Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1141
GGS:บทที่ 1141 เหตุฉุกเฉิน
หลังจากซูจิ้งเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทั่วไปแล้ว เขาได้ตรงไปยังโลงศพในทันที ซูจิ้งได้ก้าวเข้าไปในโลงศพและเริ่มทำการขัดเกลาจิตวิญญาณของตัวเองในทันที เขาอยู่ในนั้นและไม่ได้ออกมาเป็นเวลากว่าสองวัน
ในช่วงระหว่างนั้นโลงได้มีเสียงร้องครางของซูจิ้งบ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องของวิญญาณมังกรสลับกันไปมา เสียงทั้งสองที่สลับกันไปมานี้ค่อนข้างจะโหดร้ายอย่างมากจนยากจะบอกได้ว่าสถานการณ์ภายนั้นเป็นยังไงกันแน่
สองวันถัดมา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้สงบลง ซูจิ้งได้ก้าวออกมาจากโลงศพด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่เพียงก้าวออกมานั้น โลงศพ ก็ได้แตกออก และไม่ได้แสดงออกถึงไอปีศาจอีกต่อไป ในตอนนี้มันนั้นไม่ได้ต่างไปจากโลงธรรมดาเลยสักนิด
ใบหน้าของซูจิ้งนั้นมีสีหน้าที่ซีดเผือดไปเล็กน้อย เขาดูเหนื่อยล้า การก้าวแต่ละก้าวนั้นดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ดวงตาของเขานั้นช่างสว่างสดใสและใบหน้าของเขา บ่งบอกได้ว่าพยายามแอบซ่อนความรู้สึกมีความสุขเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมจนเก็บไว้ไม่ได้
ซูจิ้งได้ครงไปยังยิมออกกำลังกายของเขาที่ชั้นสี่ เขาได้ตรงไปยังเครื่องวัดพลัง ในคราวนี้เขาไม่ได้ใช้เทคนิคและวิชาใดๆทำเพียงแค่ต่อยออกไปเท่านั้น
“ก๊าซซซซซซซ”(นึกให้เป็นเสียงก๊อดซิลล่าร้อง)
เบื้องหลังของเขาในตอนนี้ราวกับมีเงาของมังกรตัวใหญ่แสดงตนออกมา ด้วยยเสียงที่ดังลั่น เครื่องวัดพลังกระเด้งไปข้างหลังเล็กน้อยพร้อมตัวเลขที่แสดงข้อมูลออกมาว่า 4,000 กิโลกรัม แต่นี่ก็ยังไม่แน่นอนนักเพราะเครื่องนี้วัดเต็มที่ได้แค่นี้
ในตอนที่ซูจิ้งนั้นนั่งบ่มเพาะอยู่ในรังนกเพลิง หมัดของเขามีน้ำหนักเพียง 2,500 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ตอนนี้ หมัดของเขาน่าจะเกิน 4,000 กิโลกรัมเข้าไปแล้ว
คราวนี้ซูจิ้งได้ลองใช้พลังจิตของเขาโจมตีดูบ้าง ผลก็คือพลังจิตของเขาในตอนนี้อยู่ที่ 1,500 กิโลกรรัมเรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยเขาในตอนนี้นั้นมีพลังสถิตของวิญญาณแห่งสัตว์ร้ายอยู่ ต่อให้ไม่มีเหรียญตราเทวทูต ซูจิ้งก็สามารถโจมตีร่างเงาดำนั่นได้โดยตรงแล้ว แถมยังทำให้บาดเจ็บได้ในหมัดเดียวด้วย จะเรียกว่าเป็นไพ่ลับของเขาอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้วิญญาณสัตว์ร้ายของเขานั้นจะแปดเปื้อนก่อนที่จะกลายมาเป็นพลังสถิตย์ร่างของซูจิ้งก็ตาม แต่หลังจากที่มันกลายเป็นพลังสถิตร่างของซูจิ้งไปแล้ว วิญญาณที่แปดเปื้อนนี้ไม่ได้สูญสลายหายหรือส่งผลต่อซูจิ้งแต่อย่างใด
