Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1138
GGS:บทที่ 1138 คลื่นใต้น้ำ
ในขณะที่ทุกคนนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นคลั่งไปแล้วนั้นก็ได้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งออกมาอย่างไม่คาดคิด นั่นก็คือ
ซูจิ้ง ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิคในฐานะตัวแทนทีมชาติจีน ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขานั้นได้ลงแข่งในเกือบทุกรายการเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็นวิ่งร้อยเมตร สองร้อยเมตร สี่ร้อยเมตร วิ่งข้ามสิ่งกีดขวางหนึ่งร้อยสิบเมตร วิ่งข้ามสิ่งกีดขวางสี่ร้อยเมตร กระโดดสูง กระโดดไกล วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ชกมวย คาราเต้ บาสเก็ตบอล ฟุตบอล
นี่จึงทำให้ทุกคนได้ฟันธงในทันทีว่าท่านเทพของพวกเขานั้นได้คลั่งไปแล้ว นั่นก็เพราะหากไม่เรียกว่าคลั่งแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะใช้คำไหนดี
บางคนก็ได้บังเกิดความคิดดูถูกซูจิ้งขึ้นมา คนเหล่านั้นสงสัยว่าการที่ซูจิ้งคือปรมาจารย์ได้การต่อสู้ก็จริงแต่คิดว่าตัวเองนั้นจะสามารถทำได้ดีในการกีฬาด้วยรึไงกัน สำหรับด้านการกีฬาแล้วคนเหล่านั้นเชื่อว่าซูจิ้งย่อมไม่ได้มีทางเก่งกาจไปได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะเขานั้นไม่ได้มีความชำนาญในแต่ละด้านมากพอ ต่อให้เคยเล่นมาบ้างแต่ยังไงซะก็ไม่มีทางจะเทียบชั้นกับนักกีฬาระดับโลกได้เป็นแน่โดยเฉพาะกับการลงแข่งเอาซะทุกอย่างแบบนี้
มันก็เหมือนกับที่จะให้บูซลีไปแข่งวิ่งกับนักกีฬาอาชีพนั่นแล และยิ่งซูจิ้งลงแข่งซะเกือบทุกอย่างแบบนี้ เกรงว่าเขานั้นจะทำเพื่อเพิ่มโอกาสของตัวเองเฉยๆเท่านั้น
อีกทั้งในตอนนี้ข้าวสีน้ำเงินก็ถูกซื้อไปเพื่อบำรุงนักกีฬาในนานาประเทศอยู่แล้ว แน่นอนว่าร่างกายของนักกีฬาในตอนนี้ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม สถิติโลกต่างๆนั้นถูกทำลายกันเป็นว่าเล่น เรียกได้เลยว่ายังไม่ทำจะให้ตกตะลึงก็ถูกทำลายซ้ำไปแล้ว ต่อให้ซูจิ้งเก่งแค่ไหนก็ยังถือว่าด้อยกว่าในด้านประสบการณ์
ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังลงแข่งในกีฬามวย คาราเต้ และกีฬาอื่นๆที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้อีกไม่น้อยกว่าโหล ที่เรียกได้ว่าคนละขั้วกันเลยด้วยซ้ำ
“พระเจ้าเถอะ ซูจิ้งคลั่งไปแล้ว”
“มันจะเป็นการดีกว่าล่ะน้าที่ปล่อยเส้นทางให้พูดคนได้เดินกันบ้าง การที่ซูจิ้งได้ก้าวเข้าไปมีส่วนในวงการโอลิมปิคแบบนี้แถมยังลงแข่งไปกว่าโหลแบบนี้เขาคิดว่ากีฬาโอลิมปิคเป็นอะไรกัน”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่นายอย่าลืมเรื่องที่น่ากลัวที่สุดอยู่นะ นั่นก็คือการที่เขานั้นมีชื่ออยู่นี่แสดงว่าเขาเองก็เป็นนักกีฬาตัวจริงไปแล้ว แถมยังผ่านรอบคัดเลือกแล้วนะ”
“บ้าไปแล้ว ต่อให้เป็นรอบคัดเลือกแต่การผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งมากมายขนาดนี้มันก็มากเกินไปแล้ว”
“นี่ยิ่งทำให้ฉันเดาไม่ถูกจริงๆว่าเขาจะได้กี่เหรียญกันแน่”
“ฉันว่าอย่างน้อยๆเขาก็น่าจะได้จากมวยและคาราเต้นะ ต่อให้กฎของมวยและคาราเต้จะค่อนข้างเข้มงวด แต่ซูจิ้งเองก็เก่งในด้านการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน สองเหรียญนี้ไม่พลาดแน่ๆ สวยเหรียญอื่นนี่ยังพูดยากอยู่นะ คงต้องรอดูกันต่อไป”
การกระทำของซูจิ้งนั้นส่งผลให้เหล่าคนสนิทและมิตรสหายของเขานั้นอดที่จะถามไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะการกระทำเหล่านี้นั้นขัดกับตัวตนของซูจิ้งเกินไป
