Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1096
GGS:บทที่ 1096 ที่สุดแห่งห้วงเวลาและกาลอวกาศ
กุญแจนี้มีลักษณะคล้ายกุญแจรีโมทของรถยนต์ มันมีสีดำสนิท บนตัวกุญแจนี้เลื่อนลงได้ เมื่อลงแล้วกุญแจนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีแดง
และตอนที่ได้เลื่อนดูนั้นก็พบว่ามันมีเสียงสัญญาณออกมาและทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะเทือนบางอย่าง ทั่วทั้งล่างของเขาหดเกร็ง ขนอกของเขาลุกชัน ซึ่งนี้ไม่ได้มาจากการที่เขาตกใจอย่างแน่นอน
ซูจิ้งรีบใช้พลังจิตของตัวเองเลื่อนให้กุญแจนี้กลับไปอยู่ในสภาพเดิม ตอนนั้นเองแรงสั่นไหวก็ได้หายไป และความรู้สึกไม่ดีของเขาก็พลันหายไปในทันที
“เจ้านี่มันอะไรกัน” ตอนนี้ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้มีความรู้สึกถึงรางร้ายแบบก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม แต่เขานั้นรู้ดีว่าร่างกายของเขานั้นเหนือมนุษย์ขนาดไหนแต่กลับต้องรู้สึกถึงความรู้สึกแบบนี้ได้แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
หากเป็นคนทั่วไปเมื่อรู้สึกถึงรางร้าย เป็นเขานั้นคงธรรมดา แต่กับยอดคนอย่างเขาแล้วการที่ต้องรู้สึกถึงรางร้ายแบบนี้ หากเป็นคนธรรมดามาเจอคงจะนิ่งแข็งค้างและอาจช็อคตายไปเลยก็ได้
ซูจิ้งได้ทำการถอยไปตั้งหลักไกลๆและไกลมาก แล้วเขาก็ได้ลองเลื่อนปุ่มอีกครั้งเพื่อตรวจสอบว่ามันคืออะไรกันแน่ โดยเขาให้หนูจำนวนหนึ่งเข้าไปใกล้กุญแจนี้ก่อนที่จะเลื่อนปุ่มอีกครั้ง
เขาพบว่าหนูทุกตัวในตอนนั้นเหมือนจะเป็นอำมพาตในทันที สติเลือนลาง จนกระทั่งหูของพวกมันมีเลือดไหลออกมา
หลังจากผ่านไปสิบห้านาทีโดยประมาณ หนูทั้งหมดนั้นได้กลับมาเคลื่อนไหวอย่างอิสระ และไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรุนแรงตกค้างแต่อย่างใด แต่ยังเหลือไว้ซึ่งท่าทางมึนงง
ซูจิ้งประเมินแล้วว่าเจ้าสิ่งนี้สมควรเป็นอาวุธคลื่นเสียงแบบหนึ่ง โดยมันนั้นน่าจะใช้สำหรับหยุดการเคลื่อนไหวของศัตรูเป็นหลัก และไม่ได้ส่งผลเสียต่อร่างกายสักเท่าไหร่
“ช่างเป็นเทคโนโลยีที่สูงล้ำจริงๆ” ซูจิ้งได้วางรีโมตสีดำนี้เอาไว้กับปืนพลังงาน ถึงแม้ทั้งสองอย่างนี้จะไม่ได้ทรงพลังมากแต่แน่นอนว่าพวกมันใช้ประโยชน์ได้แน่นอน
“ขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่นะ” ซูจิ้งใช้ความคิดของตัวเองเกี่ยวกับห้วงเวลาที่น่าจะมีสิ่งต่างๆอย่างศพเอเลี่ยน ปืนพลังงาน และอาวุธคลื่นเสียงอยู่พักใหญ่ แต่คิดยังไงก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีเพราะว่ามันติดอยู่ตรงที่มีชื่อของสถานที่ที่เหมือนกับโลกนี้อย่างนิวยอร์คและลอสแองเจอลิส