วิญญาณที่แปดเปื้อนได้กลายไปเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์อีกส่วนหนึ่งไปแล้ว ต่อให้ซูจิ้งใช้ลำแสงชำระล้าง วิญญาณส่วนนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบต่อย่างใด
ในตอนนี้ ซูจิ้ง รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่หยุดฝึกฝน เขาได้ตรงกลับเข้าไปยังรังนกเพลิงและทำการเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าเพื่อทำการปรับร่างกาย ฟื้นคืนพลังวิญญาณ บ่มเพาะเคล็ดวิชาต่างๆเพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับเงาดำนั่น
ไม่กี่วันถัดมา ซูจิ้งยังใช้เวลาไปกับการจัดการขยะห้วงเวลาฯและฝึกฝนตัวเองโดยการเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าไปด้วย เรียกได้ว่าบ่มเพาะทุกย่างก้าวกันเลยทีเดียว และนี่ทำให้เขานั้นไม่ต้องพักผ่อนเลยสักนิด
ส่งผลให้ขยะห้วงเวลาฯในตอนนี้ถูกจัดการลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เขานั้นก็ยังได้พบของดีๆอยู่บ้าง
อย่างเช่นพระพุทธรูปแกะสลักพระพุทธรูปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ วัตถุโบราณที่แฝงกลิ่นอายแห่งศิลป์เอาไว้ และไม้ที่มีค่ามากกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยพบมา
โดยกับเรื่องนี้ ซูจิ้งไม่ได้เสียเวลาในการแกะสลักหรือเอาไปเปิดตัวแต่อย่างใด เขามอบให้เฉิงหนานเพื่อนำไปจัดการต่อ แค่ไม้ท่อนนี้ก็บอกได้เลยว่าเขานั้นสามารถได้รับทั้งเงินและค่าการใช้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแล้ว
อย่างไรก็ตาม นอกจากของพวกนี้แล้ว ซูจิ้งยังไม่พบของที่ช่วยเขาเพิ่มความแข็งแกร่งแอย่างใด
ในช่วงตอนกลางคืน ในที่สุด พื้นที่รองรับขยะห้วงเวลาฯของซูจิ้งก็ได้ว่างลงอีกครั้งหนึ่ง และในตอนนี้เอง ซูจิ้งก็ได้พบทั้งข่าวดีและข่าวร้าย
ข่าวที่ว่าคือเกิดการตายที่แปลกประหลาดในทวีปแอฟริกาโดยมีผู้เสียชีวิตไปกว่าสองล้านคน สาเหตุการตายไปแน่ชัด
เพียงแต่ผู้เสียชีวิตทุกคนนั้นมีอาการอย่างหนึ่งเหมือนกันก็คือใบหน้าที่ซีดเผือดและร่างกายที่ผอมแห้งราวกับว่าโดนสูบชีวิตกันไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันดูแปลกมาก บางคนนั้นได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่านี่น่าจะเป็นโรคละบาดชนิดใหม่ก็เป็นได้
หลังจากที่ซูจิ้งเห็นข่าวนี้ เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมความคิดที่ว่า โรคระบาดใหม่…ไม่มีทาง ต่อให้เก้าในสิบส่วนเลยว่าเจ้าเงาดำนั่นต้องเป็นคนก่อเรื่องอย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ ซูจิ้งเองก็ได้ข่าวแปลกๆ เกี่ยวกับการตายที่แปลกประหลาดมาบ้าง แต่ด้วยจำนวนที่ไม่มากทำให้เขานั้นไม่ได้สนใจอะไรและไม่คิดว่านั่นเป็นฝีมือของร่างเงาดำแม้แต่น้อย แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้แล้ว ต่อให้เขานั้นยังไม่มั่นใจเต็มสิบ แต่ยังซะเขาก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าร่างเงาดำนั่นต้องเกี่ยวข้อง