หวังจ้าวเองนั้นสงสัยถึงขนาดที่จะต้องโทรหาซูจิ้งถึงสองรอบ “อาจิ้ง ตกลงว่านายไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า ก่อนหน้านี้นายเองก็ได้ถามเฉิงหนานว่าทำยังไงถึงจะเด่นดังได้ ตอนนั้นฉันก็ว่านายแปลกแล้วนะ
ก็ก่อนหน้านี้นายพยายามไม่ทำตัวให้เด่นดังเลยนี่นา นอกซะจากว่านายจะถูกบังคับให้พัฒนาชีวิตของผู้คนและช่วยเหลือผู้คนใช่รึเปล่า บอกหน่อยเถอะว่าการที่นายทำตัวแบบนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ลูกพี่จ้าวก็พูดเกินไป ฉันเองก็พึ่งจะนึกได้เฉยๆน่ะว่าชีวิตของคนเรานั้นหากทำอะไรได้ก็ควรทำให้สุดก็เท่านั้นเอง
และในเมื่อพวกเราทำให้ดีที่สุดได้แล้วในขณะที่เรานั้นยังหนุ่มแน่นล่ะก็ ต่อให้เราลาลับไปแต่ทิ้งชื่อไว้มันจะไม่สุดยอดกว่าไม่ใช่เหรอ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางเลยสักนิดที่จะพูดความจริงออกไปได้เพราะบอกไปก็ทำให้หวังจ้าวกังวลไปอย่างเปล่าประโยชน์
เมื่ออยู่เบื้องหน้าร่างเงาดำนั่นแล้วนั้น อย่าว่าแต่หวังจ้าวเลย แต่ให้คนทั้งโลกก็ช่วยเขาไม่ได้
“…..ก็ได้ แต่นายต้องไม่ลืมนะว่าสิ่งที่นายทิ้งไว้นั้นไม่ใช่อะไรที่ผู้คนจะหลงลืมได้ สิ่งที่นายจะทำนั้นเรียกได้ว่าเป็นการรีเซ็ตโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง
ว่าแต่…..นายแน่ใจนะว่านายลงแข่งวิ่ง กระโดดไกล กระโดดสูง และกีฬาอื่นที่ไม่ใช่การต่อสู้ได้น่ะ” หวังจ้าวถามออกมาอย่างห่วงใย
“แหม่…พูดมาอย่างนี้นี่รอดูเลยดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดี งั้นฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แล้วฉันจะคอยดุแล้วกันว่านายนั้นสุดท้ายแล้วจะสง่างามแค่ไหน….หรือนายทำแบบนี้เพื่อกลุ่มทุนฯของพวกเรา….เหรอ” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายและเฉิงหนานเองก็จัดการเรื่องในบริษัทได้ดีอยู่แล้วนี่นา อันไหนที่ต้องยกถึงเวลามันก็ยกระดับได้เองแหล่ะ อย่าไปกลัวว่ากลุ่มทุนฯของพวกเราจะยกรวดเร็วเกินไปก็พอ”ซูจิ้งพุดออกมา
หลังจากวางสายไป ซูจิ้งก็ได้กลับไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศอีกครั้งเพื่อจัดการขยะฯต่อไป
ในช่วงหลายวันนี้ นอกจากซูจิ้งยังสร้างชื่อเสียงอย่างสุดยอดที่สุดในทุกก้าวที่เดินไปจนทำให้ได้รับแรงศรัทธามามากมาย
ถึงจะยุ่งวุ่นวายขนาดนั้น เขาก็ยังไม่ลืมที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขา โดยเฉพาะกับขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดรแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เขาในตอนนี้ก็ยังไม่เจอหนทางอื่นที่จะใช้ต่อกรกับร่างเงาดำนั่นได้
หลังจากที่จัดการขยะฯไปอีกพักใหญ่ ก็ได้มีสายแปลกๆโทรเข้ามาหาซูจิ้ง ซูจิ้งได้ตัดสายไปอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่หลังจากตัดสายไปพักหนึ่ง เขาก็ได้รับข้อความมาจากเบอร์ที่เขาพึ่งจะตัดสายไปเมื่อครู่นี้
“สวัสดีครับคุณซู ผมเป็นนักแกะสลักคนหนึ่ง ผมเคยมีเรื่องกับคุณเว่ยเสี่ยวหยวนเพราะว่าเรื่องเข้าใจผิดกัน แถมมาตอนหลังนั้นหัวหน้าของผมนั้นทำตัวไม่กลัวเสือ จนไปรับเงินมาจากซงจุนฮ่าวและส่งคนไปจับตัวคุณ
เมื่อผมรู้เรื่องนี้ผมกลัวจนไม่กล้าจะไปเสนอให้คุณเห็นอีกถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ผมพึ่งจะได้ข่าวสำคัญมาและคิดว่าควรจะต้องบอกคุณเอาไว้”
เมื่อได้อ่านข้อความ ซูจิ้งได้คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะนึกออกว่าชายคนนี้น่าจะเป็นใคร ชายคนนี้เขาเองก็ไม่รู้ชื่อเหมือนกัน
