Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1114
GGS:บทที่ 1114 ล้ำสมัย
“หรูหรา…อาจิ้ง กับศาลบรรพชนแบบนี้นายจะทำให้หรูหราได้ยังไงกัน” ซูเจิ้งฮงถามออกมา หัวหน้าอย่างซูเกาฉุนและซูเจิ้งหยิงเองที่ได้ยินก็จ้องมองซูจิ้งด้วยความสงสัย
“บอกไม่ถูกเหมือนกันแหะ เอาเป็นว่าค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงก็สักล้านหยวนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ล้านหยวน!!!!” ทุกคนที่ได้ยินอดที่จะสะดุ้งเฮือกไม่ได้ในทันที แต่เดิมแล้วพวกเขานั้นต่างก็คิดว่าในเมื่อนี่เป็นศาลบรรพชน แน่นอนว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งตั้งแต่ซูจิ้งเริ่มร่ำรวย เขานั้นไม่เคยลืมชาติตระกูลตัวเองและได้สนับสนุนจนทำให้ทุกคนมีรายได้ขึ้นมาจนเรียกว่าร่ำรวยได้แล้ว แน่นอนว่าเงินเพียงแค่นี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้ยากเย็นเกินไป
แต่การที่อยู่ๆก็ได้ยินว่าจะใช้เงินล้านหยวนเพียงเพื่อปรับปรุงศาลบรรพชนเล็กๆแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงจะต้องตกใจเป็นแน่ เพราะด้วยเงินขนาดนี้ เพียงพอต่อการตั้งวัดใหม่หรือปลูกบ้านได้เลยด้วยซ้ำ
“อาจิ้ง ต่อให้นายมีเงินมากมายยังไงก็ไม่ควรจะลงเงินไปกับเรื่องแบบนี้นา” ซูเจิ้งฮงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าคิดมากไปเลยครับ ผมแค่ต้องการให้สารบรรพชนของเรานั้นดูใหญ่กว่านี้อีกนิดและดูดีกว่านี้อีกหน่อยก็เท่านั้นเอง
แล้วก็อยากจะให้ศาลบรรพชนแห่งนี้มีบรรยากาศดีๆอีกด้วย เพราะผมตั้งใจว่าตอนที่ผมแต่งงานสิ้นปีนี้ว่าจะจัดที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีแขกเหรื่อมากมายอย่างแน่นอน
หากว่าจัดด้วยสภาพตอนนี้แน่นอนว่าแม้แต่เจ้าบ่าวอย่างผมคงหาที่นั่งไม่ได้เป็นแน่ ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด” ซูจิ้งพูดออกมา
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็เข้าใจกันในทันทีและเรื่องที่ซูจิ้งและฉือชิงเป็นแฟนกันนั้นทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว พวกเขานั้นยังรู้อีกว่าทั้งคู่จะแต่งงานกันตอนสิ้นปีนี้สิ่งนี่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้พวกเขาแต่อย่างใด
แต่ที่แปลกใจก็คือ ซูจิ้งไม่ได้คิดจะจัดงานแต่งงานแบบต่างชาติที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมกันหรอกเหรอ หรืออย่างน้อยๆเขาก็ควรจะจัดงานในหมู่บ้านจะดีกว่า
การที่มาจัดงานที่ศาลบรรพชนแบบนี้เขานั้นไม่กลัวจะหาว่าไม่จริงๆจังกับฉือชิงรึไงกัน ทั้งๆที่ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ เพียงพอที่จะปิดเมืองเพื่อจัดงานได้ด้วยซ้ำ
“อ้อ ส่วนการที่ผมจะเริ่มปรับปรุงยังไงนั้นแน่นอนผมจะขอพูดคุยและขอความเห็นทุกคนด้วยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยการที่ตอนนี้ทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายถูกเกณฑ์มาเพื่อที่จะเตรียมซ่อมแซมสารบรรพชนอยู่แล้วจึงเรียกได้ว่าอยู่กันเกือบครบ พวกเขาจึงเริ่มคุยกันเรื่องนี้ในทันที
ด้วยการที่ศาลบรรพบุรุษนี้มีความสำคัญกลับหมู่บ้านมาก เมื่อตอนนี้ทั้งหมู่บ้านนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วจึงไม่แปลกที่ทุกคนนั้นอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของตระกูล
ในเมื่อซูจิ้งเสนอตัวมาแบบนี้แถมยังทำให้ดูดีขึ้นกว่าเดิมแล้วจึงไม่มีใครคิดจะคัดค้านแต่อย่างใด
ด้วยการที่เขาซูจิ้งตอนนี้ร่ำรวยจนน่าหวาดกลัว ในข้อนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ยังไงซะ คนในหมู่บ้านก็ไม่เข้าใจในข้อนี้อยู่ดี