“ดูเหมือนว่าร่างเงาดำนั่นไม่ต้องใจจะปิดเรื่องนี้เลยแหะ”
ถึงแม้หากมองเผินๆแล้วนี่เป็นข่าวดีสำหรับเขาที่จะได้รู้สักทีว่าร่างเงาดำนี่อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่หากมีหัวคิดอีกสักหน่อยล่ะก็ตั้งคิดเอะใจอยู่บ้างว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้น
ร่างเงาดำนั่น่ไม่ใช้ผู้ไม่ตายไร้สมองงอกง่อยอะไรพวกนั้น เจ้าเงานั่นสมควรจะเตรียมการไว้พร้อมที่กำจัดเขาแล้วจึงกล้าที่จะเผยร่องรอยออกมาให้เห็นแบบนี้ ดีไม่ดีเจ้านั่นอาจจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์พร้อมแล้วถึงได้กล้าเผยร่องรอยออกมาก็เป็นได้
โดยปกติแล้ว เหล่าผู้ไม่ตายนั้นจะใช้การฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณของตนเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเงาดำนั่นจะแกร่งขึ้นมาอีกขนาดไหนกันแน่หลังจากฆ่าคนไปกว่าหนึ่งล้านคน
ซูจิ้งเองในตอนแรกก็มีความคิดที่จะไปตามคำเชิญนี้เหมือนกันแต่ก็ต้องละทิ้งความนี้ไปแทบจะในทันที นั่นก็เพราะหากว่าเขาไปในตอนนี้แล้วเจ้าเงาดำดันคิดว่าเขาเตรียมตัวมาดีกว่าแล้วจะพานหนีไปแล้วไม่ทิ้งร่องรอยอะไรอีก
ในตอนนี้เจ้าเงาดำนั่นเปรียบได้ดั่งเสือที่มาจากภูเขา หากว่ามันฆ่าเขาได้ล่ะก็ อย่าว่าแต่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯและสมบัติของเขาจะตกกลายเป็นของมันเลย ต่อให้มันทำลายสถานีกำจัดขยะห้วงเวลา หรือแม้แต่กวาดล้างคนจีนและเปลี่ยนประเทศจีนให้กลายมหาสุสาน เมื่อถึงตอนนั้นใครจะขวางมันได้
แถมนั่นยังไม่รวมถึงว่าจะเป็นการเปิดเผยการคงอยู่ของรังนี่ด้วยอีก เป็นสิ่งที่เขาปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้จริงๆ
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งเองก้ไม่สามารถนั่งรอดูเฉยๆได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะการที่เจ้าเงาดำนั่นเปิดเผยตัวเองแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากนัก
นี่ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกว่าการแข่งกีฬาโอลิมปิกที่เขากำลังเฝ้ารออยู่นี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิมไปอีก
“หลังจากฉันได้มังกรนั่นมาสถิตอยู่ในร่างแล้วทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากนัก มาตอนนี้วิธีการฝึกทั้งหลายของฉันนั้นล้วนธรรมดาไปเลย ในอนาคตคงอยากที่จะเพิ่มแล้วล่ะนะ
ส่วนเหรียญตราเทวฑูตนี่ก็ยังพัฒนาได้อีกมากนัก งานแข่งกีฬาโอลิมปิดในครังนี้ก็หวังว่าจะเติมเต็มเหรียญตราเทวฑูตนี้ได้จนเต็มน้า…” ซูจิ้งในตอนนี้นั้นยังผลีผลามที่จะโจมตีไม่ได้ เขาจึงเรียกวิธีการที่สามารถพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุดจะดีกว่า