แต่เขาจำได้คร่าวๆว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนเท่านั้น และพอจะจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เขาเองได้ช่วยเว่ยเสี่ยวหยวนด้วยการเขียนอักษรกระบี่จนทำให้ชายคนนี้เกรงกลัวจนยอมแพ้แต่โดยดี
ภายหลังไม่นานนักกลุ่มของหมอนี่เองไปรับค่าจ้างจากซงจุนฮ่าวและพยายามจะจับตัวเขาไป นี่ทำให้เขานั้นได้พบชายคนนี้อีกครั้ง
ซูจิ้งเลยได้กวาดล้างกลุ่มของคนผู้นี้จนน่าจะกลายเป็นเงาในใจไปแล้ว
ในครั้งนี้ซูจิ้งไม่คิดว่าชายคนนี้จะกล้ามีปัญหากับเขาอีก เมื่อชายคนนี้โทรมาอีกครั้ง เขาจึงได้รับสายและถามออกไปว่า
“ข่าวอะไร ขอสั้นๆ”
“คุณยังจำซงจุนฮ่าวได้รึเปล่าครับ” นักแกะสลักถามออกมา
“จำได้” ซูจิ้งตอบกลับไป จะไม่ให้เขานั้นจำไม่ได้ได้ยังไงกัน หวังหยานที่ทิ้งเขาไปนั้นเกือบจะไปแต่งงานกับหมอนั่น และเพราะหมอนั่นทำให้ผู้นำตระกูลในตอนนั้นมีปัญหาบาดหมางกับเขาอย่างฝังลึก
จนท้ายที่สุด ซงจุนฮ่าวนั้นส่งคนมาลักพาตัวเขาเพื่อจะหั่นแขนหั่นขาให้พิการ เขาเลยจัดหนักจนหมอนี่โดยการโจมตีจิตสำนึกของหมอนั่นอย่างหนัก และโยนเข้าไปไว้ในคุกของผู้ป่วยทางจิตไป
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูจิ้งก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันไม่ได้ว่าชายคนนี้จะพูดถึงเรื่องนี้ทำไมอีก เขาจึงได้ถามออกมาว่า “แล้วนายจะรื้อฟื้นเพื่อ?”
“ผมได้ข่าวมาว่าหมอนั่นออกมาแล้วและคิดที่จะทำร้ายคุณ ผมเลยต้องการที่จะเตือนคุณเอาไว้” ช่างแกะสลักพูดออกมา
“ออกมาจากห้องขังเหรอ เชื่อได้ใช่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมาพร้อมคิ้วแน่น
“เชื่อได้อย่างที่สุดครับ” ช่างแกะสลักพูดยืนยันด้วยน้ำเสียหนักแน่น
“ขอบคุณมาก ถ้าฉันยืนยันแล้วว่านี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ ฉันต้องตอบแทนนายแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเองก็ทำเรื่องเลวร้ายมาก็มาก ในตอนนี้ผมนั้นรู้สึกสำนักผิดกับเรื่องราวเหล่านั้น สิ่งใดที่ผมพอจะทำดีตอบแทนได้พบก็ทำเท่านั้นเอง” ช่างแกะสลักพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“จงรักษาความดีนี้เอาไว้แล้วความดีนั้นจะตอบแทนนายอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะวางสายไป เขาได้ให้ซูฉือเช็คข้อมูลเรื่องนี้ในทันที และผลก็คือว่านี่เป็นเรื่องจริง ซงจุนฮ่าวออกมาจากคุกแล้ว
ในตอนแรกนั้น ซูจิ้งไม่เห็นเรื่องราวของซงจุนฮ่าวอยู่ในสายตา เพราะยังไงซะหมอนี่ก็กลายเป็นนักโทษผู้ป่วยทางจิตไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเพราะเหตุนี้เขาเลยคิดจะไม่สนใจ ถึงแม้ว่ายังมีข้อสงสัยอยู่ว่าขนาดหมอนี่โดนเขาโจมตีจิตสำนึกไปหนักขนาดนั้นแล้วยังแหกคุกออกมาได้ยังไงกัน
อย่างไรก็ตาม ซูตินั้นได้พบข้อมูลภายในบอกไว้ว่าเป็นไปได้ว่ามีคนช่วยซงจุนฮ่าวออกไปไม่ใช่การแหกคุกด้วยตัวเอง แต่เป็นการปล้นคุกชิงตัวนักโทษ
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วซูจิ้งยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ใครกันที่ยอมลำบากลำบนไปช่วยนักโทษผู้ป่วยทางจิตแบบนี้กันแน่ ตระกูลซงเหรอ หากพวกนั้นอยากช่วยน่าจะช่วยออกไปนานแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมถึงพึ่งจะมาช่วยในตอนนี้
ซูจิ้งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆและอาจมีลับลมคมในก็เป็นได้ เขาจึงได้ให้ซูฉือและหลัวฉิหลินทำการสืบสวนเรื่องนี้
ยังไม่ถึงวันดี ซูจิ้งก็ได้ข่าวมาอีกว่า โอฉิงสง วูจู่ ซิวจิ้ง และคนอื่นๆได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และทุกคนที่หายไปนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหากับซูจิ้งทั้งหมดทั้งสิ้น