Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1058
GGS:บทที่ 1058 พืชวิเศษ
หลังจากเอี้ยป๋อและโจวซือเซียนจากไป ซูจิ้งก็ยังคงศึกษาสรรพสัตว์และต้นไม้ที่เขาได้มาต่อ
ความจริงแล้วเขาเองก็ได้ศึกษาสรรพสัตว์ที่ส่งไปจัดแสดงที่สวนสัตว์จองหยุนและพืชพันธุ์ต่างๆที่ให้เอี้ยป๋อและโจวซือเซียนได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่พอพบว่าพวกมันไม่ได้มีการใช้งานที่พิเศษใดๆเป็นเพียงสายพันธุ์หายากและสาบสูญบนโลกเท่านั้นเขาจึงไม่อิดออดที่จะมอบพวกมันให้สายตาชาวโลกได้ยลโฉม
สำหรับพืชพรรณและสรรพสัตว์ที่เขาไม่ได้มอบให้นั้นแน่นอนว่าพวกมันไม่มีอยู่บนโลกใบนี้เขาจึงไม่ยินดีที่จะปล่อยพวกมันไป
โดยเฉพาะเขานั้นยังไม่รู้ว่าพวกมันมีสรรพคุณพิเศษอะไรรึเปล่าเพราะว่าเมื่อมันไม่มีในโลกจึงหาข้อมูลอ้างอิงไม่ได้ และไม่รู้ว่าหากปล่อยให้ชาวโลกได้รู้แต่ดันมีคุณสมบัติพิเศษไปล่ะก็เขาย่อมไม่ยินดี ของอย่างนี้ยังไงซะเขาก็ต้องเป็นคนแรกที่รู้ก่อนใคร
ซูจิ้งยังคงตั้งความหวังไว้กับสรรพสัตว์และพืชพรรณเหล่านี้อยู่พอสมควร เพราะยังไงซะพวกมันก็มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร
เขาได้เริ่มจากการศึกษาหนูสองสามตัวโดยปล่อยพวกมันออกมาจากถุงกักอสูรเพื่อที่จะในการทดลองกับสัตว์เหล่านี้
“นกพวกนี้ยิ่งมาก็ยิ่งรู้สึกพวกมันน่ามหัศจรรย์จริงๆ แต่พวกมันนั้นสมควรจะเป็นสัตว์ธรรมดาเท่านั้น แต่จะฆ่ามันก็กระไรอยู่ ปล่อยมันไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่กำลังดูนกคู่แฝดสักพัก
พวกมันนั้นไม่สามารถไปไหนได้เลยหากว่าพวกมันต้องแยกจากกันไป แต่พวกมันเองก็ดูจะบินไม่สะดวกเหมือนกันหากต้องบินคู่กันไป พวกมันก็เปรียบได้ดั่งคู่รักสามีภรรยาที่ประคับประคองชีวิตคู่ไปด้วยกัน
ซูจิ้งได้ละความสนใจจากนกคู่แฝดและไปตรวจสอบสัตว์และพืชชนิดอื่นต่อ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ลองนำพวกมันบางส่วนไปทำเป็นอาหารให้หนูกินดูแล้ว
ด้วยการที่ในครั้งนี้มีพืชพันธุ์ของสัตว์และพืชมากมายทำให้เขานั้นต้องใช้หนูมากพอสมควร โดยตอนนี้เขามีหนูที่ใช้ทดลองไม่ต่ำกว่าร้อยตัวแล้ว
นอกจากนี้ ซูจิ้งยังได้นำหนูที่ปล่อยออกมาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้มาเตรียมในการทดสอบขั้นต่อไป ตัวอย่างเช่นการทำให้บาดเจ็บหนัก ตัดชิ้นส่วนทิ้ง ทำให้ร่างกายอ่อนแอ ทำให้มันมีปัญหาทางสายตา ทางหู และอาการอย่างอื่นอีก
และเขาก็ให้พวกมันได้กินอาหารที่เขาเตรียมไว้ให้จากพืชและสัตว์ที่พบเจอ ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เขานั้นเข้าใจสรรพคุณของสัตว์และพืชเหล่านี้ได้อย่างไม่ตกหล่นและยังประหยัดเวลาอย่างมาก
หนึ่งวันผ่านไป ซูจิ้งก็เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง
เขาได้เห็นหนูจำนวนหนึ่งเอาตัวไปแนบชิดติดผนังที่กักตัวพวกมันไว้ มีไม่กี่ตัวเท่านั้นที่สามารถหลบหลีกและเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าพวกมันนั้นมีสัญชาตญาณดีกว่าหนูตัวอื่น
ตอนแรกซูจิ้งเองก็คิดว่าพวกมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่พอสังเกตดูก็พบว่าพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นหนูที่กินตัวอย่างเดียวกัน
เมื่อเห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงคิดจะทดลองเพิ่มเติม แต่ทันทีที่มันเห็นเขา เขาก็เห็นถึงความแตกต่างในทันที นั่นก็เพราะหนูกลุ่มนั้นตอบสนองต่อเขาและวิ่งหนีออกไปในทันที ในขณะที่หนูตัวอื่นๆเองยังไม่รู้ถึงการมีตัวตนของเขาด้วยซ้ำ
