Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1100
GGS:บทที่ 1100 การมาเยือนจากนานาประเทศ
ในวันเดียวกันนั้นเองที่บรรดาฑูตจากนานาประเทศและนักวิจัยได้มายังประเทศจีน
รัฐบาลก็ได้อนุมัติให้เหล่านักวิจัยจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาเยี่ยมเยือนยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้งเพื่อทำการตรวจสอบเกี่ยวกับปฏิสสาร
แน่นอนว่ากับเรื่องนี้เองก็ทำให้ทุกประเทศต่างก็สงสัยขึ้นมาว่าหรือประเทศจีนนั้นจะไม่ได้สามารถผลิตปฏิสสารได้จริงๆ มีเพียงประเทศอเมริกาเท่านั้นที่ยังคงมั่นใจว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งต้องผลิตปฏิสสารได้แล้วแน่ๆ เพราะพวกเขานั้นได้สืบสวนเรื่องนี้มาโดยตลอด
เหล่าทีมสอบสวนจากนานาประเทศได้นั่งเครื่องบินลำเดียวกันตรงไปยังเมืองจงหยุน เมื่อไปถึง พวกเขาก็ได้ตรงไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯในทันที
หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ แฟนคลับของซูจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะมีท่าทีเป็นกังวล แม้แต่ชาวเน็ตเองก็ยังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่หยุดย่อน เช่นเดียวกับที่หวังจ้าวและเฉิงหนานที่ได้โทรหาซูจิ้งซ้ำๆเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเตรียมรับมือไว้แล้ว
“ใจร่มๆกันก่อนน่า ฉันรู้เรื่องนี้และเตรียมพร้อมไว้แล้วจริงๆ” ด้วยการที่ซูจิ้งตอบสนองด้วยท่าทีไร้กังวลแบบสุดๆนี้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นค่อนข้างมั่นใจในแผนการที่เขานั้นได้ร่วมกับเหล่าสุดยอดอาวุธลับของเขาวางแผนไว้เป็นอย่างดี และด้วยเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลจีนเปิดแขนอ้ารับการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นยังไงซะก็ต้องมาถามซูจิ้งเอาไว้ก่อนอยู่แล้ว เพื่อที่ว่าจะได้เตรียมตัวเอาไว้หากจะเป็นต้องทำอะไร
“ใจร่มๆ นายมาใจเย็นในสถานการณ์แบบนี้ได้ยังไงกัน ยังไงซะหลังจากนี้ทุกคนต้องรู้แล้วว่าประเทศจีนนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้แล้วเป็นแน่ แล้วแบบนี้นายยังใจเย็นได้อีกเหรอเรื่องนี้มันสุ่มเสี่ยงจะทำให้โลกนี้เกิดความโกลาหลได้เลยนะ” หวังจ้าวถามออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น เขาเองแม้จะยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหากว่าความจริงถูกเปิดเผยก็ตาม
แต่ที่แน่ๆเขารู้ว่านานาประเทศจะต้องใช้เรื่องนี้ในการก่อสงครามโลกครั้งที่สามได้อย่างสบายๆ
“อาจิ้ง นายคิดว่าเราควรจะเคลื่อนย้ายอุปกรณ์ออกไปก่อนจะดีรึเปล่า อย่างน้อยๆก็นำอุปกรณ์สำคัญออกไปก่อนก็ยังดี” เฉิงหนานถามออกมา
“โอ้…เจ้ว่าถ้าทำแบบนั้นจะช่วยให้เรารอดได้จริงๆเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้นี่นา อย่างน้อยๆได้ลองทำดูดีกว่ามารอคอยความตายแบบนี้” เฉิงหนานตอบกลับมา ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่าการเคลื่อนย้ายของเหล่านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเครื่องยิงปฏิสสารนั้นใหญ่แบบสุดๆแถมหากว่าถอดออกมาอย่างไม่ระวังล่ะก็ ต่อให้รอดครั้งนี้ไปได้แต่ซูจิ้งก็อาจจะไม่สามารถผลิตปฏิสสารได้อีกนานเลยทีเดียว
อีกอย่าง ต่อให้นำส่วนสำคัญออกไป แต่ตราบใดที่ผู้ตรวจสอบยังมีตาอยู่ล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่จะไม่สงสัยว่าของที่เหลือเหล่านั้นใช้ทำอะไรได้บ้าง
นี่ยังไม่รวมถึงเหล่าสายลับที่คอยจับตาดูที่นั่นอีก หากว่าสายลับใช้โอกาสนี้แฝงตัวเข้ามาล่ะก็ ความลับเพียงเล็กน้อยของพวกเขา ย่อมไม่ธรรมดากับคนอื่นอย่างแน่นอน
เรียกได้เลยว่าหากพวกเขานำอุปกรณ์ออกไปแม้เพียงเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้ต่างอะไรกับเป็นการบอกทั้งโลกให้รับรู้ว่าสถาบันห้วงเวลาฯแห่งนี้เก็บงำความลับเอาไว้อยู่มากมาย
