Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 1146
GGS:บทที่ 1146 เยือนประตูบ้าน
บนสนามมวยหนึ่ง ซูจิ้งและนักมวยชาวอเมริกันนั้นต่างก็ยืนอยู่ที่กลางสนาม ผู้ชมที่เห็นฉากนี้ทั้งรอบเวทีและที่กำลังดูการ่ายทอดสดนั้นต่างสับสนกันไปหมด
“นั่นมันซูจิ้งที่พึ่งจะทำลายสถิติบาสเก็ตบอลมาไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่เองนะ”
“จะบ้าตาย เขาเป็นนักบาสไม่ใช่เหรอแล้วทำไมเขาถึงได้มาต่อยมวยได้กันล่ะ ยิ่งไปก;ว่านั้น เขาเองก็พึ่งจะลงเล่นบาสไปเมื่อเช้านี้แล้วมาชกมวยต่อตอนเย็นเนี่ยนะ เขาจะเอาแรงที่ไหนมาชกได้”
“แถมถ้าเขาบาดเจ็บหนักแล้วหลังจากนี้เกมแข่งบาสจะทำยังไงล่ะ”
ในตอนนี้ เหล่าผู้ชมชาวจีนเองนั้นก็ค่อนข้างจะสับสนไม่น้อยเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีความกังวลเท่าไหร่นัก ต่อให้มวยนั้นจะเป็นกีฬาการต่อสู้คนละชนิด แต่ยังไงแล้วมันก็คือกีฬาการต่อสู้เหมือนกัน ในฐานะประมาจารย์การต่อสู้แล้วในครั้งนี้ซูจิ้งสมควรจะทำได้ดีกว่าบาสซะอีก
แต่กับผู้ชมชาวต่างประเทศที่ไม่รู้จักซูจิ้งดีนั้นกลับคิดต่างออกไป เขาคิดว่าซูจิ้งนั้นช่างไร้สาระแบบสุดๆที่จีนต้องเอานักบาสมาชกมวยแบบนี้ ภายใต้การนำของกรรมการมวย ในตอนนี้กรรมการกำลังอธิบายกฎระเบียบ ก่อนที่จะให้สัญญาณการชกในทันที
นักมวยอเมริกานั้นมีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเต้นฟุตเวริคไปรอบซูจิ้งโดยรักษาระยะห่างไว้ก่อนจะต่อยหมัดแย็บเพื่อเป็นการขมขู่ซูจิ้งไปเล็กน้อย
แต่กับซูจิ้งนั้นไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย เขาไม่แม้แต่จะตั้งการ์ดตัวเองขึ้นมาด้วยซ้ำ เขายืนอยู่นิ่งไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ นักชกอเมริกาได้ก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวก่อนจะต่อยไปที่ใบหน้าของซูจิ้งอีกครั้งด้วยหมัดแย็บด้วยความรวดเร็ว
ในตอนนี้เกือบทุกคนนั้นต่างก็รู้สึกสมน้ำหน้าของซูจิ้งที่ไม่ยอมตั้งการ์ดขึ้นมาดีๆ จะมาโยกหลบตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้โยกหลบแต่อย่างใด หมัดของเขาในตอนนี้กลับสัมผัสของนักมวยชาวอเมริกาด้วยความเร็วปานไวแสงจนทำให้นักมวยชาวอเมริกาต้องกระเด็นถอยหลังไปในทันที
ก่อนที่นักมวยอเมริกาจะตั้งตัวเพื่อทำอะไรได้ต่อนั้น ซูจิ้งปล่อยหมัดที่สองออกมาใส่ที่ปลายคางของนักมวยชาวอเมริกาจนเขานั้นต้องล่วงลงไปกองนอนกับพื้นสิ้นสภาพตาเหลือกขาวในทันใด
เป็นอีกครั้งที่เหล่าผู้ชมต้องตกตะลึง
….เกิดอะไรขึ้น
กรรมการที่พึ่งจะตั้งสติได้ก็ได้รีบเข้าไปนับในทันที ในการแข่งันกีฬามวยโอลิมปิกนั้นมีกฎอยู่ว่าการแพ้หรือชนะนั้นมีการตัดสินกันอยู่สองรูปแบบ
