Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1075
GGS:บทที่ 1075 ตัวตนถูกเปิดเผย
คนกว่าสี่สิบถูกจำกัดจนราบแทบจะในทันทีที่เกิดการต่อสู้เป็นเหตุการณ์ที่อยากจะยอมรับได้ แต่ก็มีคนหนึ่งที่ยังฝืนตัวเองจากความหวาดหวั่น ในระหว่างที่เกิดเหตุชลมุนคนๆนั้นได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้ได้หนึ่งรูปและส่งไปหยวนหยินหนิงก่อนที่จะลงไปนอนกองกับพื้น
หยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่ว ที่กำลังตกตะลึงกับเถาวัลย์ที่เลื้อยได้ประดุจดั่งงูเขียวยักษ์ และดอกไม้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้นั้น
เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพที่ส่งมาทำให้ใบหน้ากลายเป็นหน้าเกลียดไปในทันทีจากก้นบึ้งหัวใจ ชายคนนี้ได้ฆ่าได้อย่างหน้าตาเฉยและรวดเร็วแต่กลับไม่มีใครเลยที่เคยเห็นคนที่มีความสามารถเก่งฉกาจแบบนี้มาก่อน
ถึงแม้พวกเขาจะคิดไว้แล้วว่า ซูจิ้งน่าจะมีบอดี้การ์ดคอยดูแลครอบครัวของเขาเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าซูจิ้งจะมีบอดี้การ์ดที่เก่งฉกาจพอๆกับตัวเองแบบนี้ได้
นี่ทำให้ทั้งหยวนหยุนหนิง ฮัวหยุนชู และฟูหงซิ่วรู้สึกได้ทันทีว่าโลกใบนี้คงใกล้ที่จะถึงจุดจบเป็นหน้า เกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้กัน แล้วนี่ยังเป็นโลกที่พวกเขายังรู้จักอยู่ใช่รึเปล่า
ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่ยากจะคาดถึง แผนการสุดท้ายที่วางแผนเอาไว้ด้วยเวลาอันยาวนานกับพังยับลงอย่างง่ายดายและรวดเร็ว รวมถึงไพ่ที่แข็งแกร่งที่สุดยนมือของพวกเขานั้นต้องตกไปอยู่บนมือของคนอื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พวกเขารู้ในทันทีว่าอีกไม่นานตัวตนของพวกเขาจะถูกเปิดเผย แต่ตอนนี้ที่เขายังคงสงสัยก็คือด้วยตัวตนของซูจิ้งที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ในตอนนี้จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะพบพวกเขา
“เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันคุ้นๆหน้าหมอนี่อยู่ ฉันว่าฉันเคยเจอหมอนี่มาก่อน” หยวนหยุนหนิงในตอนนี้รู้สึกละม้ายคลับคล้ายกับรูปชายหนุ่มที่ถูกส่งมาเป็นรูปสุดท้ายนี้
เมื่อจ้องสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกเกิดความฉงนจึ้นในใจ ก่อนที่จะไปหยิบข้อมูลของกองกำลังต่างๆที่เขาเก็บเอาไว้ มันข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคดีคนหาย
มีหนึ่งในผู้เกี่ยวข้องได้ถูกสืบสวนจนมีข้อมูลที่แน่ชัดแต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก คนๆนี้คือคนที่สู้กับซูจิ้ง ตอนที่ซูจิ้งบุกไปยังห้องคาราโอเกะแห่งหนึ่ง
ฉากการต่อสู้ในวันนั้นไม่มีใครเห็นเลยแม้สักคนเดียว แต่เศษซากที่หลงเหลือนั้นบอกได้เลยว่ายากที่จะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างหากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ร่องรอยที่พอจะสังเกตได้อย่างเดียวก็คือมีการใช้อาวุธความร้อนอะไรบางอย่างในการต่อสู้เท่านั้น
