Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1084
GGS:บทที่ 1084 ตะเกียงวิเศษ
ถ้าซูจิ้งเข้าใจไม่ผิดนั้น หนังของสัตว์ที่ใช้ทำเสื้อคลุมตัวนี้สมควรจะเป็นขนของหนูไฟ หากจะให้เรียกชื่อเต็มๆของมันนั้นก็คือหนูไฟส่องแสง
มันเป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่สุดแสนจะประหลาดและพบเจอได้ไม่ยากนักในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทร
เอาจริงๆมันก็ประหลาดตั้งแต่ถิ่นที่อยู่ของมันแล้วเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าพวกนั้นอาศัยอยู่ในเขตภูเขาไฟที่สุดปลายทวีปเขตทะเลจีนใต้
ตัวมันนั้นมีน้ำหนักประมาณหนึ่งร้อยชั่งและขนาดที่ใหญ่มาก ขนของมันมีความยาวร่วมๆหนึ่งเมตรและมีเส้นที่เล็กบางราวกับผ้าไหม
มันเป็นหนูที่จะตายแทบจะในทันทีหากได้เห็นแม้เพียงแอ่งน้ำเล็กๆ แต่ถึงมันจะดูตายได้ง่ายดายแต่ขนของมันนั้นเรียกได้ว่าทนทานมาก แม้แต่โดนน้ำ โดนไฟ ก็ไม่มีวันทำลายได้ จึงทำให้ถูกนำไปใช้ทำเสื้อผ้าบ่อยๆ และเมื่อผ้าที่ใช้ขนของหนูชนิดนี้เริ่มสกปรก ก็เพียงแค่ใช้ไฟในการทำความสะอาดแค่นั้นก็พอ
“ผู้สรรสร้างเสื้อคลุมตัวนี้ช่างน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก แม้แต่เทฅโนโลยีของโลกใบนี้ก็ไม่สามารถทำเสื้อคลุมแบบนี้ออกมาได้อย่างแน่นอน บนโลกนี้สมควรจะมีเสื้อคลุมนี่ตัวเดียวในโลกเท่านั้น และแน่นอนว่ามันเป็นของฉัน”
หลังจากยิ้มดีใจอย่างมากอยู่พักใหญ่ ซูจิ้งก็ได้จัดการกับขยะฯของเขาต่อไป ในตอนนี้เขาเริ่มจะพบเจอเครื่องมือที่ทำจากหิน เศษผ้า เฟอร์นิเจอร์ไม้พังๆ หม้อแตก และของอย่างอื่นที่มาจากการสร้างสรรค์ของมนุษย์
เท่าที่ดูนี่บ่งบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีของห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรค่อนข้างที่จะล้าหลัง ต่อให้มันไม่แตกหัก ก็สมควรมที่จะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้
“นี่…” ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้พบเจอกับเครื่องทองเหลืองชิ้นหนึ่ง ส่วนล่างของมันนั้นดูๆไปแล้วเหมือนกลไกอะไรบางอย่าง มันมีขนาดประมาณสิบห้าเซนติเมตร
แต่จากสภาพของมันแล้วในตอนนี้มันดูผุกร่อน โค้งงอ และเสียหายมากพอดู ส่วนด้านบนของมันนั้นคล้ายกับถาดอะไรบางอย่าง ข้างในถาดนั้นเองก็มีแผ่นจานข้างในอยู่อีกครึ่งหนึ่ง
ตรงกลางดูเหมือนจะมีไส้ตะเกียงอยู่ เท่าที่ดู สิ่งนี้สมควรจะเป็นตะเกียงน้ำมันแบบโบราณ
ซูจิ้งได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมตะเกียงนี้ดู ไม่นานนักมันก็กลับมาสู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากตรวจสอบดูสักพักเขาก็ไม่พบว่ามันดูมีอะไรพิเศษแต่อย่างใด ไม่ว่ามองยังไงมันก็แค่ตะเกียงน้ำมันธรรมดาอยู่ดี