หนึ่งคือการนับคะแนนจากกรรมการข้างเวที ใครได้มากกว่าก็ชนะไป โดยคะแนนจะเป็นการจากจำนวนหมัดที่เข้าเป้าโดยไม่สามารถป้องกันได้ คะแนนที่ป้องกันได้ คะแนนที่สวนกลับได้
ยังไม่รวมกับที่กรรมการผู้ให้คะแนนต้องเห็นพ้องต้องกันอีก และเมื่อเสร็จสิ้นคะแนน คะแนนจะถูกนับรวมกันเมื่อสิ้นเสียงระฆังในแต่ละยก แล้วนับผลรวมตอนสิ้นสุดการแข่งขัน
อีกหนึ่งคือการชนะน็อค จะเป็นการนับเวลาหลังจากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนหมัดสำคัญจนทำให้หมดสภาพลงไปนอนกับพื้น
หากมีส่วนใดไม่ได้ลงไปอยู่กับพื้นเช่นแขนพ้นเวที ขาวางพาดเชือก หรือยืนอยู่ด้วยสภาพหมดแรง กรรมการจะต้องรีบกันไม่ให้นักมวยฝ่ายตรงข้ามเข้าไปใกล้และทำการนับหนึ่งถึงสิบ
หากฝ่ายที่ตกอยู่ในสถานะดังกล่าวนั้นชกต่อไม่ไหวแล้วก็ถือให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายชนะ หรือหากอีกฝ่ายนั้นต้องตกอยู่ในสภาพโดนนับถึงแปดสามครั้งในหนึ่งรอบการแข่งขันก็ให้ถือว่าไม่สามารถต่อสู้ได้เล่นเดียวกัน
สำหรับในกรณีนี้ นักมวยอเมริการ่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ต้องสืบ กรรมการจึงได้นับหนึ่งถึงสิบในทันที และเมื่อถึงสิบ นักชกชาวอเมริกายังไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด กรรมการจึงประกาศยุติการแข่งขันและให้ซูจิ้งชนะไปในทันที
เหล่าผู้ชมในตอนนี้ที่อยู่หน้าทีวีนั้นต่างก็ส่งเสียงกู่ร้องกันอย่างยกใหญ่
“เอาจริงดิ สองหมัดก็ชนะน็อก”
“ประกาศอย่างยาวจบในเพียงเสียววิเนี่ยนะ”
“ซูจิ้งคนนี้ไม่แกร่งไปหน่อยหรอ”
“คนละระดับเลยมากกว่า”
เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้แสดงความตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร
“แน่นอนว่าพี่จิ้งนั้นเก่งที่สุด”
“ฉันเองก็นึกมาตลอดว่าด้วยกฎที่ต่างกันทำให้พวกเรานั้นไม่สามารถแสดงออกมาด้วยแม้แต่ในกีฬาวูซูก็ตาม แต่พี่จิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแบบนั้นจริงๆถึงสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้ขนาดนี้”
“ฉันนั้นคิดว่าพี่จิ้งยังไงก็ต้องชนะแต่ก็ไม่นึกว่าจะชนะน็อคแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เรียกว่าไม่ไว้หน้ากันเลยจริงๆ”
เพียงการแข่งขันโอลิมปิกแค่สองเกม ซูจิ้งก็สร้างชื่อเสียงของตัวเองให้คนทั่วทั้งโลกนั้นต้องได้ยินชื่อของเขาจนหมดสิ้น เพียงแค่ทำคะแนนในการแข่งบาสเพียงนัดเดียวได้กว่า102คะแนนก็คือว่ามากพอจะกลายเป็นประเด็นร้อนไปได้นานแล้วเพราะยังไงซะนี่ก็เป็นหนึ่งในสถิติโลก
แต่ในวันเดียวกันนั้น เขายังใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีชนะน็อคคู่ต่อสู้ได้นี่ยิ่งทำให้เขานั้นเป็นที่พูดถึงกันมากยิ่งขึ้นไปอีก
