจะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะนักท่องเที่ยวผู้เข้าชมในวันแรกนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผอ.หรือไม่ก็ผู้จัดการสวนสัตว์อื่นอยู่พอสมควร
ด้วยการที่รู้จักกันก็ไม่แปลกที่ทั้งสองจะมา และเท่าที่เห็นนี่เหล่าผู้ชมทั่วไปก็เห็นระดับผอ.ไม่ก็ผู้บริหารจากสวนสัตว์หลักของเมืองนี้แล้วห้าแห่ง
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมชุดแรกนี้ยังมีฉินซูหลkน โจวหลัน เฉินฮง เฉินเจียเหยา จูเจียนหัว และหลิวหยินที่มีชื่อเสียง
ในคนกลุ่มนี้ก็ได้มีกลุ่มชายหนุ่มที่ถูกส่งมาโดยฮัวหยุนชู ฟูฮงซิ่ว และหยวนหยินหนิงแฝงตัวมาด้วย
“ผู้อาวุโสฟาน นี่คุณส่งต่อสวนสัตว์ให้ซูจิ้งจริงๆงั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมา
“ใช่แล้ว” ฟานเว่ยเฉินพยักหน้ารับ
“นายนี่ยอมแพ้ได้ง่ายดีจริง ว่าแต่สัตว์อะไรกันที่เขาทำให้คุณมาทำงานแบบนี้ได้เนี่ย” ชายแก่คนหนึ่งได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เดี๋ยวก็รู้น่า วันนี้ให้ฉันเป็นไกด์ให้นายเอง เริ่มจากทางนี้ก่อนแล้วกัน” ฟานเว่ยเฉินพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พร้อมทั้งซิวจงหงได้นำผู้ชมทั่วไปเดินตามไปไม่ห่างนัก
พวกเขานั้นแน่นอนว่าย่อมไม่มีความสนใจสัตว์ดั้งเดิมของสวนสัตว์แห่งนี้อยู่แล้ว
พวกเขานั้นเห็นพวกมันมาหลายครั้งจนจดจำได้แม้แต่รายละเอียดเฉพาะตัวเลยก็ว่าได้ อีกอย่าง สัตว์เหล่านั้นสวนสัตว์อื่นในเมืองก็มีไม่ต่างกัน
พวกเขาจึงต้องการจะรู้ว่าสัตว์อะไรกันแน่ที่ซูจิ้งนำมาแล้วถึงกับทำให้ฟานเว่ยเฉินมาทำงานพื้นๆแบบนี้ได้ และนี่เองก็ทำให้ท้งหมดเดินตามไปแต่โดยดี
“นึกไม่ออกเลยแหะว่าอาจิ้งนำสัตว์อะไรมาจัดแสดงที่นี่” เฉินฮงอดไม่ไดที่จะถามออกมาอย่างอดสังสัยไม่ได้
“ฉันลองถามซูจิ้งแล้วนะแต่เจ้าเด็กนั่นมันเลนท่ายึกยักไม่ยอมบอกอะไรสักอย่าง บอกแต่ว่ามาเดี๋ยวก็รู้เอง นี่ทำให้ฉันคิดว่าสัตว์ที่เด็กนั่นนำมานี่ย่อมไม่ธรรมดา” จูเจียนหัวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่าจะเป็นฝูงลูกแพนด้า” หลิวหยินได้เสนอความเห็นออกมา
“เป็นไปไม่ได้นา…. มีเพียงศูนย์ขยายพันธุ์แพนด้าที่เซฉวนเท่านั้นที่จะมีฝูงลูกแพนด้าได้ เพราะสภาพอากาศที่นั่นมีความเหมาะสมมากที่สุดแล้ว แต่กับที่นี่มีสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสมอย่างที่สุดจึงเป็นไปไม่ได
ต่อให้เหมาะสมจริงก็ยากที่จะนำฝูงลูกแพนด้ามาที่นี่ได้เพราะแพนด้าเองก็ถือว่าเป็นสมบัติแห่งชาติเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่านึกจะพาไปไหนมาไหนก็ทำได้โดยง่าย” เฉินเจียเหยาได้แสดงความเห็นออกมา
แน่นอนว่าเธอเองก็สนใจอย่างมากว่าซูจิ้งได้นำสัตว์อะไรมาจัดแสดงกันแน่ เพราะซูจิ้งนั่นได้ทำเรื่องใหญ่ๆมาก่อนหน้านี้มากมายนัก
เขานั้นไม่มีทางที่จะทำเรื่องเล็กๆ แถมในครั้งนี้เขาเองก็ได้เปิดสวนสัตว์แบบฉุกละหุกอีกด้วย ไม่มีทางเลยที่จะเป็นเรื่องเล็กๆแบบฝูงลูกแพนด้าอย่างแน่นอน