หลังจากที่เขาจ้องมองดูอยู่พักใหญ่นั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ายังมีตะเกียงน้ำมันคล้ายๆแบบนี้อีกสองอัน แต่สภาพของมันนั้นแย่กว่าชิ้นนี้มาก ชิ้นหนึ่งนั้นแตกจนกระจัดกระจายไปทั่ว ส่วนอีกชึ้นหนึ่งนั้นมันแตกจนมีอะไรบางอย่างเข้าไปขังอยู่ข้างใน
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าเสี่ยวไป๋ตัวนี้ ไม่ว่าสภาพจะเป็นผุยผงก็ตาม แต่ตราบใดที่ชิ้นส่วนของพวกมันยังอยู่ครบละก็ ไม่นานมากก็สมควรจะกลับมาใจสภาพที่สมบูรณ์ได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมพวกมันจนหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะดูพวกมันยังไงก็รู้สึกเพียงว่าพวกมันนั้นเป็นเพียงตะเกียงน้ำมันทองเหลืองธรรมดาอยู่ดี มันดูค่อนข้างที่จะเรียบง่าย และไม่ได้มีจุดประสงค์ในการใช้งานที่พิเศษแต่อย่างใด
“…แล้วทำไมฉันไม่ลองจุดมันดูล่ะ ใครจะไปรู้ มันอาจจะมีอะไรพิเศษก็ได้หลังจากจุดมันนี่นา” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้น เขาก็จุดไฟขึ้นที่ไปนิ้วก่อนที่จะเอาไปจ่อที่ไส้ตะเกียงของตะเกียงอันหนึ่ง
เมื่อไส้ตะเกียงได้ลุกไหม้ขึ้นมา ซูจิ้งได้เฝ้าจับตารอดูอยู่นิ่งๆ หนึ่งนาทีก็แล้ว สองนาทีก็แล้ว สามนาทีก็แล้ว จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่พบว่ามันจะมีความวิเศษอะไร
จนในที่สุดผ่านไปสิบนาที ซูจิ้งก็ไม่มีทางเลือกอื่นทำได้เพียงถอดใจเพราะไม่ว่ามองยังไงมันก็ดูเป็นตะเกียงธรรมดาอยู่ดี จนในตอนนี้เขาเองก็เริ่มคิดแล้วเหมือนกันว่าเขาต้องเป็นโรคจิตอ่อนแล้วแน่ๆที่คิดว่าของทุกอย่างที่พบเจอต้องมีอะไรวิเศษสักอย่างสองอย่าง
ซูจิ้งนั้นได้แต่ส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที หลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะหยุดทดสอบ และเปิดปากของตัวเองออกมาและได้พ่นลมไปยังไส้ตะเกียงในทันที
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เชิงเทียนนั้นไม่เพียงจะไม่หดเล็กลงเพราะแรงลมแม้แต่น้อย มันเพียงสั่นไหวไปมาและยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม
ซูจิ้งตอนนี้เพียงอึ้งๆไปเท่านั้น ด้วยการที่ร่างกายของเขานั้นอยู่เหนือคนธรรมดาไปไกลแล้ว แน่นอนว่าทุกการกระทำของเขานั้นย่อมเหนือกว่าคนธรรมดาแม้แต่การเป่าปากพ่นลมก็ตาม
แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใดทำให้ตะเกียงนี้ไม่ได้รับผลกระทบเอาไรจากลมที่เป่าจากปากของเขาเลยแม้แต่น้อย
ต่อให้เขานั้นไม่เชื่อเรื่องผีสางแต่ก็ถึงกับต้องรีบวางตะเกียงนี้ลงพื้นแล้วกระโดดหมุนตัวตีลังกาถอยหลังไปในทันทีเหมือนกัน