ซูจิ้งเลิกคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในตอนนี้และได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อไป ตอนนี้เขาเข้าไปจัดการขยะกองโลหะที่เต็มไปด้วยเศษซากโลหะที่ดูแปลกประหลาด
และด้วยการที่เสี่ยวไป๋ไม่สามารถซ่อมพวกมันได้ทำให้เขานั้นยิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่ว่าพวกมันใช้ทำอะไรกันแน่
หลังจากเขาจัดการขยะต่อไปได้สักพักเขาก็ได้พบวัตถุประหลาดที่มีทรงปิระมิดฐานสามเหลี่ยม สีของมันนั้นสีดำสนิท แถมยังสามารถจับมันคลี่ออกไปได้อีกด้วย
ส่วนล่างของมันนั้นเหมือนจะกลวงโบ๋ และข้างในนั้นเองก็เหมือนจะมีแกนกลางบางอย่างอยู่
ซูจิ้งได้ทำการสำรวจมันอยู่ชั่วระยะหนึ่งแต่ก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้ว่ามันใช้ทำอะไร ส่วนพื้นผิวของมันสองด้านเองดูเหมือนจะแตก และแกนกลางของมันเองก็เหมือนจะมีรอยแตกละเอียดยิบ
เมื่อเขาเห็นว่าเจ้าปิรามิดฐานสามเหลี่ยมนี้มีร่องรอยเสียหายอย่างหนักแบบนี้จึงรู้สึกไม่แปลกใจหากว่ามันไม่สามารถทำงานได้
ซูจิ้งคิดได้ดังนี้จึงได้เรียกเสี่ยวไป๋ให้มาซ่อมปิรามิดฐานสามเหลี่ยมนี้ในทันที เมื่อเสี่ยวไป๋เริ่มซ่อมแซม ร่องรอยแตกทั้งหลายก็ค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
หลังจากผ่านไปสองนาที ปิรามิดฐานสามเหลี่ยมก็ดูใหม่เอี่ยมอ่องราวกับเพิ่งสร้างออกมาหมาดๆ
หลังจากซ่อมแซมปิรามิดฐานสามเหลี่ยมนี้เสร็จ ซูจิ้งก็ใช้พลังจิตพลิกหมุนมันดูอีกครั้ง หลังจากเขาลองกางมันออกดูก็พบว่ามันแตกต่างจากตอนแรกพอสมควร มุมของสามเหลี่ยมที่กางออกเชื่อมต่อกันได้รูปพอดี
และส่วนที่เป็นแกนกองเองในตอนนี้ก็ได้ส่องสว่างออกมาและส่องแสงออกเป็นสีน้ำเงิน
อากาศในบริเวณนั้นหมุนวันอย่างรุนแรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จนในที่สุดก็กลายเป็นแรงลมมหาศาลพัดขึ้นมาในทันที
ลมนี้รุนแรงมากจนซูจิ้งตั้งใช้ลำแขนของตัวเองมาบังหน้าเอาไว้และต้องฝืนเอนกายไปข้างหลังจนเท้าของเขาต้องจมอยู่ในดินเพื่อฝืนไว้ไม่ให้โดนลมดูดเข้าไป เรียกได้ว่าฝืนยืนอยู่อย่างยากเย็นเลยทีเดียว
แต่เสี่ยวไป๋นั้นเรียกได้ว่าโชคร้ายเลยทีเดียว ด้วยการที่มันเองก็ไม่ทันตั้งตัวจึงไม่สามารถหาที่เกาะได้ทัน จนในตอนนี้ตัวมันเองรู้สึกได้ถึงรางร้ายในทันทีเพราะมันนั้นกำลังถูกดูดเข้าไปยังแกนกลางสามเหลี่ยมของปิรามิดเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งเองแม้จะไม่เห็นฉากนี้เพราะต้องใช้แขนตัวเองบังลมเอาไว้ แต่ตัวเขานั้นก็ยังรู้สึกได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะถึงแม้ว่าเสี่ยวไป๋จะมีสแตนด์ แต่ยังไงซะสแตนด์ของมันนั้นใช้ในการซ่อมแซมสิ่งของเท่านั้น