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า เรื่องนี้ฉันเองได้เตรียมการเอารับมือเอาไว้แล้วจริงๆ หากว่าเป็นกังวลนักล่ะก็ช่วยไปที่นั่นกับฉันหน่อยก็พอ
ด้วยกับเหล่าตัวตนแบบนั้น หากว่าพวกเราไม่ออกไปต้อนรับล่ะก็คงต้องเสียโรงพยาบาลของพวกเราไปแน่ๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มจนทำให้ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานถึงกับพูดไม่ออกในทันที
โรงพยาบาลบ้าบออะไรกันก็ในเมื่อพวกนั้นไปสถาบันวิจัยฯเพื่อตรวจสองเรื่องปฏิสสารไม่ใช่รึไง อย่าบอกนะว่าหมอนี่กลัวพวกนั้นตื่นเต้นประหม่าจนต้องทรุดเข้าโรงพยาบาลไปกัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองจะยังคงรู้สึกสงสัยอยู่เต็มอก แต่ทั้งสองก็ยังเลือกที่จะไปยังสถาบันห้วงเวลาฯตามที่ซูจิ้งชวนอยู่ดี
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว รถยนต์คันหนึ่งได้ขับเข้ามาจอดยังสถาบันห้วงเวลาฯของซูจิ้งภายใต้การนำของรถนำขบวนของทหาร
ซูจิ้งเฉิงหนาน และหวังจ้าวได้มายืนรอรับอยู่ก่อนแล้ว แต่นอกจากซูจิ้งที่ยังคงมีท่าทีสุขุมอยู่นั้นเฉิงหนานและหวังจ้าวกลับประหม่าแบบสุดๆ นั่นก็เพราะพวกเขานั้นไม่เคยรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้อยู่ท่ามกลางสนามรบเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ไม่นานรถคันอื่นๆก็ได้ขับตามกันมา ในรถเหล่านั้นคือเหล่าผู้ตรวจสอบจากอเมริกา รัสเซีย ผรั่งเศส อังกฤษ และประเทศอื่นๆที่ทยอยก้าวเดินมาจากรถของประเทศตัวเอง และทั้งหมดได้เดินมาภายใต้การน้ำของตัวแทนรัฐบาลจีน เปรียบได้ดั่งคนที่นำพายุมาหยุดอยู่หน้าประตูสถาบันวิจัยฯเลยก็ว่าได้
คนที่นำเหล่าผู้ตรวจสอบเหล่านี้มาก็คือหวังจุ่น ผู้ที่ตอนนี้ได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองทหารเรียบร้อยร้อย ด้วยการที่หวังจุ่นมาด้วยตนเองแบบนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้คนโดยรอบอย่างไม่ต้องสงสัย
แน่นอนว่าการที่หวังจุ่นมานี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแต่อย่างใด เป็นซูจิ้งที่ทำการหารือเอาไว้แล้วได้ให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นส่งหวังจุ่นมาเป็นตัวแทนรัฐบาล
เมื่อหวังจุ่นได้เดินเข้ามายังหน้าประตู เขา ซูจิ้ง และหวังจ้าว ทำเพียงแค่พยักหน้าให้กันเท่านั้นโดยไม่ได้กล่าวทักทายกันแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าพวกเขาในตอนนี้ได้ยกหน้าที่ตัวแทนฑูตประเทศจีนให้ซูจิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้ทำการยื่นมือไปจับทักทายกับทุกคนทีละคน
ด้วยการที่เขาได้เห็นแล้วว่าผู้แทนแต่ละประเทศนั้นแทบจะอดทนรอไม่ได้ที่จะเข้าไปแล้ว ซูจิ้งจึงไม่ได้มีท่าทีรั้งรอแต่อย่างใด เมื่อทักทายกันเสร็จแล้ว เขาจึงเปิดประตูให้ทั้งหมดเข้าไปในทันที
“อาจิ้ง นายนี่น้า…ช่างหาเรื่องได้ตลอดเลยจริงๆ” ในขณะที่กำลังเดินนำเหล่าผู้แทนนานาประเทศเข้าไปนั้น หวังจุ่นอดที่จะพูดออกมาอย่างกระซิบกระซาบพร้อมรอยยิ้มออกมาไม่ได้
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นก่อนหน้านี้จะทำเรื่องราวที่มากมายและใหญ่โตจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งประเทศ ไม่สิต้องบอกว่าทั้งโลกต้องตกตะลึงมาแล้วก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว เรื่องราวเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยสักนิด
“พี่ใหญ่ ตอนนี้เอายังไงต่อล่ะ” หวังจ้าวที่เดินขนาบข้างมาเองก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถามออกมา
“เรื่องนี้ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันได้รับคำสั่งมาเพียงแค่ให้ส่งและคอยอารักษ์ขาคนพวกนี้เอาไว้เท่านั้น ฉันต่างหากที่ควรจะถามนะว่าเอายังไงต่อ” หวังจุ่นพูดออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน” หวังจ้าวพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่ทั้งสามคนจะชำเลืองมองไปยังซูจิ้งอย่างเป็นตาเดียวกัน