และในครั้งนั้นก็เป็นอีกครั้งที่ซูจิ้งชนะอย่างสวยงาม และชายในภาพนี้สมควรจะเป็นไป๋ฮิตู และที่น่าประหลาดใจมากกว่านี้ก็คือมีคนจำนวนหนึ่งที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยจากเหตุการณ์นี้
ก่อนหน้านี้หยวนหยินหนิงคิดไปเองว่าไป๋ฮิตูผู้นี้คือหนึ่งในสมาชิกกองกำลังอื่น และการที่เขาหายไปนั้นเป็นเพราะว่าพ่ายแพ้ต่อซูจิ้งทำให้ไม่กล้าที่จะปรากฏตัวอีก
เขาเองก็เคยลองติดต่อไป๋ฮิตูโดยตรงแล้วแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ไม่คิดเลยว่าจะมาพบไป๋ฮิตูเป็นบอดี้การ์ดที่คอยปกป้องครบครัวของซูจิ้งแบบนี้ได้
นี่มันอะไรกันแน่ สองคนนี้เป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมตอนนี้ถึงได้อยู่บนเรือลำเดียวกันล่ะ
“เดี๋ยวนะ ฉันคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ความจริงพวกเราไม่น่าจะมีเหตุผลที่ทำให้องค์กรเกล็ดงูนั่นเป็นศัตรูกับพวกเราเลยนี่นา ความจริงพวกนั้นควรจะร่วมมือกับเราด้วยซ้ำ
แต่อยู่ๆซูจิ้งกับแทรกแซงได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ราวกับว่าทุกอย่างถูกคำนวนไว้แล้วไม่ใช่เหรอ แถมหลังจากที่ซูจิ้งเข้ามาแทรกแซงก็ดูเหมือนว่าองค์กรเกล็ดงูนั่นจะหายไปในทันที
แล้ว…ถ้า….ถ้าองค์กรเกล็ดงูนั่นโดนควบคุมโดยซูจิ้งเรียบร้อยแล้วล่ะ หากเป็นแบบนี้ทุกอย่างก็สมเหตุสมผลหมดเลยนะ นี่หมายความว่าเขายอมเผยร่องรอยขององค์กรเกล็ดงูออกมาเพื่อเป็นเหยื่อล่อและเราก็เป็นฝ่ายไปกินเหยื่อล่อนั่นซะเอง” หยวนหยุนหนิงในตอนนี้พึมพำออกมาโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่อยู่โดยรอบแม้แต่น้อย
ใบหน้าของเขาในตอนนี้ราวกับว่ายิ่งเขาคิดคำตอบได้ใบหน้าของเขาก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้น และเมื่อฮัวหยุนชูกับฟูหงซิ่วยิ่งได้ยินข้อสันนิษฐานที่น่าเป็นไปได้นี้มากเท่าไหร่ ใบหน้าของทั้งสองก็มีสีเลือดขึ้นเป็นน้อยลงมากขึ้นด้วยกันไป
หยวนหยินหนิงยังพูดข้อสันนิษฐานของตัวเองออกมาต่อว่า “ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกได้ว่าพวกเรานั้นควรจะระวังชายที่ชื่อสไปเดอร์แมนนั่นเอาไว้ เพราะคนๆนั้นสมควรจะมีสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้ง
แถมก่อนหน้านี้ฉันยังสืบสวนมาได้ว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนพัฒนาเสื้อเกราะกันกระสุนใยแมงมุมขึ้นมาให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมหนักเทียนหลิน จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ทั้งสองน่าจะเป็นพันธมิตรกัน
แถมยังเว่ยเสี่ยวหยวนนั่นอีก ก่อนหน้านี้เธอโดดออกมาจากตึกแล้วครั้งหนึ่งและมีสไปเดอร์แมนช่วยเธอไว้ การที่ในครั้งนี้ไปช่วยเธอด้วยตัวเองแบบนี้ เป็นไปได้ว่ามนุษย์แมงมุมนั่นจะไม่ใช่พันธมิตรของซูจิ้ง แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ใต้ซูจิ้งมากกว่า”