หากว่าต้องโดนโจมตีแม้จะเพียงแค่เบาๆนั่นก็แรงพอที่จะทำให้มันเจ็บหนักไม่ก็ตายได้ในทันที ซูจิ้งแน่นอนว่าต้องไม่ยินดีกับการตายของเสี่ยวไป๋อย่างแน่นอน
เขานั้นได้รีบปล่อยกระแสจิตของตัวเองออกมา แล้วใช้ขยะบางชิ้นคอยดันตัวของเสี่ยวไป๋เอาไว้ไม่ให้ถูกดูดเข้าไป ด้วยการที่กระแสจิตของซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งพอที่จะยกของได้กว่า 750 กิโลกรัมทำให้เขานั้นสามารถฝืนยื้อได้อย่างสบาย และเมื่อซูจิ้งได้ตัวเสี่ยวไป๋มาแล้ว ตอนนั้นเอง แรงดึงดูทั้งหมดก็ได้หายไปในทันที และตอนนั้นเองขยะทั้งหลายที่ลอยวนก่อนหน้านี้ก็ได้ล่วงลงมายังพื้นทันใด
“เจ้านี่มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งนั้นรู้สึกประหลาดใจในทันทีเมื่อได้เห็นฉากก่อนหน้านี้ ตอนแรกเขาก็ว่าแค่ปืนลำแสงและอาวุธคลื่นเสียงก่อนหน้านี้ถือว่าเทคโนโลยีล้ำยุคมากแล้ว
แต่เจ้าสิ่งนี้เรียกได้ว่าคนละระดับขั้นได้เลย หากว่าเขาเข้าใจไม่ผิดนั้นเจ้านี่คือเครื่องที่ปล่อยคลื่นแรงโน้มถ่วงออกมา หรือจะให้เรียกง่ายๆก็คือเครื่องทำหลุมดำนั่นเอง และเมื่อได้เห็นของสิ่งนี้ ซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกคุ้นเคยออกมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูจิ้งได้ทำการส่ายศรีษะไปมาเพื่อสลัดความรู้สึกคุ้นเคยนี้ออกไปก่อน เขาเก็บปิรามิดสีดำนี้ในกระเป๋ามิติแล้วทำการจัดการขยะต่อไป
คราวนี้เขาได้มาจัดการขะกองหิน ซึ่งในโดยส่วนใหญ่เป็นก้อนอิฐ พื้นผิวของมันนั้นมีสีแดง หลังจากจัดการหินและทรายไปเรื่อยๆนั้นเขาก็ได้พบชุดเกราะที่มีสีแดงเข้า
แต่ว่าขุดเกาะนี้เต็มไปด้วยรอยบิ่นและแตกจนเป็นชิ้นๆอย่างไม่ไยดีพร้อมทั้งรายสนิมขึ้น เรียกได้ว่านึกไม่ออกเลยว่าสภาพเดิมของมันนั้นมีหน้าตายังไงกันแน่
ซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋เข้ามาซ่อมแซมชุดเกาะนี้ในทันที ด้วยการที่ชุดเกราะนี้ดูเหมือนจะเสียหายหนักมากทำให้เสี่ยวไป๋สามารถซ่อมแซมมันได้อย่างช้าๆเท่านั้น
เสี่ยวไป๋ใช้เวลากว่าสิบนาทีจึงทำให้มันกลับคืนสู่สภาพเกือบสมบูรณ์ได้ และใช้เวลาอีกสิบนาทีจึงซ่อมแซมได้เกือบทั้งหมด
ในตอนนี้เองที่ซูจิ้งได้จ้องมองชุดเกราะนี้ด้วยสายตาราวกับนึกอะไรออกบางอย่าง สายตาของเขาสาดส่องไปทั่วชุดเกราะนี้เพราะรู้ดีว่าชุดเกราะนี้ไม่ใช่ชุดธรรมดาอย่างแน่นอน