ในวันถัดมา ซูจิ้งได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาคาราเต้ คาราเต้นั้นแต่เดิมไม่ได้ถูกจัดไว้ในการแข่งกีฬาโอลิมปิกแต่อย่างใด กีฬานี้ถูกเพิ่มเข้ามาเพียงเพราะว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นเจ้าภาพเท่านั้น
ในทันทีที่ซูจิ้งก้าวเข้าสนามมานั้นแทบจะไม่มีใครเชียร์ซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย มีเพียงกลุ่มชาวจีนจำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยในครั้งนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นชายญี่ปุ่นที่เข้ามาเพราะต้องการเชียร์ในกีฬาของชาติตนเองเท่านั้น
ด้วยการที่ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับกีฬาไม่น้อยไปกว่าใคร แถมในครั้งนี้ยังเป็นการแข่งในประเทศตัวเองด้วยกีฬาประจำชาติ มีหรือที่คนญี่ปุ่นจะพลาดได้กัน
ต่อให้คนญี่ปุ่นเหล่านี้ได้เห็นความทรงพลังของซูจิ้งในการแข่งขันชกมวยเมื่อวานจนทั่วไปหมด แต่ผู้ชมและนักกีฬาต่างก็ไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะ กติกาของกีฬาทั้งสองชนิดก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น มวยให้ใช้เท้าในการต่อสู้ แต่คาราเต้นั้นแทบจะใช้เท้าเป็นหลักซะด้วยซ้ำ
“หมอนี่เหรอที่ชนะนาย” กรรมการถามไปยังคนที่อยู่ข้างๆ คนๆนี้ก็คือคิมูระที่ถูกซูจิ้งอัดยับคาโรงฝึกไปก่อนหน้านี้
“เป็นมันนั่นแหล่ะ ไม่เพียงมันจะเล่นงานฉันเท่านั้น มันยังเล่นงานลูกศิษย์สำนักฉันไปกว่าสี่สิบคนอีกด้วยด้วยตัวคนเดียว” เมื่อคิมูระพูดออกมาก็อดที่จะนึกย้อนไปช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดไม่ได้ เขานั้นยังจำได้ฝังใจถึงความอัปยศในชีวิตอันนั้นก่อนที่จะพูดออกมาอีกว่า “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา”
“เอาน่า ฉันรู้ว่าหมอนี่มันแกร่งแต่ยังไงซะนายก็อย่าให้ความโกรธมาบังตาสิ ยังซะนี่ก็เป็นการแข่งคาราเต้ มันสมควรใช้เพียงคาราเต้เท่านั้น ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นคนชนะกันแน่
อ่ะ ต่อให้หมอนี่เล่นคาราเต้ได้จริงแล้วยังไงล่ะ ยังไงซะนี่มันการแข่งขันเพียงแค่นับแต้มเท่านั้นไม่ใช่การต่อสู้สักหน่อย ยังไงซะหมอนั่นก็สู้นักกีฬาอาชีพไม่ได้หรอก” กรรมการพูดออกมา
“ใช่” คิมูระพยักหน้าเห็นด้วยในทันที นี่ไม่ใช่การต่อสู้อย่างที่กรรมการว่าไว้จริงๆ ต่อให้ในการต่อสู้เทียบฝีมือนั้นซูจิ้งจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่นี่เป็นกีฬาเท่านั้น มีเพียงนักกีฬาคาราเต้ของญี่ปุ่นเท่านั้นที่รู้ดีว่าทำยังไงถึงจะได้แต้ม ทำยังไงถึงจะชนะ
ในขณะที่คิมูระกำลังพูดกับกรรมการคนหนึ่งอยู่นั้น ซูจิ้งก็ได้ขึ้นไปบนเวทีพร้อมนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง หลังจากกรรมการกล่าวเปิดเพียงสั้นๆก็ได้ให้สัญญาณเริ่มการแข่งขันในทันที