Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1049
GGS:บทที่ 1049 สุดยอดสวนสัตว์ (4)
“เฒ่าฟาน บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่านี่มันอะไรกัน เจ้าหนูสองชนิดนี้ใช่หนูจิ้งโจ้กับหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวจริงๆรึเปล่า นายไปได้พวกมันมาจากไหนเนี่ย” ชายแก่คนหนึ่งถามออกมาด้วยความตกตะลึง
“ใช่ พวกมันคือหนูจิ้งโจ้กับหนูป่าออสเตรเลียเท้าขาวจริงๆ ถ้าไม่ใช่ล่ะก็มันคงไม่มาอยู่ที่นี่หรอก ส่วนพวกมันมายังไงนั้นคงต้องไปถามซูจิ้งแล้วล่ะว่าเขาไปเจอพวกมันที่ไหน สถานที่ที่พวกมันจากมานั้นพวกเราไม่รู้เลยจริงๆ มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รู้” ฟานเว่ยเชินอธิบาย
“แล้ว…นำพวกมันมาไว้ด้วยกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ชายวัยกลางคนอีกคนถามออกมา นั่นก็เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว หนูต่างสายพันธุ์กันมักจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงที่อยู่และอาหาร หากว่าพวกมันต่อสู้กันถึงตายล่ะก็
ด้วยการที่พวกมันต่างก็เป็นสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์แล้วทั้งคู่ แน่นอนว่าหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริงต้องกลายเป็นโศกนาฏกรรมของโลกอีกครั้งแน่ๆ
“ด้วยการที่เวลามีจำกัดทำให้พื้นที่ที่พวกเราจัดการได้นั้นมันน้อยนิดจึงต้องทำแบบนี้ไปก่อน เราวางแผนว่าจะแยกมันออกจากกันทีหลังน่ะ
ส่วนจะมีปัญหาอะไรแบบนั้นรึเปล่านั่น ซูจิ้งยืนยันว่าแค่ช่วงเวลาไม่นานมากถือว่าไม่มีปัญหา แล้วก็นะ ไม่ใช่มีแค่เจ้าสองชนิดนี้ ยังมีอีกชนิดนึง” ฟานเว่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยังมีอีกเหรอ” ทุกคนที่ได้ยินต่างก็อุทานออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
ฟานเว่ยเชินได้หันไปมองหน้าซิ่วจงหงเชิงให้สัญญาณ ตอนนั้นเองซิ่วจงหงก็ได้เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของสวนนี้ หลังจากนั้นเขาหยุดและไปเขย่าพุ่มไม้ข้างสระน้ำ ก่อนที่เขาจะโยนอาหารไว้บนพื้น
หลังจากนั้นไม่นาน พุ่มไม้นั้นก็ได้สั่งด้วยตัวเองก่อนที่จะมีเต่าตัวใหญ่มากเดินออกมา
ร่างกายของเต่าตัวนี้มีขนาดประมาณหนึ่งเมตรเห็นจะได้ ส่วนน้ำหนักของมันนั้นอย่างน้อยๆก็หลายร้อยจินอย่างแน่นอน
หัวของมันนั้นเป็นสีเหลืองสว่าง และมีเกล็ดเล็กๆอยู่บนหัวของมัน เกล็ดกระดองของมันนั้นเป็นสีดำและใหญ่โตราวกับว่าตัวมันได้แบกโล่อันใหญ่ไว้ที่หลัง
ผิวของมันนั้นตำปุ่มตะปั่มราวกับหนังของช้าง ส่วนด้านหน้าของกระดองเองก็เป็นลอยเว้าเข้าไปแล้วไปโผล่ทางด้านหลังแทน ผิวหนังในส่วนขาเองก็ไม่ได้ต่างจากผิวหนังช้างแม้แต่น้อย