“เมื่อกี้ฉันว่าฉันไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลยนี่นา แล้วหนูตัวอื่นก็ยังไม่เห็นฉันด้วยซ้ำ หรือว่าหนูพวกนั้นจะเห็นฉันกันนะ” ซูจิ้งคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่าง
สัตว์จะพวกหนูนั้นโดยปกติพวกมันจะมีปัญหาทางด้านสายตา คราวนี้เขาจึงได้ลองใช้หนูทดลองอีกกลุ่มหนึ่งโดยเลือกพวกที่มีปัญหาด้านสายตาเป็นพิเศษ
และเพื่อไม่ให้ผิดพลาด เขาได้ลองเดินหาหนูกลุ่มนี้แบบไร้เสียง และเป็นอย่างที่คิด หนูพวกนี้มองอะไรไม่เห็นจนต้องคอยเอาตัวชิดกำแพงไว้ด้านหนึ่งตามสัญชาตญาณ
ขนาดซูจิ้งเดินผ่านโดยไม่ได้ก่อให้เกิดเสียงใดๆ พวกมันก็ยังไม่มีท่าทีตอบสนองแม้แต่น้อย
แต่หลังจากที่พวกมันกินอาหารทดลอง พวกมันไม่ได้พาตัวเองให้ไปอยู่ข้างกำแพงแต่อย่างใด พวกมันเดินเล่นไปมาจนทั่ว แสดงให้เห็นว่าสายตาของมันนั้นดีขึ้นจนเรียกได้ว่าเห็นแต่ไกลเลยทีเดียว
ซูจิ้งยังคงทดลองซ้ำต่อไปอีกหลายครั้ง
ในตอนนี้เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าหนูพวกนี้มีระยะการมองเห็นที่มากขึ้นจริงๆ เพื่อความแน่ใจ เขาได้ยืนยันสิ่งนี้โดยการปล่อยหนูสี่ตัวออกจากถุงกักอสูร
โดยให้สองตัวไม่กินอะไรและให้อีกสองตัวกินอาหารทดลองของเขา อาหารของมันคือพืชชนิดหนึ่งที่มีดอกคล้ายดอกทานตะวัน แต่มีใบคล้ายใบของแอปลิคอต มีโคนต้นหนาราวกับไม้ผล
และเป็นอีกครั้งที่ผลออกมายังเหมือนเดิมก็คือสายตาของพวกมันดีขึ้นจริงๆ
“นึกออกแล้ว ต้นไม้พวกนี้ควรจะมีชื่อว่าชิจู” ในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นมีพืชต้นหนึ่งที่ชื่อว่าชิจู ลักษณะของมันนั้นมีใบคล้อยต้นแอปลิคอต ดอกคล้ายต้นทานตะวัน และต้นที่อวบหนาราวกับผลไม้ และสรรพคุณของมันเองก็คือเอาไว้สำหรับโรคทางสายตาเช่นเดียวกัน และต้นๆนั้นก็มีสรรพคุณและลักษณะที่คลับคล้ายกันต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าเขานี่เอง
หลังจากซูจิ้งทดลองจนมั่นใจแล้วว่าต้นไม้นี้ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย เขาจึงได้นำมันไปทดลองยังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน
ผลที่ได้รับทำให้เขารู้ว่าต้นไม้นี้รักษาโรคทางสายตาได้ไม่ดีเท่ากับทรายดำที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียน นอกจากนี้มันยังไม่รักษาโรคทางสายตาอย่างต้อเนื้อได้แต่อย่างใด แถมมันสามารถเพิ่มระยะการมองเห็นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ถึงจะไม่ดีเท่าแต่มันก็สามารถฟื้นฟูการมองเห็นได้เท่าเดิมได้ รักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้ และยังรักษาโรคทางสายตาที่ไม่ร้ายแรงได้อย่างการเป็นต้อกระจกได้เป็นอย่างดี โดยใช้เพียงแค่การกินเท่านั้นอีกด้วย
“อืมมมมม ถึงแม้ว่าชิจูนี้จะไม่ดีเท่าทรายดำแต่ก็ยังถือว่าได้ผลดีอยู่ ที่สำคัญที่สุดคือมันเป็นพืช ฉะนั้นยังมีโอกาศที่จะขยายพันธุ์มันในจำนวนมากได้ และนี่จะทำให้ฉันสามารถทำขายได้จำนวนมาก” ซูจิ้งใช้ความคิดของเขาเกี่ยวกับทรายดำที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนอยู่พักหนึ่ง
ถึงแม้ว่ามันจะดีมากก็จริงแต่เขาไม่สามารถทำมันเพิ่มได้หากมันหมดไป ถึงจะบอกว่าใช้ไม่เยอะแต่ได้ผลดีแต่มันก็ยังมีวันหมดอยู่ดี
เทียบกับต้นไม้นี่แล้ว นี่จะถือได้ว่าเป็นเปิดช่องทางรักษาโรคทางสายตาให้เขาได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ความสามารถในการรักษาของมันจะไม่ดีเท่า แต่มันดีตรงที่ผลิตเพิ่มขึ้นได้มาเรื่อยๆ