ทุกคนได้เดินเส้นทางป่าไผ่จนกระทั่งไปถึงสวนเล็กๆสวนหนึ่ง จากระยะไกลนั้น ทุกคนได้เห็นนกยูงฝูงหนึ่งที่มีสันสวนงามอย่างมาก
หนึ่งในนั้นมีนกยูงสีขาวที่เด่นสะดุดตาที่สุด มันยืนอยู่เด่นสง่าทามกลางนกยูงตัวอื่นๆราวกับไก่พ่อพันธุ์ก็ไม่ปาน เพราะตัวมันนั้นใหญ่กว่านกยูงทั่วไป
หากยาวมาก และขนของมันสีขาวปลอดราวกับหิมะ เรียกได้ว่าสง่างาม ทรงพลัง และน่าจับตามอง ราวกับว่ามันคือนกไฟอมตะสีขาวก็ว่าได้
อาจจะเป็นเพราะว่ามันได้เห็นว่ากลุ่มคนได้เดินมา นกยูงสีขาวตัวนั้นก็ได้สยายขนของตัวเองที่ราวกับพัดในทันที เส้นของมันนั้นมีความยาวประมาณสามเมตรและทอแสงวิบวับเป็นประกายท้าทายกับแสงอาทิตย์
เรียกได้ว่าทั้งวิบวับและเปล่งประกายอย่างที่สุด จนราวกับว่ามันเป็นชุดแต่งงานสุดสวยงามที่ถูกออกแบบมาจากดีไซน์เนอร์มือหนึ่ง
ภาพที่เห็นในตอนนี้ทำให้เจ้านกยูงขาวตัวนี้ดูแล้วไม่เหมือนกับนกยูงขาวแต่เหมือนกับนางฟ้ามีปีกที่ลงมาจากทรวงสวรรค์
“ว้าวววววว สวยจัง”
“ในโลกนี้มีนกยูงที่สวยงามแบบนี้ได้ยังไงกัน”
“ฉันรู้จักตัวนึงนะ มันเรียกว่านางฟ้าแห่งดาบ”
“ถึงจะบอกว่านกยูงขาวมันไม่ได้มีตัวเดียวในโลกก็จริง แต่ตัวนี้ทั้งใหญ่กว่าและสวยกว่าตัวที่เห็นจากในทีวีอีกนะ พระเจ้าเถอะมันเหมือนกับว่านกยูงที่มาจากสรวงสวรรค์จริงๆเลยด้วยซ้ำ”
ไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องจ้องมองวนๆซ้ำๆอยู่หลายหน มีบางคนได้เริ่มหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองขึ้นมาถ่ายทั้งรูปและวิดีโออยู่นานสองนาน
ถึงแม้ว่านกยูงนั้นจะไม่ใช่สัตว์ที่หายาก แต่นกยูงขาวปลอดแบบนี้ก็ถือว่าไม่ธรรมดาอยู่ดี
แต่อย่างน้อยๆกับนกยูงตัวนี้ พวกเขานั้นเชื่อว่าไม่เพียงแต่มันจะสวยที่สุดในโลกนี้แล้ว หากบอกว่ามันสวยสุดในทรวงสวรรค์พวกเขาก็เชื่อ
“เฮ้ออออ….นกยูงที่คุณซูนำมานี่สุดยอดจริงๆ” ผอ.สวนสัตว์แห่งอื่นได้พูดออกมาพลางถอดถอนลมหายใจ
“ถึงแม้มันนั้นจะเป็นเพียงนกยูง แต่ความสามารถในการดึงดูดใจผู้คนของมันนี่ไม่ต่างไปจากแพนด้ายักษ์เลยจริงๆ” ผอ.สวนสัตว์แห่งอื่นอีกคนได้พูดออกมา
ถ้าจะให้พูดแล้วหากใครก็ตามที่ทำงานในวงการสวนสัตว์นั้นไม่มีใครเลยสักคนที่อยากจะมาเห็นนกยูงเป็นสิ่งแรกแบบนี้ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นล้วนเคยเห็นมาหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม กับนกยูงขาวนี้ พวกเขาไม่เพียงจะปฏิเสธที่จะพลาด พวกเขายังต้องการดูซ้ำๆด้วยความมหัศจรรย์ใจอีกด้วย
“หลันน้อย อย่างที่ฉันบอกเลยเห็นรึเปล่าว่าสัตว์ที่พี่จิ้งนำมาจัดแสดงนั้นต้องสุดยอดอย่างแน่นอน นี่น่าสนุกกว่าไปเที่ยวสวนสนุกซะอีก” ฉินซูหลานพูดแล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะกระหน่ำถ่ายรูปนกยูงแทบจะทุกมุมมอง
“ก็แค่นั้นแหล่ะน่า” โจวหลันพูดออกมา ถึงจะพูดออกมาแบบนั้นแต่ในใจเธอนั้นยังตกตะลึงกับความงามของนกยูงขาวตัวนี้ไม่หาย เธอตกตะลึงจนเกือบจะหลุดปากพูดไปว่าสวยดีออกมาแล้ว