หากว่าเขานั้นสามารถใส่เกาะทั้งชุดนี้ได้ล่ะก็ เขาบอกได้เลยว่าตัวเขานั้นจะต้องเท่แบบสุดอย่างแน่นอน แต่ละชิ้นส่วนนั้นบอกได้เลยว่าออกแบบมาได้อย่างโดดเด่น
และเมื่อได้เห็นชุดเกราะในตอนที่เสี่ยวไป๋เกือบจะซ่อมเสร็จแล้วทำให้ซูจิ้งอดจะพูดออกมาไม่ได้ว่า “พระเจ้า นี่ไม่ใช่เกราะธรรมดา มันเป็นเกาะของไอร่อนแมน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยหัวใจที่สั่นไหวและตื่นเต้น
ชุดเกราะของไอร่อนแมนนั้นเป็นชุดเกราะต่อสู้ที่สามารถบินได้ แถมอาณุภาพของมันนั้นยังสูงล้ำเมื่อใช้ในการต่อสู้จริง เรียกได้ว่ามันเป็นชุดเกราะที่ผู้ชายหลายๆคนอยากได้เอาไว้ในครอบครองเลยทีเดียว
ไม่มีลูกผู้ชายคนไหนหรอกที่ได้เห็นชุดเกราะนี้แล้วจะอดที่จะแสดงความตื่นเต้นยินดีนี้เอาไว้ได้
“ขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไอร่อนแมนงั้นเหรอ…อาวุธคลื่นเสียงนั่นน่าจะเป็นอาวุธของสตาร์คที่สร้างเอาไว้โดยที่รัฐบาลไม่รับรู้….จำได้ว่าตอนภาคแรกนั้นตัวร้ายที่ชื่อโอบาไดห์ สเตนใช้อาวุธนี้ทำให้โทนี่สตาร์คขยับไม่ได้ ก่อนที่จะขโมยเตาปฏิกรที่หน้าอกออกไป
ห้วงเวลาฯไอร่อนแมนนั้นมีเรื่องราวหลักๆอยู่บนโลกใบนี้ นี่จึงไม่แปลกที่จะมีสถานที่ที่มีชื่อเดียวกันอย่างลอสแองเจอลิสและนิวยอร์คแต่อย่างใด
….ไม่สิ ฉันจำได้ว่าในห้วงเวลาฯไอร่อนแมนไม่มีสัตว์ประหลาดแบบนั้นนี่นา…ถ้าจะมีก็คงจะเป็นตอนที่สัตว์ประหลาดและเอเลี่ยนต่างใดที่บุกไปยังโลกตอนอเวนเจอร์
ใช่ๆ พวกนั้นถือปืนที่เป็นอาวุธลำแสง มิน่าพวกมันถึงดูไม่คุ้นเคยเลย…ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ เจ้าเครื่องมือทรงสามเหลี่ยมนั่นก็น่าจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการจนส่งในกาแลกซี่….
พระเจ้าเถอะ นี่มันขยะห้วงเวลาฯอเวนเจอร์ชัดๆ” สมองของซูจิ้งในตอนนี้แล่นโลดอย่างรวดเร็ว เขาเก็บเกี่ยวข้อมูลทุกอย่างที่มีออกมาก่อนจะยืนยันสมมุติฐานของเยา
ในตอนนี้เองที่หัวใจของเขานั้นเต้นเร็วกว่าเดิม หากว่านี่เป็นเพียงขยะจากห้วงเวลาฯไอร่อนแมนแบบที่คิดในตอนแรก แค่นั้นก็ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้มากแพงแล้ว นั่นก็เพราะแค่ในห้วงเวลาฯนั้นก็มีเทคโนโลยีที่ลำหน้ากว่าโลกนี้ไปไกลมากแล้ว
แต่ว่านี่คือขยะห้วงเวลาฯของทั้งจักรวาลมาเวลเลยนะ แน่นอนว่ามันต้องเหนือล้ำกว่าอย่างสุดจะคาดเดา
ซูจิ้งพยายามกดข่มจิตใจของตัวเอง ก่อนที่จะบังคับสายตาของตัวเองให้ละออกจากชุดเกราะไอร่อนแมนที่อยู่ตรงหน้า โดยเขานั้นเปลี่ยนไปจ้องมองขยะฯกองอื่นที่ยังไม่ได้จัดการพร้อมสายตาที่ทอประกายราวกับได้เห็นขุมทรัพย์กองโตอยู่ตรงหน้าของเขา