Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1122
GGS:บทที่ 1122 มือถือกาลเวลารุ่นที่สอง
เหล่าผู้ชมคอนเสริตของซูจิ้งในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ในงานเองหรือแม้แต่คนที่ชมอยู่ผ่านสตรีมก็ตาม หลังจากที่เห็นฉากที่ซูจิ้งเดินทะลุร่างของเหล่าสุดยอดดารามากมายพร้อมทั้งได้รับฟังคำอธิบายของซูจิ้งไปแล้ว ก็ยังคงมีความรู้สึกที่ยากจะเชื่อได้อยู่ดี
“เครื่องฉายภาพสามมิติเหรอ เรื่องจริงแน่เร้ออออ”
“นายก็เห็นอยู่กับตาตัวเองไม่ใช่เหรอ แล้วยังคิดว่าเป็นเป็นเรื่องหลอกอีกได้ยังไง”
“ก็แหม่ จะไปให้เชื่อลงได้ง่ายๆยังไงล่ะ ก็ในเมื่อนี่เป็นเทคโนโลยีที่พวกเราจะเห็นได้จากในหนังแนววิทยาศาสตร์เท่านั้นเองนา ใครจะไปคิดว่าพวกเราจะได้เห็นเครื่องฉายนั่นกับตาตัวเองเร็วขนาดนี้”
“นายลืมไปรึเปล่าว่าคนที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้คือกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของพี่จิ้งน่ะ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมามากมายอย่างระบบปัญญาประดิษฐ์ ระบบประสาทเทียม ระบบห้าจี ระบบไร้คนขับ และของอย่างอื่นที่ล้วนแล้วเป็นวิทยาการชั้นสูงที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นกับตาตัวเองทั้งนั้น หากคิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้วไอ้ระบบฉายภาพสามมิตินี่ยังดูด้อยกว่าด้วยซ้ำ”
“นายนี่พูดออกมาซะฉันเถียงไม่ถูกเลยแหะ”
แน่นอนว่าต่อให้เหล่าผู้ชมทั้งหลายแค่เห็นเจ้าเครื่องนี้จากในหนังก็คิดว่ามันเจ๋งดีแล้ว นับประสามอะไรกับของจริงพอมาคิดๆดูแล้ว ในอนาคต การถ่ายทอดข้อมูลนั้นคงต้องไม่ใช่ของง่ายๆอย่างการส่งออกมาในรูปแบบวิดีโอ
แต่ยังไงซะ การถ่ายทอดภาพผ่านเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้ พวกเขาแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าจะช่วยสร้างความบันเทิงให้พวกเขาได้มากมายขนาดไหน
หากจะให้บอกว่าความแตกต่างระหว่างวิดีโอกับภาพสามมิติแบบนี้ต่างกันยังไงนั้น ความแตกต่างที่อจะบอกได้แน่แน่ก็คือวิดีโอนั้นส่างต่อมาได้แค่ภาพที่ติดๆกันและข้อความก็เท่านั้น
หากว่านำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการถ่ายทำหนังและฉายเป็นภาพยนตร์ล่ะก็ อย่าว่าแต่จะไม่ต้องใส่แว่นสามมิติเลย ผู้ชมสามารถมองเห็นได้จนเกือบทุกด้านของเหตุการณ์ที่พยายามจะสื่อสารกับผู้ชมได้ด้วยซ้ำ ความแตกต่างนี้ช่างหนักหน่วงจนเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ
“หยาน้อย เธอว่าวิทยาการใหม่ของเราตัวนี้เป็นยังไงบ้าง” หวังจ้าวหันไปถามหวังซือหยาด้วยรอยยิ้มกระเช้าเย้าแหย่ราวกับเด็กอวดของเล่นเลยก็ว่าได้