และนี่ยังเป็นช่องทางทำให้เขานั้นลดต้นทุนและเปิดโอกาสให้คนธรรมดาสามารถรักษาโรคทางสายตาได้ ถึงแม้ว่ากำไรมันนั้นแต่หากเทียบกับผลการรักษาแล้วถือได้ว่าดีกว่ายาที่ใช้รักษาทั่วๆไป แน่นอนว่าหากใช้จำนวนเข้าว่า รวมๆกันแล้วก็ถือได้ว่าเป็นกำไรที่เยอะอยู่ดี
“ดี ดี ดี” ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะทำการตรวจสอบหนูทดลองตัวอื่น ไม่นานเขาก็พบหนูอีกจำนวนหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง
ถึงแม้พวกมันจะเหมือนกันจนแยกไม่ออก แต่เมื่อซูจิ้งดูจากสัญญาลักษณ์ที่ทำไว้บนตัวพวกมันแล้วก็พบว่าพวกมันนั้นเป็นพวกที่มีอาการหูตึง
หากว่าหนูพวกนี้ไม่ได้กินชิจูไปล่ะก็ นอกจากที่หูของพวกมันจะสายตาไม่ดีแล้ว หูของพวกมันก็ยังไม่ดีอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกมันวิ่งในทันทีที่ไม่ว่าจะมีอะไรขยับก็ตาม
“นี่หมายความว่าหูของพวกมันดีขึ้นแล้ว” ใบหน้าของซูจิ้งอาบไปด้วยแสงแห่งความปิติในทันที หลังจากที่เขาเห็นสัญญาลักษณ์บนตัวพวกมันก็รู้ในทันทีว่าพวกมันกินอะไรไป
พวกมันได้กินต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีลำต้นเล็กๆแต่สูงเกินหนึ่งเมตรขึ้นไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือต้นอะไรกันแน่แต่ที่เขาเห็นแน่ๆคือลูกไม้ของพวกมันนั้นเหมือนกับพุทราเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้นำหนูที่หูไม่ดีจำนวนหนึ่งไปกินผลพุทรานั้น หลังจากรอเวลาไปสักพัก เขาก็พบว่าการได้ยินของพวกมันนั้นดีขึ้นอย่างช้าๆ
“หากว่าผลพุทราพวกนี้สามารถรักษาโรคหูตึงได้ล่ะก็ จำได้ว่าในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรมีพืชที่ชนิดที่มีสรรพคุณแบบนี้ที่มีชื่อว่าเดย์จู” ซูจิ้งได้ใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเริ่มทดลองต่อ
หลังจากแน่ใจว่ามันไม่มีอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ ซูจิ้งจึงนำผลไม้นี้ไปทดลองใช้ในโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอีกครั้ง และเขาก็ผมว่าเดย์จูที่มีลักษณะคล้ายกับผลพุทรานี้ มีสรรพคุณในการรักษาอาการหูตึงได้อย่างชะงักงัน แม้แต่หูตึงถาวรก็ยังรักษาได้จนหาย
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ทำการเรียกประชุมกับบอร์ดบริหารและในที่สุดจึงได้ปล่อยข่าวออกไปสองอย่าง
อย่างแรกคือโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนในตอนนี้มีวิธีการรักษาแบบใหม่ในการรักษาโรคต้อกระจกและต้อเสื่อม โดยจะเปิดใช้กับคลีนิครักษาโรคทั่วไปและหากได้ผลตอบรับดีอาจจะทำผลิตขายทั่วไปในอนาคต
อย่างที่สอง พื้นที่พิเศษของโรงพยาบาลได้มีวิธีการรักษาอาการหูตึงแบบใหม่ที่ได้ผลอย่างชะงักงัน
ทันที่ที่ข่าวนี้แพร่ออกไปนั้น แม้ในตอนแรกที่ฟังแล้วจะดูไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะเมื่อเทียบกับการรักษาก่อนหน้านี้ของซูจิ้งแล้วถือว่าไม่ใช่อะไรที่วิเศษวิโสแต่อย่างใด
ถึงแม้จะรักษาโรคหูตึงได้แต่กับคนทั่วไปแล้วถือว่าไม่ได้น่าสนใจเท่าการรักษาโรคAlsแม้แต่น้อย ใครหลายๆคนเริ่มเป็นห่วงซูจิ้งด้วยซ้ำว่าให้เขาหยุดพักซะบ้างเพราะกลัวเขาจะเหนื่อนตายซะก่อน ว่าแต่กับหมอเทวดาแบบเขานี่ยังต้องกลัวที่จะเหนื่อยตายด้วยงั้นเหรอ
แน่นอนว่าเหล่าผู้คนที่มีอาการต้อกระจก กระจกตาเสื่อม และหูตึงทั้งหลายต่างก็รู้สึกประหลาดใจและดีใจราวกับได้เห็นความหวังใหม่ในชีวิตอีกครั้ง