ซูจิ้งได้โทรหาหลัวฉือหลินเพื่อให้ไปสืบสวนเรื่องการตายแปลกๆที่แอฟริกา โดยครั้งนี้เขาได้ย้ำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าห้ามเข้าใกล้เกินไป เพราะหากว่าโดนเจอตัวครั้งนี้รับรองว่าแม้แต่เขาในตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ทำการรอต่อไป
ไม่กี่วันถัดมา งานแข่งกีฬาโอลิมปิคที่โตเกียวก็ได้มาถึง เหล่าผู้คนที่มีสัมพันธ์อันดีและเพื่อนๆของซูจิ้งนั้นความจริงก็อยากจะมาเห็นฉากความสำเร็จของซูจิ้งด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถแบ่งเวลามาได้นั่นก็เพราะงานที่ซูจิ้งหามาให้
มีบางคนเหมือนกันที่อยากจะไปดูด้วยตัวเองจริงๆแต่ก็ถูกปฏิเสธไปและโดนบอกกลับมาว่าให้ดูอยู่ที่บ้านดีกว่า เรื่องแบบนี้ดูที่ไหนก็ไม่ต่างกัน
พ่อแม่ของซูจิ้งและซูหยานั้นอยู่ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนจึงได้ขอตามไปด้วย ฉือชิงก็เช่นกัน ช่วงนี้ร้านเข้าที่เข้าทางแล้ว ต่อให้ฉือชิงอยู่หรือไม่คนที่เหลือก็ยังดำเนินการต่อไปได้
หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น การแข่งขันก็ได้เริ่มขึ้น งานแข่งกีฬาอย่างแรกก็คือยิงธนู ทีมจีนชนะเลิศจนได้เหรียญทองมาครองอย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นเบิกฤกษ์เบิกชัยที่ดีทีเดียว
แน่นอนว่าทีมจีนนั้นได้ใช้ธนูและลูกธนูที่ดูล้าหลังแบบสุดๆ เรียกได้ว่าโลเทคเลยก็ว่าได้ สิ่งนี้เป็นที่โจษจัณฑ์กันทั่วสนามในคราแรกในทันทีที่มีคนเห็น แต่ไม่มึใครรู้เลยสักคนว่าธนูนี้มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง
ถัดมาเป็นการแข่งยิมมนาสติกชาย บาสเก็ตบอลหญิงรอบรองชนะเลิศ บาสเก็ตบอลชายรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นเป็นนักกีฬาตัวจริงทำให้เขานั้นต้องลงเล่นในที่สุด
ทีมนักกีฬาบาสเกตบอลชายนั้นถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนของทีมชาติมาโดยตลอด การที่ซูจิ้งเขามาอยู่ในทีมนี้ต้องทำให้ทุกคนต้องมองทีมบาสเก็ตบอลใหม่อีกครั้ง
แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่คิดว่าการที่ทีมบาสเก็ตบอลชายมีซูจิ้งอยู่แบบนี้จะประสบความสำเร็จ และส่วนใหญ่นั้นคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ว่าจะเล่นบาสเก็ตบอลได้จริงๆหรือไม่
สุดท้ายแล้วเล่นแบบบ้านๆกับเล่นแบบกีฬายังไงก็ยังแตกต่างกันมากมายนัก ไหนจะกฎระเบียบที่จุกจิกชนิดที่ว่าคนที่ไม่ใช่นักกีฬานั้นย่อมหัวหมุนในทันทีที่ได้ยิน อีกอย่างคนที่แข็งแกร่งจนล้ำหน้าชาวบ้านแบบเขาจะไปเข้าขาคนในทีมได้ยังไง การแข่งกีฬาบาสนั้นเป็นการแข่งแบบทีม เล่นเด่นคนเดียวมันก็เท่านั้น
การมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้ช่วยอะไรกับเรื่องนี้เลยจริงๆ กับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการแล้วอยู่ๆมาลงแข่งแบบนี้ พวกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นจะจบยังไงกันแน่