“ไม่เพียงจะสุดยอดเท่านั้นแต่มันยังทำอะไรได้อีกต้องหลายอย่างอีกด้วย……ว่าแต่ นี่พี่จะมาทำอวดทำไมเนี่ย ฉันรู้นะว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของซูจิ้งแน่นอน” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้เฮ้ นี่ถือว่าเป็นงานของพวกเราต่างหาก เขาจะทำมันขึ้นมาก็เหมือนๆกันนั่นล่ะ” หวังจ้าวพูดออกมมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้ออออ ท่านเทพของพวกเราทำเกินหน้าเกินตาอีกแล้วสิ” ลู่ฉิงหยาพูดออกมาพลางถอดถอนหายใจ
“ฉันว่าเขาก็ทำตัวเหนือเมฆแบบนี้มาตั้งนานแล้วนา…ฉันยังไม่เคยเห็นเขาทำอะไรที่ด้อยลงมาจากเดิมเลยสักอย่าง” หยางเว่ยพูดออกมาเหมือนจะปลอบใจแต่ตัวเองก็ถอดถอนหายใจออกมาเหมือนกัน
“ถึงแม้เขาจะคอยบอกอยู่ตลอดเวลาว่านี่เป็นเพียงงานอดิเรกของเขาเท่านั้น แต่ทุกๆครั้งที่เขาเอางานอดิเรกออกมาให้ดูนี่ทำให้ฉันตกใจได้เสียทุกครั้งเลยจริงๆ” จูเจียนฮัว หลิวหยิน เป็งหมิง ปันเสวี่ย เต็งหมินถัง ฉินซูหลาน โจวหลัน และคนอื่นๆ ที่เห็นการฉายภาพจากเครื่องฉายภาพสามมิตินี้ต่างก็ตื่นตกใจและตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน เพราะไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าเจ้าเครื่องนี้กว่าจะมีก็อีกนานแสนนาน ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าจะได้เห็นในช่วงชีวิตนี้
ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปนั้นทำให้เหล่าดาราที่เข้าช่วยร้องเพลงในงานคอนเสริตของซูจิ้งต่างก็ถูกสัมภาษณ์แทบจะในทันที
กับเรื่องนี้เหล่าดาราเองก็สัมภาษณ์ออกมาคลายๆกันว่าจะว่าแปลกใจก็ไม่ใช่ จะว่าไม่แปลกใจก็ไม่เชิง นั่นก็เพราะตอนที่พวกเขาร้องเพลงโดยให้คนของซูจิ้งถือกล้องถ่ายไว้นั้นพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่พอมารู้ตัวอีกทีว่าตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นร่างของตัวเองไปปรากฏในงานเรียบร้อยแล้ว
แต่ที่แน่ๆ พวกเขาไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมซูจิ้งถึงบอกให้พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะพวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องให้เหล่าดาราลำบากลำบนไปที่นั่นจริงๆ
ด้วยเครื่องฉายภาพสามมิตินี้เรียกได้ว่าเพียงพอเลยก็ว่าได้ เพราะนี่ไม่เพียงจะได้สร้างความบันเทิงให้กับเหล่าแฟนคลับของเขาได้เหมือนๆกันแล้ว เขายังได้โฆษณาวิทยาการใหม่ของเขาอีกด้วย
ถึงแม้ดาราทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกอย่างไงไม่รู้ก็ตาม แต่พวกเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกโกรธเคืองหรือแม้แต่คิดจะฟ้องร้องเอาคืนเลยแม้แต่น้อย
นั่นก็เพราะเมื่อเทียบกับการที่ถูกฉายภาพออกไปแบบทั่วๆไปแล้วล่ะก็ การที่ถูกฉายออกไปเป็นภายฉายสามมิติแบบนี้ ไม่เพียงจะไม่เสียเวลาหรือชื่อเสียงแล้ว พวกเขายังได้รับชื่อเสียงกลับมาด้วยซ้ำไป
ข่าวนี้ไม่เพียงจะกระจายไปทั่วประเทศเท่านั้น ในตอนนี้ข่าวเรื่องเครื่องฉายภาพสามมิติ ได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว
ในตอนแรก คนต่างประเทศต่างก็คิดว่าเป็นบริษัทใหม่ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาโครงการนี้เท่านั้น ต่อพอได้ยินชื่อกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ พวกเขานั้นแทบจะผละจากเรื่องทุกอย่างที่ต้องทำพร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงเป็นกลุ่มทุนห้วงเวลาได้อีกแล้วกัน นี่พวกเขาจะไม่เหลือช่องทางทำมาหากินให้คนอื่นเลยรึไง
ซูจิ้งที่ขณะนี้ยังคงยืนอยู่บนเวที เขานั้นได้พูดออกมาต่อว่า “ผมรู้ดีว่าทุกคนนั้นไม่ได้มีใครคาดคิดมาก่อนว่ายุคที่มีเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้จะอยู่ในยุคของพวกเรา
และผมก็เชื่ออีกว่า ผู้คนที่อยู่ในยุคที่มีเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้ สมควรจะได้รับอรรถรสในการดูภาพได้เต็มที่ยิ่งกว่าพวกเราในทุกวันนี้
แต่ผมเองก็ต้องขอสารภาพตามตรงเลยนะว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เครื่องฉายภาพสามมิติอย่างที่พวกเราเคยเห็นกันอยู่ในหนัง เจ้าเครื่องนี้เป็นเพียงวิทยาการที่คล้ายๆกันเท่านั้น
เอาล่ะในเมื่อเวลาก็เรื่องเลยมาขนาดนี้แล้ว หากว่าใครมีกิจธุระหรือต้องรีบกลับบ้าน และคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ พวกคุณสามารถขอตัวออกไปก่อนได้เลยนะ”
เหล่าผู้ชมทั้งหลายที่ได้ยินคำพูดของซูจิ้งต่างก็นิ่งอึ้งกันไปหมด ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจไม่ผิดล่ะก็ซูจิ้งกำลังจะสื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะเห็นกันต่อหน้าตัวเองไปนี้เป็นเพียงวิทยาการที่คล้ายๆกันเท่านั้น
นี่เท่ากับว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างของสิ่งที่ซูจิ้งอยากจะนำเสนอในคำคืนนี้ใช่รึเปล่า
แล้ว….จริงๆแล้วเขาอยากจะแสดงอะไรให้พวกเขาดูกันแน่ล่ะ ด้วยคำถามที่อยู่ในใจนี้ที่คิดซ้ำวนไปมา ไม่มีผู้ชมในงานคนไหนเลยที่จะละจากความสนใจนี้และเดินจากไปได้เลยสักคน
“ในวันนี้…ผมขอบอกไว้ก่อนว่า คอนเสริตที่ผมจัดนั้น ต้องการที่จะตอบแทนเหล่าแฟนคลับของผมจริงๆ แต่พอดีว่ามีของอย่างอื่นเสร็จผมเลยคิดจำนำมาเสนอให้กับทุกคนได้เห็นก่อนใคร นั่นก็คือ โทรศัพท์การเวลารุ่นที่สองนั่นเอง”
เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาเครื่องหนึ่งโดยที่จอบนเวทีข้างหลังอันใหญ่ยักษ์ก็ได้ฉายภาพที่ซูจิ้งกำลังถือโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ ภาพที่เห็นนั้นช่างชัดเจนมากจนเรียกได้ว่ารายละเอียดภายนอกของโทรศัพท์เครื่องนี้ราวกับอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ
“โทรศัพท์กาลเวลารุ่นแรกยังเป็นที่นิยมอยู่เลยนี่นา แล้วทำไมถึงได้รีบออกรุ่นที่สองเร็วนักล่ะ”
“ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ดูบางและเท่มากเลยนะนั่น”