“พระเจ้า เต่ายักษ์อะไรกันล่ะนั่น”
“มันดูเหมือนเต่าก็จริงแต่ทำไมฉันกลับคิดว่ามันไม่ใช่เต่ากัน”
“แต่มันก็ดูเหมือนเต่าอยู่ดีนะ”
“มันเป็นสายพันธุ์ย่อยของเต่าที่มีชื่อ่าเต่าช้างน่ะ” เฉินฮงพูดออกมาในขณะที่จ้องมองเต่าตัวนี้อย่างไม่วางตา เขาเหมือนนึกอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาหาข้อมูล
ไม่นานเมื่อเขาเจอข้อมูล หนังตาของเขาก็ได้กระตุกและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นเว่า “พระเจ้า เหมือนว่านี่คือเต่าบกยักษ์ของเซเชลส์”
“คุณปู่ คุณปู่อ่านข้อมูลถูกแน่รึเปล่าน่ะ” เฉินเจียเหยาที่ได้ยินก็อดถามย้อนด้วยความตกตะลึงไม่ได้
“หัวสีเหลือง โหนกหลังใหญ่ มีรอยเว้าที่ด้านหน้าของกระดอง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นลักษณะสำคัญของเต่าบกยักษ์ของเซเชลล์ทั้งนั้นเลยนะ มันต้องไม่ผิดแน่ แต่….เป็นไปได้ยังไงกัน” เฉินฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“มันไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้ไม่ใช่เหรอ…” หลิวหยินกึ่งๆถามกึ่งๆยอมรับได้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ผู้อาวุโสพูดถูกแล้ว และนี่ก็เป็นอีกสายพันธุ์หนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว” จูเจียนฮัวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแห้งผาก “เท่าที่ฉันรู้ก็คือชื่อของมันนั้นตั้งตามชื่อของเกาะเซเชล ที่นั่นมีเต่าที่ชื่อว่าเต่าช้างมาไลออนอยู่ และมันเป็นตัวสุดท้ายของสายพันธุ์”
มาลิออนนั้นหมายถึงการเป็นตัวแทนของสายพันธุ์ และตัวแทนของสายพันธุ์นั้นได้ตายลงด้วยกระสุนปืน ทันทีที่มันตายนั่นก็หมายความว่าเต่าบกยักษ์เซเชลได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แน่นอนว่าอย่างน้อยๆมันก็ถูกถือว่าสูญพันธุ์ไปแล้วถ้าไม่นับเจ้าตัวที่อยูตรงหน้าพวกเขา
คนอื่นๆที่ได้ยินจนมาถึงตอนนี้ต่างก็พูดอะไรไม่ออกกันเลยสักคำ และนี่กลายเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคยของคนกลุ่มนี้ไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือหากเทียบกับหนูอีกสองสายพันธุ์ก่อนหน้านี้แล้ว เต่าบกยักษ์เซเชลนี้สมควรจะสร้างความตกตะลึงได้มากยิ่งกว่า
ต่อให้มันไม่ใช่สัตว์สูญพันธุ์ ด้วยขนาดและท่าทางของมันแน่นอนว่าต้องได้รับความนิยมอย่างมาก แต่ในเมื่อมันคือสัตว์ที่เคยสูญพันธุ์ไปแล้วล่ะก็ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำว่ามันจะได้รับความนิยมมากมายแค่ไหน
“พระเจ้าเถอะ เพียงสวนๆนี้ก็มีค่าเหลือคณะนับแล้ว”