เขานั้นค่อยกระเถิบเข้ามาช้าๆจนในตอนนี้อยู่ห่างจากตะเกียงน้ำมันนี้ประมาณสิบเมตร เขาจึงได้สูดลมเข้าไปจนเต็มปาก แล้วทำการพ่นลมออกมาอย่างตั้งใจและหนักหน่วงกว่าก่อนนี้
อย่างไรก็ตามไม่เพียงไฟที่จุดเอาไว้จะเคลื่อนไหวตามลมแม้แต่น้อย มันยังดูเหมือนกับว่าเปล่งแสงที่สว่างออกมามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ
ซูจิ้งเริ่มรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่เขาอาจจะยังใช้ลมที่ไม่แรงพอ เขาจึงได้ทำการเป่าลมไปที่ไส้ตะเกียงอีกสองครั้งติดๆกัน แต่ผลที่ได้ก็คือ ไฟยังคงลุกโชนอยู่เช่นเดีม
“แม่…เอ๊ย นี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด” ซูจิ้งบ่นออกมาก่อนที่เขาจะใช้พลังควบคุมไฟโดยตรง เขาได้ใช้เวทไฟในการดึงไฟออกมาจากไส้ตะเกียงจนมันลอยห่างออกมา
อย่างไรก็ตามไม่ว่าเขาจะดึงไฟออกมาจากไส้ตะเกียงกี่ครั้งกี่หน ไส้ตะเกียงก็ยังคงเหลือประกายแสงแห่งการลุกไหม้เล็กน้อยในทุกๆครั้ง และมันก็ได้กลับมาลุกโชนส่องสว่างเหมือนเดิม
“ตะเกียงนี่คงไม่ธรรมดาแล้วล่ะ” ซูจิ้งมองไปที่ตะเกียงพร้อมทำตาปริบๆ ตอนนี้เขาเลือกที่จะใช้น้ำจากแอ่งน้ำใกล้ๆมาดับแทนแล้ว ด้วยความคิดที่ว่าแต่ให้ไส้ตะเกียงจะดีขนาดไหน ยังไงจับจุ่มไปในน้ำยังไงก็ต้องดับ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือ หลังจากที่เขาสาดน้ำเข้าไป ผลก็คือไฟยังคงลุกไหม้อยู่บนไส้ตะเกียงเหมือนเดิม
ซูจิ้งนั้นยังไม่ยอมแพ้ คราวนี้เขาใช้มือของตัวเองกำดินเอาไว้ก่อนที่จะค่อยโรยดินลงบนไส้ตะเกียงจนท่วมไส้ตะเกียงไปแล้ว
แต่หลังจากที่รอไปได้สักพัก ผลก็คือดินที่ทับถมไปบนไส้ตะเกียงได้ร้อนจนเกิดสีแดงขึ้น ไม่นานดินก็ได้ไหลลงไปกองข้างๆและไฟก็ยังลุกโชนอยู่บนไส้ตะเกียงอยู่ดี
“มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” ซูจิ้งในตอนนี้ประหลาดใจอย่างแท้จริง นั่นก็เพราะ โดยปกติแล้วการที่ไฟจะลุกไหม้ได้บนอะไรก็ตามนั้นจำเป็นต้องมีสามองค์ประกอบถึงจะเกิดการลุกไหม้ได้
หนึ่งคือเชื้อเพลิง สองคือออกซิเจน และสามคือจุดวาบไฟ
สมมติว่าหากเราเทน้ำลงไปบนเชื้อเพลิงได้อย่างเพียงพอล่ะก็ อุณหภูมิที่เกิดขึ้นบนเชื้อเพลิงจะไม่ถึงจุดที่เรียกว่าจุดวาบไฟและนั่นจะไม่ทำให้ไฟลุกบนเชื้อเพลิงได้อย่างแน่นอน
และในทำนองเดียวกัน เขาได้ใช้ดินโรยไปบนไส้ตะเกียงนั้นก็เป็นการตัดอากาศที่ถือได้ว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการลุกไหม้ได้ออกจากไส้ตะเกียงไป ด้วยของสองสิ่งนี้ไฟสมควรจะมอดดับลงได้แล้ว แต่นี่มันยังคงลุกโชนได้อย่างต่อเนื่องอย่างน่าประหลาดใจ