เมื่อสิ้นคำพูดของหยวนหยินหนิง อยู่ๆทั้งหยวนหยินหนิง ฮัวหยุนชู และฟูฮงซิ่วต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาในทันที
ตอนแรกนั้นพวกเขาคิดว่ากองกำลังไร้สังกัดที่อยู่ในประเทศจีนนี้มีสี่กองกำลัง แต่เดิมแล้วพวกเขาอยากจะผลักดันให้หนึ่งในสองกองกำลังเข้าร่วมกับพวกเขาเพื่อจัดการซูจิ้ง
แต่มาถึงตอนนี้ หากว่าความคิดเกี่ยวกับกองกำลังทั้งสี่ที่ว่าทั้งหมดล้วนมีซูจิ้งเป็นผู้นำแล้วในตอนนี้ นี่ไม่เพียงแค่จะแสดงให้เห็นว่าซูจิ้งมีอำนาจขนาดไหนเท่านั้น นี่ยังทำให้รู้ได้อีกว่าสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้น เป็นการแหย่รังแตนที่รังใหญ่ขนาดที่ภาครัฐยังไม่กล้าที่จะวุ่นวาย
พวกเขาในตอนแรกนั้นคิดว่ารู้จักซูจิ้งดีพอแล้วจึงได้คิดจะกำจัดซูจิ้งไป เมื่อมารู้ในตอนนี้ว่าสิ่งที่พวกเขารู้นั้นเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
นี่ทำให้พวกเขารู้สึกได้ว่าตัวเองเป็นเพียงหมาป่าหนุ่มที่อยู่แต่ในถ้ำมาทั้งชีวิต เมื่อออกจากถ้ำมาก็หยิ่งผยองจนไม่รู้ว่ามีหมาป่าที่หัวโซนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ในป่าที่แอบซุ่มอยู่ในเงามืดอย่างเงียบงัน
“ซูจิ้งมันเป็นใครกันแน่วะ” ฮัวหยุนชูพูดออกมาด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกไปทั่วทั้งร่าง
“พวกเราไม่ควรไปหาเรื่องหมอนี่เลยจริงๆ” ฟูหงซิ่วในตอนนี้มีใบหน้าที่ถอดสี เขาไม่สามารถทนต่อความหวาดกลัวที่ถูกฝังเอาไว้โดยซูจิ้ง(เหรียญตรายมฑูต)ได้อีกต่อไปแล้ว ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว
“มาพูดตอนนี้ก็สายไปแล้ว พวกเราหันหลังกับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว วันนี้พวกเราจะอยู่กันที่นี่ไม่ไปไหน พวกเรายังเหลือยอดนักสู้อีกสี่สิบคนพร้อมอาวุธครบมือ
ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนตัว ซูจิ้งต้องไม่กล้าทำอะไรเปิดเผยอย่างแน่นอน หากเราผ่านคืนนี้ไปได้ล่ะก็เราค่อยหาวิธีจัดการเรื่องนี้อีกที” หยวนหยินหนิงพูดออกมาอย่างสงบที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้
ณ บ้านของซูจิ้ง ทันทีที่ฉือชิงได้มาถึง เธอก็ได้โผเข้ากอดซูจิ้งในทันที ซูจิ้งค่อยๆกอดเธออย่างอบอุ่นทำให้เธอสบายใจอย่างที่สุด
หลังจากเธอสงบลงแล้ว ซูจิ้งได้ให้ฉือชิงอยู่บ้านหลังนี้กับสรรพสัตว์เลี้ยงของซูจิ้งอย่างหมาป่าสงคราม ราชันย์ค้างคาว เต็งเต็งและสัตว์ตัวอื่นๆที่คอยป้องกันไว้อย่างแข็งขันในคืนนี้เพียงเลี่ยงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก เพราะเขานั้นจะไปจัดการเรื่องราวเหล่านี้ให้จบในคืนนี้นั่นเอง
เมื่อฉือชิงยินยอม ซูจิ้งจึงได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาจากออกมาและเริ่มการสอบสวนในทันที