“มีสัตว์ที่สูญพันธุ์ถึงสามสายพันธุ์ในสวนเดียว…นี่มันจะบ้าเกินไปแล้ว”
“แล้วแบบนี้สวนสัตว์ที่อื่นจะมาสู้ได้ยังไงกัน”
“การมาที่นี่ช่างคุ้มค่าจริงๆ”
เหล่าผู้เข้าชมในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นและถ่ายรูปของสัตว์ทั้งสามอย่างกระหน่ำก่อนที่จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว
และผลก็คือ จำนวนคนที่ซื้อตั๋วเข้าชมสวนสัตว์จงหยุนแห่งนี้มากขึ้นจนจองกันไม่ทัน เรียกได้ว่าจำนวนคนที่จะเข้ามาชมสวนสัตว์จองหยุนแห่งนี้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
สำหรับคนที่ไม่คิดจะซื้อตั๋วเข้าชมก่อนหน้านี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองโง่หนักมากที่ไม่ยอมซื้อทั้งๆที่มีโอกาส
“แม่เจ้า… ไม่เพียงแต่จะมีนกยูงขาว ตะพาบน้ำยักษ์ ยังมีสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วถึงสามสายพันธุ์ ฉันอยากเห็นพวกมัน ฉันอยากเห็นพวกมันกับตาตัวเองจริงๆนะ”
“อา…….ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบัตรเข้าชมสวนสัตว์ถึงได้หมดเร็วนัก ว่าแต่ปกติตั๋วสวนสัตว์นี่เขาต้องจำกัดกันด้วยเหรอ”
“นายไม่รู้เหรอ ฉันว่าที่เขาทำแบบนี้เพราะรู้แน่ๆว่าทันทีที่มีคนรู้เรื่องนี้จะต้องแห่กันไปที่นั่นแน่ๆ หากไม่จำกัดล่ะก็มีหวังคนขายตั๋วต้องขายกันจนมือหงิกแน่ๆ”
“ไม่เวอร์ไปหน่อยรึไง”
“ไม่เวอร์ไปหรอกน่า นายไม่สามารถประมาทกับเรื่องแบบนี้ได้หากมันเกี่ยวกับซูจิ้ง เอาจริงๆแค่มีชื่อเขาปะเอาไว้ คนก็แทบจะแฮ่แฮนกันไปตั้งแต่รู้เรื่องแล้ว แล้วนี่ยิ่งมีสัตว์สูญพันธุ์อยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ หึหึหึ….”
“รถมันติดอะไรกันนักหนาเนี่ย” อีกด้านหนึ่ง เอี้ยป๋อในตอนนี้กำลังอารมณ์เสียสุดๆเพราะว่าเขานั้นต้องมาติดแหงกอยู่บนท้องถนน และยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกได้ว่ารถยิ่งติดหนักมากกว่าเดิม
“วันนี้เป็นช่วงโมงเร่งด่วนเฉพาะกิจน่ะ หากเป็นตอนธรรมดาล่ะก็ถนนสายนี้ค่อนข้างจะคล่องตัวเลยนะ แต่ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันนี้คนน่าจะแห่กันไปที่สวนสัตว์จงหยุนกัน” คนขับรถพูดออกมา
“คุณเอี้ย ลองดูข่าวนี่สิ” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังเล่นสมาร์ทโฟนอยุ่ข้างเอี้ยป๋อ เมื่อเขาได้เห็นข่าวสวนสัตว์จองหยุนก็ได้รีบส่งสมาร์ทโฟนให้ดูทันที
“ข่าวอะไร” เอี้ยป๋อถามออกมา
“ลองดูสิครับ” ชายหนุ่มพูดด้วยความตื่นเต้น
“…..เป็นไปได้ยังไงกัน” เอี้ยป๋อที่เห็นข่าวก็อดจ้องจนตาไม่กระพริบไม่ได้ “เป็นไปได้ยังไงกัน ที่นั่นมีแม้กระทั่งหนูป่าออสเตรเลียตีนขาว หนูจิ้งโจ้ แล้วก็เต่ายักษ์เซเชลนั่น นี่มัน….”