“พี่จิ้งบอกว่าภาพฉายสามมิติก่อนหน้านี้นนั้นเป็นเพียงวิทยาการที่ใกล้เคียงกัน….อย่าบอกนะว่านั่นเป็นภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์รุ่นนี้น่ะ”
“อา…จะมีหรือไม่แต่ตอนนี้ฉันอยากได้มาไว้สักเครื่องแล้วล่ะสิ”
“แล้วอย่างนี้ใครจะไปซื้อรุ่นที่หนึ่งกันล่ะนั่น”
“นายอย่าทำเป็นโง่ไปเลยน่า แน่นอนว่าเจ้ารุ่นที่สองนี้ต้องแพงกว่ารุ่นแรกเยอะมากแน่ๆ ถึงแม้จะมีคนที่ซื้อรุ่นที่หนึ่งไหว แต่ฉันว่าคนพวกนั้นซื้อรุ่นที่สองต่อไม่ไหวหรอก ต่อให้มาซื้อรุ่นที่สองเลยฉันว่าก็ยังยากเย็น ฉันว่ายังไงซะก็ต้องมีคนเลือกซื้อรุ่นแรกไว้ก่อนอยู่แล้ว”
“นี่นายว่ารุ่นที่สองนี่จะมองของเจ๋งๆอย่างเครื่องฉายภาพสามมิตินั่นอย่างเดียวรึเปล่า หรือว่าจะมีนวัตกรรมอื่นด้วยนะ”
“ฉันว่าเป็นไปได้ยากอยู่นะที่จะมีลูกเล่นเจ๋งๆแบบอื่นอีก เพราะรุ่นแรกที่ออกไปนั่นก็ถือว่าเหนือล้ำกว่าใครในโลกไปหลายขุมแล้ว
นี่พึ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือนเอง ต่อให้กลุ่มทุนห้วงเวลาจะสุดยอดขนาดไหนก็ไม่น่าจะคิดค้นอะไรใหม่ๆได้เร็วนักนะ”
ถึงแม้จะมีเสียงพูดคุยกันอย่างนั้น แต่ซูจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า “อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหล่ะครับ เจ้ารุ่นที่สองนี้มีวิทยาการที่คล้ายกับเครื่องฉายภาพสามมิติอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่ทุกคนพึ่งจะเห็นไปกัน
ด้วยสิ่งนี้ การวิดีโอคอลของพวกคุณแน่นอนว่าจะไม่ใช่เพียงรูปแบนๆแต่เป็นการฉายออกมาเป็นสามมิติแบบนี้ ไม่ว่าคุณ จะอยู่ห่างไกลขนาดไหนก็ตาม เพียงเปิดระบบฉายภาพสามมิตินี้ในระหว่างการสนทนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รายรอบคุณ ก็จะไปปรากฏอยู่ที่ปลายทางในทันที
อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเครื่องฉายภาพนี้เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่ผมจะนำเสนอ และเจ้ารุ่นที่สอง ก็ยังมีวิทยาการใหม่แฝงเอาไว้อยู่อีกสองอย่าง และมันเจ๋งมากจนอยากจะตั้งชื่อให้มันว่าสุดยอดโทรศัพท์กาลเวลาเลยด้วยซ้ำ”
ผู้ชมที่ได้ยินในตอนนี้ราวกับจะตาลายในทันที ด้วยเวลาสั้นๆแบบนี้แต่กลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ยังสามารถคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาใช้กับโทรศัพท์นี้ได้อีกอย่างนั้นเหรอ แถมยังตั้งสองอย่างอีก…ว่าแต่ มันคืออะไรล่ะ
ซูจิ้งได้ทำการพูดต่อว่า “อย่างแรก เอาจริงๆจะบอกว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าผมจะบอกอย่างนี้ดีกว่าว่าของผมนั้นดีกว่า แม่นยำกว่า รวดเร็วและครอบคลุมกว่า นั่นก็คือ ระบบแปลภาษา
อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าโทรศัพท์สมัยนี้ต่างก็มีระบบแปลภาษานี้ได้กันทุกเครื่อง แต่คำถามคือ ความแม่นยำของมันนั้นมีแค่ไหนกัน สำหรับเจ้ารุ่นที่สองนี้ มันได้ใส่ระบบแปลภาษาเอาไว้ในตัวแล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอะไรเข้าไป ไม่ว่าจะมีสำเนียงแบบไหนก็ตาม แต่ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ของเจ้ารุ่นที่สองนี้จะแปลออกมาได้อย่างรวดเร็วและมั่นยำไม่เหมือนกับระบบแปลภาษาทั่วไปที่เวลาพูดอะไรไปแล้วก็จะตอบกลับมาเพียงว่า ซี ซี ซี ซี ซี ซี เท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมท่าทางล้อเลียนราวกับว่าเขาเองก็เคยประสบปัญหานี้มามากมายนับครั้งไม่ถ้วน จนทำให้หลายคนต่างก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดต่อว่า
“ส่วนอย่างที่สองนี้ จะให้ผมพูดออกมานั้นมันก็ยากเกินกว่าจะอธิบายจริงๆ เอาเป็นว่าหากพวกคุณได้เห็นเองกับตาก็เพียงพอแล้ว”
เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาได้ปาโทรศัพท์ลงพื้นอย่างแรงก่อนที่มันจะกระเด็นกลับขิ้นมาบนมือของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้นิ้วของตัวเองจับโทรศัพท์ดัดจนอู่ในมุม90องศาอย่างง่ายดาย
เหล่าผู้ชมที่เห็นต่างก็ตกตะลึงพลางคิดขึ้นมาในใจว่าโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สองนี้ทำมาจากยางรึไงกัน
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายตกตะลึงดี อยู่ๆซูจิ้งก็ได้ไปแตะปุ่มหนึ่งของโทรศัพท์เข้า และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ก็เหมือนกับบค่อยๆหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วมากชนิดที่ว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัว เจ้ารุ่นที่สองก็ได้กลายเป็นนาฬิกาข้อมือไปแล้ว และในตอนนี้ซูจิ้งเพียงฟาดมันไปบนข้อมือ มันก็รัดพันอยู่บนข้อมูลของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว
เหล่าผู้ชมในตอนนี้ต่างก็นิ่งไปนานสองนาน จนในที่สุด ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบกันขึ้นว่า
“….. นี่ฉัน….ถูกผีหลอกรึเปล่า”
“เปล่า…พระเจ้าเถอะ โทรศัพท์เปลี่ยนเป็นนาฬิกาข้อมือได้งั้นเหรอ”
“เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมโทรศัพท์ถึงเปลี่ยนเป็นนาฬิกาข้อมือได้ล่ะ”
“อะไรกันเนี่ย อะไรกัน อะไรกัน อะไรก้านนนนน”
แต่เดิมนั้น เมื่อทุกคนได้ยินซูจิ้งกำลังจะแนะนำนวัตกรรมตัวสุดท้ายของโทรศัพท์มือถือกาลเวลารุ่นที่สองนี้ทุกคนเองก็เตรียมใจที่จะตกตำลึงไว้แล้วเหมือนกัน
ใครจะไปคิดว่าซูจิ้งไม่ได้อธิบายอะไรเลยอยู่ๆเขาก็ทำนู่นทำนี่และสุดท้ายมันก็กลายเป็นนาฬิกาข้อมือไปแล้ว นี่มันอยู่เหนือกว่าการคาดคำนวนของทุกคนไปไกลอย่างมาก
บอกได้เลยว่าขนาดเห็นกับตาตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปอธิบายสิ่งที่เห็นนี้ให้ใครฟังได้
ที่พวกเขานั้นสงสัยในตอนนี้มากที่สุดก็คือ โทรศัพท์รุ่นที่สองนี้เปลี่ยนไปเป็นนาฬิกาข้อมือไปได้ยังไงกัน เวทย์มนต์อย่างนั้นเหรอ