ตอนนี้เองซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจใช้ถังดับเพลิงที่เป็นการผนวกเอาหลักการทั้งสองนี้เข้าไว้ด้วยกันฉีดลงไปบนตะเกียงในทันที ผลก็คือ แม้ว่าเขานั้นจะฉีดจนหมดถึงแล้วก็ตาม แต่ไฟก็ยังลุกไหม้อยู่บนไส้ตะเกียงอยู่ดี
คราวนี้ซูจิ้งได้ลองนำตะเกียงนี้ไปจุ่มลงในแอ่งน้ำจนมิดทั้งตะเกียง แต่กลายเป็นว่า แม้จะอยู่ใต้น้ำ แต่ไฟบนไส้ตะเกียงก็ยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม
จนในที่สุดซูจิ้งก็ได้ตัดสินใจให้ฉิงหยุนส่งตะเกียงนี่ไปไว้ในพื้นที่เก็บของซึ่งเป็นพื้นที่สุญญากาศ แต่ผลก็ยังคงลุกไหม้เหมือนเดิม
จนในตอนนี้เองที่ซูจิ้งเริ่มใช้ความคิดเกี่ยวกับตะเกียงนี้ยิ่งไปกว่าเดิมและเริ่มคิดว่าตะเกียงนี้เป็นตะเกียงวิเศษรูปแบบหนึ่ง
“เดี๋ยวนะ ก็ในเมื่อขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรล่ะก็ ฉันจำได้ว่าตะเกียงแบบนี้มีการเขียนถึงอยู่นี่นา….นี่น่าจะเป็นตะเกียงมนุษย์เงือก” ตอนนี้เอง สายตาของซูจิ้งก็ได้สว่างวาบขึ้นมาในทันที
ในห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นมีเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายที่เหมือนกับเป็นฉลามผสมมนุษย์ ที่นั่นเรียกเผ่าพันธุ์นี้ว่ามนุษย์เงือก
ถึงแม้ว่าเผ่าพันธุ์นี้จะอยู่ใต้น้ำก็ตาม แต่พวกเขาเองก็ย่อมต้องการสิ่งที่ใช้ในการส่องสว่างให้กับพวกตน จนได้สรรสร้างตะเกียงที่เผ่าพันธุ์เงือกสามารถใช้ได้ แน่นอนว่าข้างในนั้นไม่ได้ใช้น้ำมันทั่วไปแบบตะเกียงธรรมดา แต่พวกนั้นใช้น้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึก
ที่เรียกว่าปลาทะเลน้ำลึกนั้นแน่นอนว่าย่อมมาจากปลาที่อาศัยอยู่ในทะเลน้ำลึก นี่แสดงให้เห็นถึงความพิเศษของพวกมันไปในตัว
หากเป็นทั่วๆไปแล้ว เมื่อคนพื้นเพบนโลกนี้ได้ยินคงไม่คิดอะไรกัน แต่กับคนบนโลกนี้นั้นมันช่างมีค่าจนยากที่จะนำมาใช้ทำน้ำมันตะเกียงแบบนี้
แต่น้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึกของห้วงเวลาฯอภินิหารตำนานภูผาเหนือสมุทรนั้นยังแฝงไว้ด้วยสรรพคุณที่แสนวิเศษไว้อยู่หนึ่งอย่าง
นั่นก็คือมันสามารถลุกไหม้ได้อย่างยาวนานแม้เพียงใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเพียงหยดเดียว มันจะลุกไหม้อยู่อย่างนั้นจนกว่าน้ำมันจะเหือดแห้งไปจนหมด ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ตะเกียงแบบนี้รู้จักในอีกชื่อว่าตะเกียงที่ไม่มีวันดับ
“เจ้าตะเกียงนี้มันดูธรรมดาจนไม่คิดว่าจะมีความวิเศษแบบนี้อยู่เลยจริงๆ ตะเกียงทั้งสามนี้เองสมควรจะเป็นตะเกียงแบบเดียวกัน…” ซูจิ้งได้บ่นพึมพำออกมาในขณะที่มองไปยังตะเกียงที่กังลุกโชนไปตรงหน้าพลางคิดอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้นั้นทุกคนบนโลกต่างก็ใช้ตะเกียงที่เรียกว่าหลอดไฟฟ้า ตะเกียงน้ำมันแบบนี้สมควรจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้วก็จริง แต่ยังไงซะกับตะเกียงที่ไม่มีวันดับแบบนี้ยังไงแล้วก็ยังรู้สึกได้ถึงความสุดยอดอยู่ดี