เพียงครึ่งชั่วโมง ซูจิ้งก็ได้ไปถึงยังห้องลับที่อยู่ในสถานพิทักษ์สัตว์เมืองจงหยุน ต่อหน้าเขาในตอนนี้คือคนหนุ่มจำนวนมากมายที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น บางคนก็ไม่สามารถทนความเจ็บปวดไว้ได้จนต้องนอนราบไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง
เมื่อซูจิ้งมายืนต่อหน้าทุกคน ข้างๆเขานั้นมีไป๋ฮิตู หลัวฉือหลิน ตงเสี่ยว และชายหนุ่มเกล็ดงูอีกจำนวนหนึ่ง
ซูจิ้งทำการสะกดคนเหล่านี้ในทันทีที่มาถึง พร้อมทั้งรักษาอาการบาดเจ็บให้ คนเหล่านี้ยังโชคดีที่ไป๋ฮิตูยั้งมือไว้ไม่งั้นคงตกตายกันไปหมด
ผิดกับฮัวเหยา เธอนั้นได้รับคำสั่งเพียงให้ป้องกันฉือชิงเท่านั้นทำให้ลงมืออย่างไม่ปราณีและฆ่าทิ้งไปห้าคน กับคนที่ตายนั้น ซูจิ้งยกให้ตงเสี่ยวจัดการไป เพราะยังไงซะด้วยร่างกายของคนพวกนี้คงจะทำอะไรได้อีกหลายอย่าง
ในหมู่ผู้ติดตามของเขานั้น ที่เก่งที่สุดน่าจะป็นหลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูสองคนนี้ ถึงแม้ชายหนุ่มเกล็ดงูอีกสองคนนั้นจะแข็งแรงมากก็จริง แต่ทั้งสองเองก็เคยก่อเรื่องใหญ่ออกมาแถมด้วยลักษณะนิสัยที่แปลกแยกจึงทำให้ยากที่จะปล่อยให้ใครพบเห็นได้
กับคนกลุ่มนี้นั้น พวกเขาได้กินข้าวสีน้ำเงินไปมากมายแถมยังได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งจนถึงกระบวนท่าที่สามแล้วถึงจะยังไม่ถึงขั้นที่ใช้ได้ก็ตาม
แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้แถมยังทรงพลังกว่าคนทั่วไป ยังไงก็ยังใช้ประโยชน์ได้มากกว่าชายหนุ่มเกล็ดงูอย่างแน่นอน ในอนาคตคนพวกนี้หาปล่อยไปยังไงก็ก่อเรื่องอยู่ดี สู้นำมาเป็นกองกำลังของเขาดีกว่า
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น ในตอนนี้สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก็คือการหาตัวคนบงการเรื่องทั้งหมดจากคนเหล่านี้ คราวนี้เขาไม่พลาดอีกต่อไป ซูจิ้งได้ชื่อคนบงการออกมาจากปากคนลักพาตัวอย่างชัดถ้อยชัดคำโดยไม่ต้องถามอะไรเพิ่มเติมอีก
“หยวน หยิน หนิง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่โกรธเกรี้ยว
“หนึ่งในคุณชายสี่ที่เจ้านายลากลงมาจากตำแหน่งสินะครับ” ไป๋ฮิตูพูดออกมา
“ถ้าฟังจากที่ไอ้พวกนี้พูดแล้ว เรื่องในครั้งนี้น่าจะมีฮัวหยุนชูและฟูฮงซิ่วร่วมมือด้วย ไอ้พวกนี้อยู่กันทีไรต้องเป็นรังหนูรังงูไปซะทุกครั้งเลยสินะ หากพวกแกอยากจะร่วมหัวกันแก้ปัญหาเรื่องฉันนัก ฉันก็จะช่วยพวกแกทั่วทุกตัวไปแก้ปัญหาในครั้งนี้ครั้งเดียวนี่แหล่ะ” ซูจิ้งสบถออกมา ก่อนที่จะหันไปถามหลัวฉ์อหลินว่า “ไอ้เจ้าอาบินนั่นเจอตัวรึเปล่า”
“ยังครับ พวกเราไล่ตามไปจนได้ร่องรอยแล้ว แต่เกิดเหตุที่โรงจอดรถหลงเต็นนั่นผมเลยไปจัดการกับเรื่องนั้นก่อน หากว่าให้ผมกลับไปติดตามต่อล่ะก็ เมื่อร่วมมือกับซูฉือแล้วเชื่อว่าอีกไม่นานจะจับตัวมันได้” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“อย่าไปเสียเวลา ไปจับตัวหยวนหยินหนิงแล้วลากมันออกมาจากรังเลยดีกว่า อย่างที่เขาว่าหาอยากจะจับโจรต้องจับหัวหน้ามันก่อน” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมกับยืนขึ้นในทันที