“ไม่ต้องกังวลกันไปหรอกน่า เดี๋ยวทุกคนก็จะได้เห็นฉากดีๆเองนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งได้พูดออกมาในทันทีพร้อมกับปล่อยพลังจิตของตัวเองออกมาให้ครอบคลุมทั่วทุกคนที่อยู่ที่นี่ แม้แต่หวังจุ่น หวังจ้าว และเฉิงหนานก็ไม่เว้น
ด้วยการที่เหล่าผู้แทนเหล่านี้มีจิตใจที่ไม่คงที่เพราะมัวแต่ตื่นเต้นกับการที่จะได้เข้าไปดูเทคโนโลยีปฏิสสารทำให้ซูจิ้งทำการสะกดจิตทุกคนได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าการสะกดจิตของซูจิ้งในครั้งนี้นั้นไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ แต่ถึงจะบอกว่าไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ แต่ด้วยการที่ต้องสะกดจิตคนจำนวนมากมายขนาดนี้ย่อมทำให้ซูจิ้งเหนื่อยไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อทุกคนได้เข้าไปถึงห้องวิจัย แน่นอนว่าเอเลี่ยนในตอนนี้ถูกพาไปซ่อนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนคนอื่นนั้นก็ยังคงทำงานของตัวเองอย่างปกติ มีเพียงปันฉางเท่านั้นที่ก้าวออกมาเข้าหาพวกเขา
“ปันฉาง นายช่วยแนะนำสถาบันวิจัยห้วงเวลาของพวกเราหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ เชิญทุกท่านตามมาทางนี้ด้วยครับ” ปันฉางพยักหน้ารับก่อนที่จะนำทุกคนไปอีกพื้นที่หนึ่ง ซูจิ้งเองก็ได้นั่งลงตรงพื้นที่ด้านนอกนี้ก่อนที่จะนำชาของตัวเองออกมาจากกระเป๋ามิติ และทำการชงชาเพื่อรอคอยอย่างสบายอารมณ์
ปันฉางได้นำเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่บางส่วนพร้อมทั้งทำการอธิบายอย่างส่งๆปนไปกับคำโกหกคำโตอย่างพวกเขานั้นมีอุปกรณ์ในการผลิตครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขานั้นยังขาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการบรรจุปฏิสสารเอาไว้ได้
ในตอนนี้ที่พวกเขาทำอยู่นั้นสมควรจะเป็นการทดลองผลิตอุปกรณ์บรรจุปฏิสสารเสียมากกว่า แน่นอนว่าหากเป็นปกติแล้ว ผู้แทนนานาประเทศเหล่านี้เพียงมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่เพียงพวกเขาจะมีอุปกรณ์พร้อมบรรจุ พวกเขานั้นยังผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสันเลยด้วยซ้ำ
แต่ด้วยการที่พวกเขาอยู่ภายใต้การสะกดจิตเกือบสมบูรณ์ของซูจิ้งนี้ทำให้พวกเขานั้นต่างก็เชื่อปันฉางกันอย่างหมดใจ
หลังจากเสร็จการอธิบายห้องนี้แล้ว ปันฉางได้พาทุกคนไปลองเล่นอุปกรณ์ที่เขาทดลองผิดพลาดมาก่อนหน้านี้โดยใช้วเลานั่นส่วนนี้ร่วมชั่วโมงเห็นจะได้
หลังจากที่ทุกคนรู้สึกไร้ข้อกังขาแล้ว พวกเขาก็ออกจากห้องวิจัย และต่างก็ขึ้นรถของประเทศตัวเองแล้วจากไปในทันที พร้อมทั้งส่งข่าวไปยังประเทศของตัวเองในสิ่งที่พวกเขาได้รับรู้
แน่นอนว่าทุกประเทศต่างก็ได้รับรายงานคล้ายๆกันว่าสถาบันแห่งนี้ยังคงทำเพียงแค่ระดับขั้นศึกษาปฏิสสารเท่านั้น ยังห่างไกลจากการผลิตอีกมากนัก
หวังจุ่น หวังจ้าว และเฉิงหนานเองก็พึ่งจะได้สติหลุดออกจากการสะกดจิตก็หลังจากที่พวกเขาเห็นเหล่าผู้แทนจากนานาประเทศได้ทยอยกลับกันไปแล้ว
ถึงแม้ทั้งสามจะจดจำได้ว่าสถาบันวิจัยฯของซูจิ้งจะยังคงอยู่แค่ในระดับขั้นศึกษาปฏิสสารก็ตาม แต่พวกเขานั้นกลับรู้สึกค่อนข้างมั่นใจว่าต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติอย่างแน่นอน
นั่นก็เพราะว่าในตอนนี้พวกเขานั้นถึงแม้ว่าจะนึกได้ว่าพวกเขานั้นได้เดินเขาไปยังพื้นที่วิจัยปฏิสสารก็จริง แต่พวกเขาจำไม่ได้แม้กระทั่งคำพูดของปันฉางที่พูดให้พวกเขาได้เลยสักคำ
แถมก่อนหน้านี้หวังจ้าวและเฉิงหนานยังรู้มาว่ซูจิ้งนั้นสามารถผลิตปฏิสสารได้แล้วจริงๆ นี่จะทำให้พวกเขานั้นปักใจเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยังไง