Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1137
GGS:บทที่ 1137 ท่านเทพคลั่ง
บทเพลงพุทธทั้งเจ็ดนี้ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดร ด้วยการที่เขานั้นทั้งร้องและเล่นเพลงนี้เองคนเดียวจึงทำให้เขายิ่งได้ความเคารพและศรัทธาไปเต็มๆคนเดียว
บทเพลงเหล่านี้ไม่เพียงจะโค่นล้มผลงานเพลงทั้งสิบได้ในทีเดียวเท่านั้น แต่บทเพลงเหล่านี้ยังติดอันดับไปอีกหลายสิบวัน
แต่ไม่ใช่เพียงการขึ้นอันดับเพลงดังเท่านั้น บทเพลงทั้งเจ็ดนี้ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและพลิกชีวิตของใครหลายๆคน
และในไม่ช้าบทเพลงก็จะส่งให้กระทบที่ดีต่อคนทั่วทั้งโลก
ณ ประเทศอินเดีย ชายคนหนึ่งที่ดีแสนธรรมดาได้เดินไปบนท้องถนนของเมืองธรรมดาเมืองหนึ่ง อยู่ๆเขาก็ต้องหยุดเท้าลงพร้อมกับปิดตาตัวเอง
เงาดำที่คนธรรมดาไม่อาจจะเห็นได้นั้นได้แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทางและแฝงไปตามสิ่งแวดล้อมต่างๆราวกับว่าเขานั้นกำลังค้นหาในบางสิ่ง
ชายคนนี้ทำท่านี้อยู่นานแล้วเขาก็ต้องหยุดการกระทำของตัวเองลงก่อนที่จะถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างท้อแท้
สิ่งที่อยู่ในร่างกายชายคนนี้ก็คือเงาดำผู้ที่หนีออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั่นเอง ในตอนนี้เงาดำนั้นได้พยายามซ่อนตัวเองจากการไล่ล่าของซูจิ้งและพยายามฟื้นอาการบาดเจ็บของตน
มันนั้นพยายามจะทำความรู้จักสถานที่อันแปลกประหลาดนี้และมองหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งหยินและไอปีศาจ
อย่างไรก็ได้ มันนั้นเริ่มจะถอดใจแล้วจริงๆ นั่นก็เพราะอย่าว่าแต่สถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งหยินและไอปีศาจเลย แม้แต่พลังงานแห่งสวรรค์และโลกมันนั้นก็ยังไม่เจอเลยสักนิด นี่บ่งบอกได้เลยว่าดินแดนแห่งนี้นั้นช่างยากจนค้นแค้นจริงๆ
มันนั้นเริ่มขึ้นแล้วด้วยซ้ำว่าดินแดนแห่งนี้คงจะไม่มีทางเชื่อมไปยังโลกแห่งเซียนเสียด้วยซ้ำ มันนั้นเคยได้ยินมาว่ามีบางคนนั้นสามารถฝึกตนจนบรรลุและก้าวข้ามไปยังโลกแห่งเซียนได้
พอนึกว่าโลกนี้จะมีคนแบบนั้นอยู่บ้างมันจึงเริ่มเดินทางอย่างระมัดระวังตัวอย่างที่สุด ต่อให้ที่นี่ไม่มีทรัพยากรในการบ่มเพราะเทียบเท่ากับดินแดนที่มันจากมา แต่มันก็ยังคงคิดว่าคงจะมีผู้คนแบบนั้นอยู่บ้าง และหากคนเหล่านั้นรู้การมีอยู่ของมัน มันต้องถูกกำจัดจนสิ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เงาดำนั้นพบว่าสิ่งมีชีวิตบนดินแดนแห่งนี้นั้นช่างอ่อนแอแทบจะทั้งโลกนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากสืบสวนและตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้วก็พบว่าต่อให้คนที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าคนที่อ่อนด้อยที่สุดของที่ที่มันจากมา
แถม คนเหล่านี้นั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการบ่มเพาะนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วมันก็ตรวจสอบได้แล้วว่าคนที่ขับไล่มันนั้นคือซูจิ้งช่างแตกต่างจากคนเหล่านี้เหลือเกิน
ราวกับว่าชายคนนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เงาดำนั้นก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ซูจิ้งนั้นไม่ได้มากจากดินแดนเดียวกับมันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ซูจิ้งนั้นในโลกนี้ถือได้ว่ามีสถานะที่สูงส่งและได้รับความนิยมไปทั่ว
“ไอ้เด็กเวรนั่นมันคือตัวอะไรกันแน่ แล้วมันพาข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ร่างเงาดำคิดอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้น มันก็ได้ยินเสียงดนตรีเสียงหนึ่ง มีใครบางคนกำลังเล่นเพลงอยู่
ทันทีที่ร่างเงาดำนั้นได้ยินเสียงเพลงนี้มันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมันได้ฟังมากเท่าไหร่ คิ้วของมันนั้นก็ยิ่งขมวดแน่น
บทเพลงนี้เป็นเพลงแห่งพุทธที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ เจ้าร่างเงาดำนี้หากต้องได้ยินบทเพลงแห่งพุทธอันทรงพลังล่ะก็แน่นอนว่าย่อมส่งผลด้านลบต่อไอปีศาจในร่างของมัน ขนาดที่ว่าต่อให้ได้ฟังแค่เสียงแว่วๆยังแทบจะทำให้มันต้องสูญเสียตัวตนไปเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้บทเพลงแห่งพุทธที่มันได้ยินอยู่ตอนนี้จะไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องทำให้มันรู้สึกหนาวๆร้อนๆเลยทีเดียว
ร่างเงาดำนั้นได้เดินตามต้นกำเนิดแห่งเสียงเพลงนี้ไปเรื่อยๆจนพบร้านค้าแห่งหนึ่งที่มีเสียงเพลงนี้เล็ดลอดออกมา
มันได้ทำการระเบิดประตูทิ้งในทันที และนี่เองก็ได้เรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างในทันใด
ร่างเงาดำนั้นไม่สนใจเรื่องที่จะตกเป็นจุดสนใจแต่อย่างใด ด้วยการที่มันนั้นต้องการสืบหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินและไอปีศาจ มันได้ฆ่าคนไปจำนวนหนึ่งเพื่อดูดซับพลังแห่งหยางเพื่อฟื้นฟูตัวเองพร้อมทั้งฝังชิ้นส่วนแห่งไอปีศาจลงไปในวิญญาณคนเหล่านั้นและใช้พวกนั้นให้เป็นมือและเท้าของตน
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา มันก็พบว่าไม่ว่ามันนั้นจะไปที่ไหนก็ตาม บทเพลงแห่งพุทธก็จะตามหลอกหลอนมันไปเกือบทั้งหมดทุกที่ นี่ยิ่งทำให้มันนั้นเกลียดซูจิ้งหนักกว่าเดิม
หากไม่ใช่เพราะว่าซูจิ้งนั้นใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ล่ะก็ มันนั้นสมควรจะฆ่าซูจิ้งได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“หึ หากว่าข้ากลับไปอยู่ในจุดสูงสุดได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ฆ่าจะตรงไปฆ่าแกเป็นคนแรกแล้วจะหลอมแกให้เป็นอาวุธวิญญาณ เมื่อถึงตอนนั้น ข้า จะเป็นจ้าวแห่งโลกนี้และจะเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นนรกส่วนตัวของข้า และจะไม่มีใครหยุดยั้งข้าได้อีกต่อไป” ร่างเงาดำนั้นได้คิดขึ้นมาได้จิตสำนึกดำมืดสุดหยั่งพร้อมแผ่รังสีอำมหิตออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่ในตอนนั้นเอง ร่างเงาดำนั้นก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง มัน ได้นำแผ่นยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แผ่นยันต์นั้นลุกไหม้เป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
ร่างเงาดำนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันที มันได้นำแผ่นยันต์อีกแผ่นออกมา คราวนี้มันได้จ้องมองอยู่นาน อยู่ๆแผ่นยันต์นั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นเถ้าถุลีเช่นเดียวกัน
“ฉิบหายล่ะ แสงชำระล้างของไอ้เด็กเวรนั่นมาถึงนี่แล้ว” ร่างเงาดำกัดฟันแน่นบ่งบอกถึงความเกลียดชังอย่างสุดหัวใจ ก่อนหน้านี้ตัวมันนั้นพึ่งจะได้ฝังไอปีศาจไปบนจิตวิญญาณผู้คนเอาไว้เพื่อคอยตรวจสอบและสังเกตุการณ์
ด้วยการที่ผู้คนทั่วไปนั้นไม่มีทางได้เห็น และแถวนี้เองก็ไม่มีนักบวชที่พอจะตรวจเจอไอปีศาจได้มันเลยชะล่าใจไม่ได้เรียกไอปีศาจกลับคืนมา แต่การที่อยู่ๆไอปีศาจที่ฝังร่างแบบนี้หายไปได้นั้น มันนึกออกได้เพียงอย่างเดียวคือแสงชำระล้างของซูจิ้งเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าที่ไอ้หนูนั่นออกมาทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการล่าหัวฉันสินะ หึหึหึ ดูสิว่าตอนจบ ใครจะได้หัวเราะออกมากันแน่” ร่างเงาดำนั้นสบถออกมา และในตอนนี้ มันนั้นเตรียมตัวที่จะเริ่มต้นฆ่าล้างผู้คนเพื่อเร่งการฟื้นฟูของตัวเอง
ร่างเงาดำนั้นไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด การที่แสงชำระล้างแผ่ขยายออกมาได้นั้นเป็นเพราะผู้คนนั้นต่างเลื่อมใสและศรัทธาซูจิ้ง ผู้เล่นบทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดนั่นเอง
ความเลื่อมใสและศรัทธาเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้งเท่านั้น ความเลื่อมใสและศรัทธานี้ยังช่วยเพิ่มพลังให้กับเหรียญตราเทวฑูตได้อย่างมหาศาล เรียกได้เลยว่าเหลือล้นจนไม่รู้จะล้นยังไง
และค่าส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้คนที่กลับใจและรู้สึกลึกล้ำในบทเพลงนี้ จึงทำให้พลังแรงศรัทธานี้ล้นเหลืออย่างไม่ต้องสงสัย
และนี่เองจึงเป็นเหตุผลให้ขอบเขตของลำแสงชำระล้างนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยมีอัตราการขยายขอบเขตอยู่ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อวัน
ไม่นานขอบเขตนี้ก็ได้ครอบคลุมทั้งประเทศจีนและขยายไปประเทศรอบข้าง โดยในตอนนี้นั้นอาณาเขตของแสงชำระล้างได้ไปถึงหนึ่งในห้าของประเทศอินเดียแล้ว
ด้วยการที่การประชันระหว่างซูจิ้งและร่างเงาดำนี้เป็นไปในการลับ พวกผู้คนในโลกหล้าต่างก็รับรู้แค่ว่าซูจิ้งนั้นทำตัวเด่นดังและเป็นอัจฉริยะเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เหล่าแฟนคลับและชาวเน็ตนั้นต้องประหลาดใจอยู่อีก
ในวันนี้ มีงานประชันนักมายากลระดับโลก โดยทุกคนที่เข้าร่วมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักมายากลที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วทั้งโลกแล้วทั้งสิ้น งานชุมนุมนี้จึงเป็นที่จับตามองจากผู้คนทั่วทั้งโลกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิธีการได้พูดขึ้นมาว่า “ผู้ประกวดคนต่อไปคือ ซูจิ้ง” เหล่าผู้ชมถึงกับเงียบไปนานในทันทีนั่นก็เพราะชื่อของซูจิ้งโด่งดังไปทั่วแล้วจริงๆ แต่ทุกคนนั้นก็ยังคิดอยู่ว่าใช่ซูจิ้งคนเดียวกันรึเปล่า
ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ทุกคนนั้นสงสัย ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนนั้น ซูจิ้งที่ทุกคนนึกถึงก็ปรากฏออกมา ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนว่า ซูจิ้งนั้นเล่นกลได้ด้วยเหรอ
ในตอนแรกทุกคนคิดว่าซูจิ้งนั้นมาเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น เขาอาจจะเป็นแขกรับเชิญพิเศษของงานนี้เฉยๆก็เป็นได้
ในตอนนี้เขานั้นอยู่ในชุดธรรมดาสามัญ กางเกงขาสั้น เสื้อทีเชิตธรรมดา ท่ามกลางความเห็นต่างๆของผู้คน ซูจิ้งได้บอกออกมาว่าเขาพึ่งตื่นนอนแล้วนึกได้ว่าต้องมางานนี้จึงรีบมาโดยไม่มีเวลาแต่งตัวมากมายนัก ขอเวลาเขาแต่งตัวสักหน่อย
เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำกระดาษออกมา เขาเริ่มทำการตัด ตัด ตัด และตัด ก่อนที่จะวาดรูปต่างๆลงบนกระดาษตัดเหล่านั้นก่อนที่เขาจะซุกพวกมันไว้ในกำปั้นและดึงพวกมันออกมาเป็นชิ้นส่วนเสื้อผ้าต่างๆตามที่วาด
เขาทำการสวมชุดที่เขาพึ่งดึงออกมาจากมือตัวเอง จนในตอนนี้เขานั้นอยู่ในชุดสูทที่หล่อเท่และมีสง่าราศรีอย่างที่สุด นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันนั้นคือของจริงแบบจริงแท้แน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม เขาทำท่าดูตัวเองแล้วรู้สึกยังไม่พอใจ ซูจิ้งจึงถอดชุดสูทออกมาก่อนที่จะโยนกลับเข้าไปในกระดาษป่าวอันหนึ่ง
ทันใดนั้น กระดาษก็ได้ปรากฏรูปชุดสูทขึ้นมา เขาทำการวาดรูปต่อเติมและลงสีอีกครั้ง หลังจากแก้ๆลบๆไปหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้ชุดสูทที่เขานั้นพอใจแล้ว คราวนี้เขาได้ทำการดึงชุดสูทออกมาจากกระดาษโดยตรง
เมื่อซูจิ้งลองดูตัวเองในชุดสูทแล้วก็ได้แสดงท่าทีพึงพอใจออกมา เขาก็ได้ทำการวาดรูปหวีในกระดาษ แล้วทำการดึงหวีออกมาจากกระดาษนั้น ก่อนที่จะทำการหวีผมจนมีความรู้สึกหล่อขึ้นแล้วจึงพอใจ
การแสดงของซูจิ้งนั้น สำหรับในทางมายากลแล้วเรียกได้ว่าเป็นมายากลระยะประชิด ถึงแม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายแต่ก็หน้ามหัศจรรย์ไปด้วยในขณะเดียวกัน
หากมองจากสายตาของผู้ชมในตอนนี้บอกได้เลยว่าสร้างความตกตะลึงในวงการมายากลได้ดีทีเดียว อย่าว่าแต่ผู้ชมเลย แม้แต่นักมายากลมืออาชีพเองก็ยังแสดงออกมาด้วยท่าทางที่ตกตะลึง เหตุผลนั่นก็เพราะว่าไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขานั้นทำได้ยังไง
แน่นอนว่าย่อมไม่มีคนรู้ว่าที่ซูจิ้งนั้นไม่ใช่มายากลแต่คือเวทย์มนต์จริงๆ สิ่งที่ซูจิ้งใช้นั้นก็คือเวทย์มนต์ในตำรากระดาษการสงครามที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่า ด้วยการที่ว่าสิ่งที่เขาใช้นั้นคือเวทย์มนต์จริงๆ ในเมื่อใช้ออกมาทั้งที แน่นอนว่าเขานั้นไม่ต้องการจบลงเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
หลังจากซูจิ้งได้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำการตัดกระดาษเป็นรูปร่างต่างๆ จากนั้นก็ได้ทำการวาดรูปลงไป และในที่สุด เขาก็ได้ปลดปล่อยบรรดาสรรพสัตว์ออกมามากมาย นก ไดโนเสา และมังกรบิน นี่ทำให้เหล่าผู้คนนั้นต่างก็ตกตะลึงจนสับสนถึงกับยืนขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ด้วยฉากมายากลที่สุดแสนจะมหัศจรรย์นี้ถูกส่งออกไปทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างก็ตกตะลึง และนี่เองก็จะกลายเป็นมายากลแห่งตำนานของโลกนี้ไปอีกนานแสนนาน
ไม่กี่วันผ่านไป ซูจิ้งได้กลับเข้าสู่วงการกีฬาเอ็กซตรีมอีกครั้งและได้ทำการสตรีมการเล่นกีฬาของเขาออกไป เขาได้ประสบความสำเร็จการท้าทายกีฬาเอ็กซตรีมทั้งแปดชนิด
ไม่ว่าเป็นก่อเกิดจากสวรรค์(กระโดดร่มต่ำกว่าความสูงหมื่นฟุต) เขย่าพสุธา(กระโดดน้ำในถ้ำสวอลโล่) เป็นหนึ่งกับสายลม(กระโดดจากหน้าผาในชุดวิงแมน) จ้าวแห่งชีวิต (ปีนผามือเปล่า) และกีฬาชนิดอื่นๆอีก เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำลายสถิติของกีฬาเอกซตรีมทุกอย่างที่เขาเข้าร่วมจนกลายเป็นตำนานแห่งวงการไปในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังได้สร้างความมหัศจรรย์ในวงการต่างๆไม่ว่าจะเป็น โกะ ศิลปะการต่อสู้ การเต้นรำ แข่งความจำ เรียกได้เลยว่าซูจิ้งนั้นได้ท้าทายขีดจำกัดของตัวเองในทุกสิ่งที่เขานั้นได้เคยทำมาเลยทีเดียว
ในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าซูจิ้งได้ทำการกินรวบหมดแทบจะทุกวงการที่ใช้ความสามารถในตัวบุคคลเลยก็ว่าได้ จนถูกกินเนสเวริดเรคคอร์ดขนานนามเขาไว้ว่าเป็นบุคคลที่ทำสถิติโลกมากที่สุดในโลก จนตอนนี้ผู้คนไม่ได้ถือว่าเขานั้นคือมนุษย์อีกต่อไป
ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกนั้นกำลังตกตะลึงในการกระทำของซูจิ้ง ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นคือคนเก่งอยู่แล้วเพียงแต่ว่าพยายามกดข่มตัวเองไม่ให้เด่นดังจนเกินไป
และนี่เองทุกคนต่างก็เริ่มสงสัยว่าทำไมกับคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อเสียงแต่กลับมาทำตัวเด่นดังแทบจะในทุกวงการแบบนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ
เป็นไปได้รึเปล่าว่าเขานั้น คลั่ง ไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดว่าเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหาคำตอบว่าชายคนนี้นั้น สรุปแล้วเขาคือมนุษย์หรือพระเจ้ากันแน่