แต่ว่าเธอยังเคืองฉินซูหลานอยู่ที่จู่ๆเขาก็มาเปลี่ยนแผนที่วางกันไว้แบบนี้ ทำให้เธอไม่อยากจะทำให้โจวหลันได้ใจเกินไปนัก เธอเลยแกล้งตอบออกไปเพื่อจะสื่อว่าเพียงแค่นี้ยังทำให้เธอหายคุ่นเคืองไม่ได้หรอก
“นกยูงตัวนี้ไม่ว่าจะมองสักเท่าไหร่ก็อดจะจ้องมองจนละสายตาจากความสวยงามของมันไม่ได้เลยจริงๆ การที่อาจิ้งส่งมาไว้แบบนี้นี่เขาไม่เจ็บปวดบ้างรึไงกัน” จูเจียนฮัวพูดออกมา
“แค่นกยูงขาวตัวนี้ตัวเดียวก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาที่นี่ได้มากมายแล้ว” เฉินฮงพูดออกมา
ทางด้านเฉินเจียเหยาและหลิวหยินในตอนนี้เองก็กระหน่ำถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้นจนเรียกได้ว่าทุกท่วงท่าอริยาบถและมุมมอง
ในตอนนี้เฉินเจียเหยาที่โดยปกติแล้วดูเท่และงามสง่านั้นไม่ต่างจากสาวน้อยไร้เดียงสาที่กำลังตกหลุมรัก
ทันใดนั้นก็มีใครบางคนมองเห็นอะไรบางอย่างจากกลางสวนแห่งนี้
“ห้ะ ดูเหมือนว่าจะมีอะไรอยู่กลางสระด้วยน่ะ”
“จริงด้วย มันดูตัวดำๆนะ”
“โอ้…มันออกมาจากสระแล้ว ตัวใหญ่มาก มันเหมือนจะเป็นเต่านะ”
“มันไม่ใช่เต่า มันเป็นตะพาบ”
“อะไรคือตะพาบน่ะ”
“…..เดี๋ยวนะ….ไม่ใช่ว่า…..นั่น…..” เฉินฮง เฉินเจียวเหยา และจูเจียนหัวได้มองไปที่ตะพาบตัวนั้นอย่างตกตะลึงและพยายามสงบจิตใจของตัวเอง
“พระเจ้า นั่นมันตะพาบนี่” ไม่นับฟานเว่ยเฉินและซิ่วจงหงที่ยืนอยู่ข้างแล้ว เหล่าผู้คนจากสวนสัตว์ที่นิ่งเงียบตั้งแต่แรกเห็นก็ได้สติหลังจากได้ยินเสียงใครบางคนอุทานออกมา
กระดองของสัตว์ที่ปีนขึ้นมาจากน้ำนั้นขนาดพอๆกับบานประตู ร่างกายของมันดูแบนๆ ลื่นๆ และสะท้านแสงแวววับ
ลำตัวของมันมีสีเขียวมะกอกเข้มและมีจุดสีเหลืองกระจายไปทั่ว คอและหลังของมันเองก็มีสีและจุดที่ไม่ต่างกัน
“ตะพาบ(เต่าแม่น้ำแยงซี)? เป็นเป็นไปได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่ามันเหลือแค่สองตัวในโลกหรอกเหรอ ตัวหนึ่งที่สวนสัตว์ชางชาและอีกหนึ่งที่สวนสัตว์ซูโจวนี่นา หรือว่าซูจิ้งนำหนึ่งสองตัวมาที่นี่ นี่พวกเขายอมได้ยังไงกัน”
“ไม่ใช่สองตัวนั้น เจ้านี่ใหญ่กว่าเยอะมาก”
“…หมายความว่า….นายจะบอกว่านี่เป็นตัวที่สาม!!!! เป็นไปได้ยังไงกัน”
“นี่ฉันเข้าใจผิดไปรึเปล่า ฉันจำได้ว่าหลังจากที่ตัวที่ทะเลสาบเจียนฮูในเวียดนามตายไปก็น่าจะเหลือแค่สองตัวในโลกนี่นา จะไปโผล่มาอีกตัวได้ยังไงกัน”
หลังจากที่ได้ยินใครหลายๆคนพูดด้วยความตื่นเต้นออกมานั้น เหล่าคนทั่วไปที่ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้จะตื่นเต้นกันทำไมนั้นก็เข้าใจได้ในทันที
พวกเขานิ่งอึ้งในบัดดลเมื่อรู้ว่าตะพาบตัวนี้คือสิ่งมีชีวิตหายากที่เหลือเพียงสองในโลกนี้ แล้วนี่ซูจิ้งไปเสกตัวที่สามออกมาได้ยังไงกัน
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตื่นเต้นกันนั้นเอง พวกเขาก็ได้เห็นเงาดำๆในน้ำที่อยู่ข้างหลังตะพาบยักษ์ตัวนั้น
ทันใดนั้นเองก็ได้ตะพาบอีกสองตัวตามขึ้นมา และพวกมันก็เกือบจะคล้ายเต่ายักษ์นั่นเลยทีเดียว