ซูเจิ้งฮงเองก็ไม่ได้ขัดอะไรซูจิ้งมากนักแค่คอยพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า “ไม่แพงไปหน่อยเหรอ ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นขี้เกียจอธิบายความร่ำรวยของตัวเองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา สิ่งที่เขาทำนั้นก็มีเพียงชี้นิ้วนู่นนี่นั่นแล้วจ่ายตังค์แค่นั้นเอง
แน่นอนว่าเกี่ยวกับการปรับปรุงศาลบรรพชนแห่งนี้ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องคำนึงถึงอย่างการจะเริ่มปรับปรุงเมื่อไหร่ น่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ต้องไม่กระทบโครงสร้างเดิม ต้องไม่เกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความรำคาญให้คนในหมู่บ้าน ซึ่งมันมีรายละเอียดยิบย่อยมาก
ซูจิ้งจึงได้มอบหมายหน้าให้กับหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนและเหล่าผู้อาวุโสที่รู้จักธรรมเนียมและผู้รับเหมาก่อสร้างฝีมือดีให้คุมการปรับปรุงในครั้งนี้ ส่วนซูจิ้งนั้นมีหน้าที่ในการจ่ายเงินอย่างเดียว
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ตรงกลับไปบ้านตัวเองเพื่อที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ เนื่องจากเรื่องของอเมริกาทำให้เขานั้นเว้นว่างมากหลายวันแล้ว
หลังจากจัดการขยะไปได้สักพัก ซูจิ้งก็ได้นำแผ่นพลาสติกชิ้นหนึ่งออกมาอย่างสนใจ แต่ด้วยการที่มันนั้นทั้งแตกหักและสกปรกอย่างมาก เขาจึงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมให้ ก่อนที่จะนำไปล้างจนเห็นว่าแผ่นพลาสติกนี้มันมีความโค้งมนจนราวกับเป็นใบหน้าของคน
“หืม?” ซูจิ้งรู้สึกใจเต้นขึ้นมาในทันที
พลาสติกแผ่นบางที่มีรูปร่างคล้ายใบหน้าคนนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาราวกับเดจาวูเลยทีเดียว เขาหยิบพลาสติกนี้ขึ้นมาก่อนที่จะทาบกับใบหน้าของตน
พลาสติกนี้ได้ทำการยึดแนบเข้ากับผิวหนังบนใบหน้าของเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันด้วยซ้ำ ซูจิ้งได้ลองคลำไปทั่วจนกระทั่งพบสวิตหนึ่งอยู่บริเวรหน้ากากใกล้กับใบหูของตัวเอง
เมื่อซูจิ้งได้กดสวิตนี้ทันใดนั้นหน้ากากนี้ก็ปรากฎแสงเรืองรองจนทั่วก่อนที่จะเกิดภาพพล่าเลือนขึ้นมาบนหน้ากาก
และในตอนนั้นเอง ใบหน้าของซูจิ้งก็ได้เปลี่ยนไปเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดิบเถื่อนคนหนึ่ง
“เจ้านี่คลายกับหน้ากากแปลงโฉมที่ได้จากห้วงเวลาจักรพรรดิ์แห่งดวงดาวเลยแหะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนักเพราะเทคโนโลยีเช่นนี้มีการกล่าวถึงอยู่ในห้วงเวลาฯมาร์เวลในช่วงกัปตันอเมริกาสอง
ตอนนั้นถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นแบล็ควิโดว์ที่ใช้หน้ากากนี้ในการปลอมตัว นี่บ่งบอกได้ว่าห้วงเวลาฯมาร์เวลนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“หน้ากากสองอันนี้ดูเหมือนจะใช้เทคโนโลยีที่แรกต่างกันอยู่นะ สงสัยจะต้องศึกษาสักหน่อยแล้วสิ” ซูจิ้งคิดขึ้นมาก่อนที่จะนำหน้ากากแปลงโฉมที่เขาเคยได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์แห่งดวงดาวออกมา
ซูจิ้งได้ทารศึกษาหน้ากากทั้งสองชิ้นเปรียบเทียบกันในทันที หน้ากากแปลงโฉมนี้มีข้อดีตรงที่เปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าไปอย่างสิ้นเชิงจึงเป็นเหตุผลให้ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วตัวเขานั้นคือมนุษย์แมงมุมเมื่อตอนที่เขาได้ใช้ตอนเหตุการณ์กองโจรเกล็ดงู
ภายหลัง ตั้งแต่เขาได้ผงแปลงโฉมที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจที่ทำให้เข้านั้นแปลงการได้ทั้งตัวเขาจึงไม่ได้ใช้หน้ากากนี้สักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ผงนั้นมีระยะเวลาที่จำกัด แถมจำนวนผงแปลงโฉมที่เขามีก็ยังจำกัดจำเขี่ย จะเป็นการดีที่เขาเก็บผงนั้นไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ
และด้วยเหตุนี้ ซูจิ้ง จึงคิดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เขานั้นแปลงโฉมตัวเอง หากสำเร็จ นอกจากเขาจะแปลงเป็นใครก็ได้แล้ว นี่จะทำให้เขานั้นมีตัวตนมากมายและทำอะไรได้หลากหลายมากขึ้น แต่ซูจิ้งเองย่อมรู้ดีกว่าใครว่าหากเทคโนโลยีหลุดรอดออกไปนั้นจะทำให้โลกนี้เกิดความโกลาหลมากมายขนาดไหน
ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมของที่ดูเหมือนจะเป็นนาฟิกาดู หลังจากซ่อมแซมเสร็จสิ้น หน้าจอของมันก็ได้ปรากฎแสงบริเวณด้านบนคล้ายๆกับตัวเลขบ่งบอกเวลาโดยเวลาที่ปรากฎขึ้นนี้ไม่ได้ตรงกับเวลาบนโลกขณะนี้แต่อย่างใด แต่ก็ไม่แปลก เพราะเวลาที่ปรากฎนี้สมควรจะเป็นเวลาของอีกห้วงเวลาหนึ่ง
ซูจิ้งได้เห็นปุ่มมากมายที่อยู่ข้างขาวเขาจึงคิดว่านี่คงจะเป็นปุ่มตั้งเวลาและสีตัวเลขอะไรพวกนั้นเขาจึงคิดที่จะลองกดดู
เมื่อเขาได้กดปุ่มสีขาว ตัวนาฬิกาก็ได้กลายเป็นสีขาว เมื่อเขากดเป็นสีแดง ตัวนาฬิกาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อกดปุ่มสีดำตัวนาฬิกาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ถึงแม้จะดูธรรมดาแต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกว่ามันวิเศษอย่างบอกไม่ถูก
ซูจิ้งได้ลองกดปุ่มอื่นดูก็พบว่ามันเหมือนจะเป็นปุ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจนทำให้ซูจิ้งอดจะทึ่งไม่ได้เหมือนกัน มันมีทั้งรูปแบบแว่นตา ระบบโทรศัพท์มือถือ ระบบหูฟัง และระบบเวลา และในตอนนี้หน้ากากนี้อยู่ในโหมดเวลา
“เจ้านี่เปลี่ยนรูปแบบได้เพียงการกดปุ่มเดียวเองจริงๆเหรอ” ซูจิ้งได้สงสัยอย่างมากจึงได้ลองกดไปที่รูปแบบโทรศัพท์ดู
หลังจากกดปุ่มไปนั้น ตัวนาฬิกาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองราวกับบีบอัดตัวเองลงจนเหลือเพียงโทรศัพท์เครื่องบางเท่านั้น มันบางราวกับเป็นนามบัตรใบหนึ่งที่ดูยืดหยุ่นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ
ซูจิ้งที่เห็นฉากนี้กับตาตัวเองนั้นก็รู้สึกมหัศจรรย์กับสิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้เจ้าสิ่งนี้จะมากห้วงเวลาฯมาร์เวลแต่มันกลับดูล้ำยุคอย่างมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาได้เคยอ่านมา
ซูจิ้งยังได้ลองใช้รูปแบบแว่นตา และหูฟังดูบ้าง และเจ้าสิ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองเป็นของสองอย่างนี้ได้อย่างง่ายดายราวกับใช้เวทย์มนต์เลยทีเดียว
“เจ้านี่ทำมาจากวัสดุอะไรกันแน่ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งในตอนนี้จ้องมองหูฟังนี้ด้วยสายตาเป็นประกาย เขานั้นรีบตั้งเป้าหมายในทันทีว่าโทรศัพท์กาลเวลารุ่นถัดไปนั้นต้องทำแบบนี้ให้ได้
ลองนึกดูว่าในขณะที่ถือโทรศัพท์อยู่แล้วนึกขี้เกียจจะถือก็แค่เปลี่ยนโหมดเป็นนาฬิกาเท่านั้น หากว่าอยากจะโทรหาใครในขณะขับรถก็แค่เปลี่ยนเป็นรูปแบบหูฟัง หรือว่าหากขี้เกียจจะถือกล้องตั้งท่าถ่ายรูปก็แค่เปลี่ยนเป็นรูปแบบแว่นตาก็เท่านั้น
ใครจะไม่อยากได้โทรศัพท์ที่สุดเท่เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้หลากหลายอย่างแบบนี้ล่ะ
และไม่เพียงแค่กับโทรศัพท์เท่านั้น วัสดุที่ใช้ทำเจ้าสิ่งนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้มากมายหลากหลายกับวิถีชีวิตของมนุษย์ แน่นอนว่าหากผลิตขึ้นมาต้องมีคนอยากใช้อย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ้งยังคงลองเล่นของสิ่งนี้ต่อไปอย่างไม่วางมือ คราวนี้เขาได้เปลี่ยนไปเป็นโหมดโทรศัพท์แล้วลองกดปุ่มต่างๆเล่นดู จนในที่สุด เขาก็ได้เข้าไปเห็นสัญญาลักษณ์แปลกๆที่ไม่คุ้นตาอยู่บนหน้าจะโทรศัพท์ เขาจึงได้ลองกดดู คราวนี้โทรศัพท์ได้มีแสงสว่างวาบ
และในตอนนั้นเอง สายตาของซูจิ้งก็ได้เบิกกว้างในทันที