ยกตัวอย่างเช่นคบเพลิงของกีฬาโอลิมปิกที่ไม่ว่าชาติไหนก็ตามที่ได้จัดงานโอลิมปิกนั้นก็ต้องให้ความสำคัญกับคบเพลิงโอลิมปิกไปด้วย
ถึงแม้ว่าจะมีอยู่บางครั้งที่มันได้มอดดับลงไปด้วยโชคร้ายบางอย่างก็ตาม ยกตัวอย่างเช่นในปี2004 งานโอลิมปิคที่เอเทน คบเพลิงได้หลุดมือออกจากผู้ถือคบเพลิงในระหว่างส่งต่อคบเพลิงให้กับกรรมการของงานคนหนึ่งจนทำให้ไฟของคบเพลิงได้มอดดับลง นี่ทำให้เขานั้นได้รับการสาปแช่งในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นในงานแข่งโอลิมปิกเกือบทุกๆครั้งได้เกิดปัญหานี้ครึ่งอย่างต่อเนื่อง บางครั้งถึงกับมีใครบางคนนำเครื่องมือดับเพลิงไปพ่น บางคนพยายามยื้อแย่งออกจากมือผู้ถือคบเพลิงจนโยนลงไปบนทะเลเลยก็มือ
นี่ทำให้การปกป้องคบเพลิงเองถือได้ว่าเป็นภารกิจที่ยากลำบากและสำคัญอีกอย่างหนึ่งของการแข่งกีฬาโอลิมปิคในทุกๆครั้งเลยก็ว่าได้
แล้วหากว่าเขาได้เปลี่ยนน้ำมันในคบเพลิงนั่นให้เป็นน้ำมันจากปลาทะเลน้ำลึกนี่ได้ล่ะจะเป็นยังไง อย่าว่าแต่ฉีดด้วยอุปกรณ์ดับเพลิงเลย แม้แต่โยนลงไปในทะเลจริงๆมันก็ไม่มีวันดับอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่กีฬาโอลิมปิกที่จะจัดถึงในครั้งนี้นั้นถูกจัดที่ญี่ปุ่น ไม่อย่างนั้นเขาคงจะเสนนอตัวเรียบร้อยแล้ว ยังไงซะต่อให้เขาอยากได้ค่าการใช้ประโยชน์มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่มีทางที่จะให้ประเทศอื่นได้หน้าไปได้อย่างแน่นอน
แต่ในทางกลับกัน หากญี่ปุ่นรู้ว่าเขานั้นมีน้ำมันที่ช่วยทำให้เกิดความสว่างไปได้จนกว่าโลกนี้จะดับสูญไปล่ะก็ แน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่เพียงจะอิจฉาเท่านั้น เป็นไปได้คนพวกนั้นอาจจะทำแม้แต่การแย่งชิงจากเขาเลยก็ว่าได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าจุดไฟด้วยคบเพลิงโอลิมปิกที่เติมด้วยน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนี้ล่ะก็ เขาสามารถเชื่อมโยงมันเข้ากับกลุ่มทุนห้วงเวลาของเขาได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และนั่นจะยิ่งดีต่อเขามากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อคิดได้ดังนี้ ซูจิ้งจึงตัดสินใจแล้วว่าเขานั้นไม่ต้องเสียเวลาคิดหาวิธีการใช้ประโยชน์จากน้ำมันปลาทะเลน้ำลึกนี้ให้เหนื่อยเปล่าแต่อย่างใด เขาได้โทรหาเฉิงหนานให้เตรียมตัวทำการเปิดงานแถลงของบริษัทต่อสาธารณะชนเอาไว้