“มันช่างน่าเหลือเชื่อจริง นี่เขาไม่รู้หรือไงว่าสิ่งที่เขาทำนั้นช่างสร้างความตกใจให้โลกนี้มากมายขนาดไหนกัน เขาควรจะทำอย่างนี้ตั้งนานแล้ว” ชายหนุ่มฝึกงานที่มาด้วยกันเริ่มโวยวาย
“พูดไปก็เท่านั่นน่า นี่คนขับขับให้เร็วกว่านี้ไม่ได้เหรอ” เอี้ยป๋อพยายามร้องอ้อนวอนออกมา
“ห้ะ จะไปเร็วได้ยังไงกัน” คนขับพูดออกมาอย่างจนปัญญา
“คุณเอี้ย ผมเพิ่งจะนึกได้ว่าพวกเราไม่มีตั๋วนี่นา ตอนนี้ต่อให้เราจะซื้อมันก็หมดไปแล้ว” ชายหนุ่มนึกออกมาด้วยท่าทีเสียดย
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันโทรหาอาจิ้งก่อน อย่างน้อยเขาก็คงจะไว้หน้าฉันบ้างแหล่ะ” เอี้ยป๋อได้หยิบสมาร์ทโฟนของตัวเองออกมาเพื่อโทรหาซูจิ้ง
เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้ ซูจิ้งยินดีต้อนรับเขาอย่างดี แต่ด้วยการที่รถในตอนนี้ติดจนกระดึ๊บไปทีละน้อย ต่อให้เขาได้โอกาสแต่ก็ยากจะไปถึง
“ครั้งนี้อาจิ้งเล่นใหญ่เลยแหะ” เฉิงหนานพูดออกมาในขณะก้าวเท้าเข้าไปในห้องสำนักงานของหวังจ้าว
“ฉันว่าฉันพร้อมจะฟังอยู่นะ ไหนว่ามาสิ” หวังจ้าวพูดออกมาในขะที่กำลังหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม
“ในตอนนี้ที่สวนสัตว์ของซูจิ้งได้มีสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์และสูญพันธุ์ไปแล้วปรากฎขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนกยูงขาว ตะพาบน้ำยักษ์ หนูป่าออสเตรเลียเท้าขาว หนูจิ้งโจ้ เต่าบกยักษ์เซเชล
โดยเฉพาะตะพาบยักษ์นั่นที่มีด้วยกันสองตัวบนโลกนี้ ในตอนนี้นอกจากตัวที่อยู่ในสวนสัตว์ของซูจิ้งจะเป็นตัวที่สามแล้ว มันยังมีลูกอีกสองตัวด้วยกันทำให้ที่นั่นมีตะพาบยักษ์อยู่สามตัว
อ้อ อีกอย่าง เจ้าสามชนิดหลังนั่นถูกขึ้นบัญชีว่ามันสูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้วด้วย” เฉิงหนานพูดออกมาอย่างเรียบง่าย
“พรู๊ดดดดดดดด…………” หวังจ้าวได้สำลักน้ำออกมาจนกระจายไปทั่วก่อนที่จะมีท่าทีตื่นเต้นและพูดออกมาว่า “ฉันก็คิดไว้อยุ่แล้วล่ะนะ แต่ไม่คิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนี้
สัตว์ที่มีเพียงสองตัวในโลกแต่หมอนั่นมีถึงสามงั้นเหรอ แถมยังมีสัตว์ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้วอีกตั้งสามชนิด นี่หมอนี่ไปขโมยมาจากสวรรค์รึไงกัน”
“แล้ว? ฉันไม่เห็นว่ามันจะวิเศษตรงไหนเลยนี่นา” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้สวนสัตว์ของหยุนนั้นย่อมแน่นอนว่าจะมีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วโลกแบบนี้ แล้วเราจะปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ออกไปได้ยังไงกัน” หวังจ้าวพูดออกมา
“จริงด้วย” เฉิงหนานพยักหน้ารับในทันทีก่อนที่จะเรียกฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้มาหา ในเมื่อเรื่องนี้มีซูจิ้งเกี่ยวข้องด้วยแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาต้องย่อมไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หหลุดมือไปได้อย่างแน่นอน