Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1113
บทที่ 1113 ป้องกันโลก
เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้ได้เห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ว่าระบบป้องกันดวงดาวต่างก็อึ้งทึ่งกันในทันที
เพราะเพียงเห็นจากชื่อแล้วมันช่างดูเวอร์วังเสียเหลือกเกิน ดูเหมือนว่านี่คือระบบที่ใช้ป้องกันการรุกรานจะศัตรูนอกโลกยังไงก็ไม่รู้
แต่โลกนี้มีความจำเป็นต้องใช้ระบบแบบนี้จริงๆด้วยอย่างนั้นเหรอ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่ต้องวางระบบนี้ทั่วทั้งโลก แต่ พวกเราจะมีศัตรูมากจากนอกโลกจริงๆงั้นเหรอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาได้ศึกษาทั้งอุปกรณ์ ระบบ รวมถึงภาพร่างที่ซูจิ้งได้เอามาแล้ว พวกเขาต้องตกตะลึงอย่างที่สุด นั่นก็เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีชั้นสุดยอด ถึงแม้พวกเขาพึ่งจะศึกษาสั้นจนรู้ได้แค่ผิวเผินก็ตาม แต่แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจผิด และนี่ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันขึ้นมาจริงๆ
“พระเจ้าช่วย เทคโนโลยีพวกนี้ช่างสูงล้ำจริงๆ”
“แน่นอนว่าระบบป้องกันพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเราคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และสิ่งของเหล่านี้ล้วนแล้วสร้างมาจากเทคโนโลยีที่พวกเราคิดว่าในอนาคตเราจะทำมันได้ รวมถึงระบบนี่เหนือล้ำกว่าระบบในปัจจุบันมากนัก”
“โดยเฉพาะระบบป้องกันนั่น ระบบนี่มีอาณาเขตป้องกันยันอเมริกาและเกาหลีใต้เลยนะ แถมยังครอบคลุมทั้งระบบป้องกันและระบบตรวจจับอีกด้วย ระบบนี้เหนือล้ำกว่าระบบใดๆในโลกจริงๆ หากเทียบกันแล้วระบบปัจจุบันไม่ได้ต่างจากปัจจุบันเลยสักนิด”
ก็ไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะตกตะลึง นั่นก็เพราะ ซูจิ้งขุดระบบป้องกันดวงดาวนี้มาจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ทางช้างเผือก
ในห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ทางช้างเผือกนั้นเป็นยุคสมัยที่มนุษย์โลกได้ขยายอาณาเขตของตนไปยังดวงดาวต่างๆ จนทำให้เกิดสงครามระหว่างดวงดาวอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่จะมีการคิดค้นและติดตั้งระบบป้องกันที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาวแบบนี้
การที่แผนผังระบบนี้ถูกทิ้งมาอยู่ในกองขยะห้วงเวลาฯแบบนั้นได้สมควรจะมาจากระบบนี้ล้าหลังจนทิ้งเสียดีกว่า แต่ยังไงซะเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของโลกใบนี้แล้วแน่นอนว่าเหนือล้ำกว่าร้อยปีพันปี
คำถามคือทำไมซูจิ้งถึงได้นำระบบนี้มาให้ที่นี่ศึกษากันล่ะ หรือว่าจะมีศัตรูจากนอกโลกมาบุกโลกนี้จรึงอย่างนั้นเหรอ
สำหรับคำตอบในข้อนี้คำตอบคือไม่ใช่ อย่างน้อยๆก็เท่าที่ซูจิ้งรู้ ด้วยการที่ระบบนี้เป็นระบบป้องกันพิสัยกว้างมากๆเรียกได้ว่าเหนือล้ำกว่าระบบไหนๆในโลก สิ่งที่เขาต้องการจริงๆนั้นคือมีไว้เพื่อใช้สกัดศัตรูในโลกนี้เป็นหลัก
ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศและระบบป้องกันมิสไซล์นี้ ซูจิ้งนั้นมุ่งหวังเอาไว้ว่าใช้ในการป้องกันประชาชนในประเทศนี้รวมถึงสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น
ระบบในปัจจุบันนี้สามารถป้องกันการโจมตีทางอากาศและมิสไซล์ด้วยความสูงเพียงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น แน่นอนว่ามันสามารถใช้ป้องกันได้เพียงแค่การโจมตีระดับเบาๆและอาณาเขตป้องกันก็ช่างน้อยนิด
ไม่ต้องพูดถึงเลยหากมีการโจมตีมาจากอากาศยานที่บินได้สูงกว่าและกระหน่ำโจมตีลงมา ยิ่งไปกว่านั้นคือประเทศเองยังมีข้อพิพาดกับประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้งเกี่ยวกับการทดลองมิสไซร์เหล่านี้ แล้วมีการหลุดรอดลงมาบนแผ่นดินประเทศบ่อยครั้งซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก
นี่ยังไม่รวมถึงว่าหากฝ่ายศัตรูมีการใช้อาวุธที่มุ่งหวังในการทำลายล้างจริงๆอย่างหัวรบนิวเคลียหรือไม่การอาวุธเคมี ด้วยระบบป้องกันของปัจจุบันนั้นแทบจะฝากความหวังอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับระบบป้องกันดวงดาวนี้แล้วต่อให้ประเทศจีนถูกกระหน่ำยิงมาจากรอบด้านก็ยังไม่สะเทือนเลยสักนิด ยังไม่รวมถึงอาณุภาพของระบบที่ไม่ว่าเจอเป้าหมายแบบไหนก็ต้องพังพินาศ
ด้วยการที่ระบบนี้มีทั้งระบบตรวจจับและระบบป้องกันที่ไกลกว่า 1200 กิโลโมตร นี่จึงเป็เหตุผลว่าทำไมระบบป้องกันดวงดาวนี้ถึงได้ทรงพลังกว่าร้อยเท่าพันเท่าเมื่อเทียบกับระบบในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ระบบป้องกันดวงดาวนี้จะดีกว่าระบบปัจจุบันจนเรียกได้ว่าแค่สร้างหนึ่งก็ป้องกันได้ทั้งโลกก็ตาม แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันของประเทศจีนนั้นทำให้ซูจิ้งไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยยกระดับให้ประเทศป้องกันตนเองได้ดีขนาดไหน นี่ยังไม่รวมถึงหากว่าประเทศอื่นรู้เข้าจะส่งคนมาขัดขวางอีก
นั่นก็เพราะระบบนี่แน่นอนว่าไม่ได้มีแต่ชื่อว่าป้องกันแต่ไม่มีระบบอาวุธที่ทรงอาณุภาพอย่างแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นระบบนี้จะป้องกันการรุกรานจากต่างดาวได้ยังไงล่ะ
ด้วยการที่อาวุธในระบบนี้เหนือล้ำกว่าอาวุธใดๆบนโลกใบนี้ แน่นอนว่าหากใช้ในทางที่ผิดล่ะก็ สามารถกวาดล้างพื้นที่บางส่วนบนโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย
“คุณซู คุณไปได้ระบบนี้มาจากไหนกันครับ มันช่างลึกล้ำกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมากนัก” เหล่านักวิจัยได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ต้องถามมาก หน้าที่ของคุณคือการศึกษาและนำมาประยุคใช้จริงให้ได้เร็วที่สุดเท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชาแสดงออกว่าไม่ต้องการกล่าวถึงที่มาของสิ่งนี้
“ได้ครับ” เหล่านักวิจัยที่ได้ยินและเห็นท่าทางก็ได้รีบนำไปศึกษาทันทีโดยไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก
การที่ซูจิ้งนำสิ่งที่เหนือล้ำขนาดนี้มานั้นแน่นอนว่าเจ้าของสิ่งเหล่านี้ต้องมีความระมัดระวังตัวอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้นักวิจัยเหล่านี้ต่างก็เข้าใจดี
หลังจากซูจิ้งส่งมอบของแล้ว เขาก็ได้เดินออกจากพื้นที่ทดลองลับแต่ก็ไม่ได้กลับออกไปในทันที เขาได้เข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารโจวอย่างลับๆเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสาร บอกได้เลยว่าปฏิสสารนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงและต้องเป็นความลับสุดยอดยิ่งกว่าของที่เขานำมาซะอีก
ด้วยการที่ประเทศอย่างอเมริกาออกตัวมาพูดเกี่ยวกับปฏิสสารมาเองขนาดนี้ย่อมทำให้ประเทศอื่นเองก็คิดที่จะตามเรื่องนี้ไม่ปล่อยต่อให้อเมริกาสิ้นท่าจนล้มเลิกความตั้งใจจนเสนอประนีประนอมกับจีนแล้วก็ตาม
ด้วยความคิดที่ว่า หากมีสถาบันวิจัยไหนที่สามารถผลิตปฏิสสารได้เป็นที่แรกก็คงไม่พ้นที่นี่อย่างแน่นอนต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีสำเร็จได้เลยก็ตาม นี่ทำให้พวกเขาตามติดสถาบันวิจัยของซูจิ้งอย่างไม่วางตา
ถึงแม้ว่าประเทศมากมายนั้นจะไม่สามารถเปิดฉากโจมตีได้อย่างอเมริกาก็จริง แต่หากว่าสถาบันของซูจิ้งสามารถปลิตปฏิสสารได้แล้วปล่อยให้หลุดออกไปล่ะก็ พวกเขาไม่อยากจะนึกเลยจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันราวกับว่าโลกนี้สามารถล่มสลายได้ทุกเมื่อเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะไม่มีใครจะกล้ารับรองได้เลยว่าจะไม่มีประเทศไหนนำมันไปใส่หัวรบไปใช้เป็นอาวุธอย่างนิวเคลีย หรือแม้แต่การเบื่อโลกแล้วลอบส่งมิสไซร์ไปถล่มสถาบันวิจัยของซูจิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะวางระบบป้องกันไว้อย่างแน่นหนาก็ตาม แต่นั่นเองก็ยังมีขีดจำกัดอยู่แค่การป้องกันแบบทั่วไปเท่านั้น สมมติว่าหากแต่ระประเทศขัดแย้งจนก่อให้เกิดสงคราม แน่นอนว่าต่อให้ระบบป้องกันสถาบันของซูจิ้งจะดีขนาดไหนย่อมต้องไม่เพียงพอ
หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ปฏิสสารนี้สมควรจะนำไปผลิตในสถานที่ลับเท่านั้น
หลังจากซูจิ้งพูดคุยกับผู้บริหารโจวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในที่สุด ซูจิ้งก็ได้เรียกสถานที่ลับของรัฐบาลเอาไว้หลายแห่ง พร้อมทั้งจุดประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกันไป
หลังจากนั้นซูจิ้งได้นำวัตถุดิบวิจัยจากสถาบันห้วงเวลาฯไปส่งยังสถานที่ลับแห่งต่างๆ ด้วยการที่ต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงเลือกที่จะนำไปส่งด้วยตัวเอง
แน่นอนว่าเหล่าสุดยอดนักวิจัยของรัฐที่ถูกโอนย้ายไปสถานที่ต่างๆตามความเหมาะสม และแน่นอนว่านักวัจัยเหล่านี้ถูกสะกดจิตสมบูรณ์โดยซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
ในส่วนการผลิตปฏิสสารนั้น นอกจากอุปกรณ์แล้วเหล่านักวิจัยของสถาบันของซูจิ้งยังคงอยู่ที่นี่เหมือนเดิม จะมีเพิ่มเติมก็คือการเปิดห้องวิจัยใหม่และการขยายห้องวิจัยที่มีอยู่เท่านั้นเอง
หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ไปเพียงไม่กี่วัน ซูจิ้งจึงรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง ในวันนี้เขาจึงได้ขับรถไปที่เมืองฉิงหยุนจากสนามบินเมืองจงหยุนทันทีที่กลับไปถึงด้วยรถกาลเวลา001
เมื่อวานนี้พายุไต้ฝุ่นลูกใหล่าได้พัดผ่านเมืองฉิงหยุนจนทำให้เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก ที่ไม่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นเพียงสถานที่แค่ไม่กี่แห่งระต้นไม้เท่านั้น และแน่นอนว่าสองข้างทางที่เขากำลังขับรถไปอยู่นี้ล้วนพังราบเป็นหน้ากอง
เมื่อถึงในเมืองฉิงหยุน ซูจิ้งได้เห็นคนจะนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ศาลบรรพบุรุษ ที่นั่นมีบ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งที่อยู่ข้างๆหอบรรพบุรุษแห่งนี้เรียกได้ว่ากำแพงต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่บ้านหลันนี้เองก็ได้ถูกพายุจนเอนมาพิงกับกำแพงข้างศาลบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว นี่เองก็ได้ทำให้หอบรรพบุรุษได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะยังไงซะที่นี่ก็เก่ามากแล้ว
“เมื่อปีที่แล้วพวกเราพึ่งจะจ่ายเงินซ่อมที่นี่ไปแสนหยวนเองนะ เพราะไต้ฝุ่นบ้านั่นแท้ๆทำให้เราต้องทำการซ่อมเร็วขนาดนี้”
“เงินหนึ่งแสนหยวนนั่นเองเราก็ได้มาจากอาจิ้งซะด้วยสิ”
“ฉันว่าเรามาทำการขอรับบริจาคดีกว่า มันมากเกินไปที่จะโยนให้ซูจิ้งจัดการเรื่องแบบนี้ ยังไงซะพวกเราก็ไม่เหมือนก่อนแล้วนี่นา”
ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นพัฒนาสิ่งต่างๆมากมายในเมืองฉิงหยุนทำให้คนในเมืองมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจนเรียกได้ว่ารวยระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่ารวมถึงหมู่บ้านตระกูลซูด้วย กับแค่การดูแลศาลบรรพบุรุษหอเดียวนี้ไม่เกินแรงพวกเขาอย่างแน่นอน
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“หืม…ไม่มีทาง พวกเราเองต่างก็เป็นลูกหลานและมีหน้าที่ดูแลศาลบรรพบุรุษนี้เหมือนกันน่า พวกเราสมควรที่จะระดมทุนเพื่อซ่อมศาลนี้ดีที่สุดแล้ว” ชาวหมู่บ้านคนหนึ่งที่เห็นซูจิ้งก็ได้พูดออกมา ถึงแม้ซูจิ้งจะร่ำรวยมากมายขนาดไหนก็ตามในตอนนี้ แต่นอกจากชาวบ้านพวกนี้จะไม่อิจฉาหรือริษยาซูจิ้งแล้ว พวกเขายังรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่คิดพึ่งพาซูจิ้งอย่างเดียวแบบนี้
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพึ่งเข้าใจผมผิดนา…. ที่ผมต้องการเป็นเจ้าภาพเองนั้นเป็นเพราะอยากจะทำให้ศาลบรรพบุรุษนี้ดูหรูหรามากขึ้นต่างหาก
และนั่นแน่นอนว่าต้องใช้เงินมากพอดู ผมไม่ทางที่จะให้ทุกคนมาออกเงินเพียงเพราะตอบสนองความต้องการของผมเองคนเดียวแบบนี้แน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นี่ทำให้ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็สงสัยว่า ศาลบรรพบุรุษที่ดูหรูหราที่ซูจิ้งว่ามานี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร