Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 911
GGS:บทที่ 911 ไม่คาดคิด
หลังจากซูจิ้งได้กลับจากวัดเมื่อวานนั้น เขาได้ทำการเตรียมเรื่องนี้มาแล้ว แน่นอนว่าในส่วนเนื้อหาคัมภีร์วิถีมังกรนั้นแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเผยแพร่
เขานั้นจดจำเนื้อหาของหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธเป็นอย่างดีแต่แน่นอนว่าเอาไม่ใช้ในการเสวนาครั้งนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขานั้นยังมีเศษคัมภีร์เหลือจากห้วงเวลาฯเทพจากฝั่งตะวันตกอยู่ที่น่าจะยังพอใช้ได้ อีกทั้งเขาเองก็พอจะมีความรู้ในบทสวดต่างๆและการตีความความสงบแห่งเซ็นอยู่น่าจะพอเอามาผนวกรวมกันได้
ถึงแม้ว่ามีเรื่องต่างๆที่ต้องทำความเข้าใจ แต่ด้วยความจำระดับที่ยากจะลืมได้ของเขานั้นสามารถเรียนรู้ได้เพิ่มเติมได้เยอะพอสมควรด้วยช่วงเวลาเพียงครึ่งวันเท่านั้น
ซูจิ้งยังทำความเข้าใจอีกด้านของการตีความความสงบแห่งเซ็น นี่เขาสามารถนำมาใช้ในการเสวนาได้ ด้วยการเสวนาเพียงระดับประเมินความเข้าใจแบบนี้เพียงความรู้แค่นี้เขาก็คิดว่าเกินพอแล้ว ต่อให้ไม่ได้เหนือกว่าแต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ต่ำกว่าคู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้อย่างแน่นอน
เมื่อซูจิ้งพูดเกี่ยวกับมุมมองทางศาสนาและความสงบออกมานั้น ผลลัพท์ที่ออกมาต่างจากที่คาดไว้ ทันทีที่เขาพูดออกมาทำให้ฝั่งตรงข้ามแน่นอนว่ารวมถึงผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาถึงกับนิ่งอี้งไป
แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยุน และเสี่ยวไจ๋ แน่นอนว่ารวมถึงชายอ้วนและเตียนจงยี่ก็เกิดความรู้สึกไม่ต่างกัน แม้แต่เจ้าอาวาสซูหยุนเองที่นั่งนิ่งปิดตาอยู่ยังต้องลืมตาขึ้นมา
ตอนที่ซูจิ้งกำลังพูดนั้นเขาได้นำเม็ดหินสีน้ำเงินที่พึ่งจะได้มาออกจากกระเป๋ามิติ ทันทีที่เขาใช้มันทำให้สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยความสงบแห่งเซ็น และแน่นอนว่าเขานั้นมุ่งเป้าไปที่คู่ต่อสู้ของเขาในครั้งนี้นั่นคือเหรินซินจิและคนอื่นๆในนิกาย คำพูดของซูจิ้งนั้นส่งผลกระทบต่อคนกลุ่มนี้อย่างมาก ส่วนเหล่าผู้ชมนั้นสัมผัสได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น
ซูจิ้งยังคงใช้คำพูดที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบนี้ต่อไป มันเหมือนกับว่าเขานั้นคือความสงบอย่างแท้จริง น้ำเสียงของเขานั้นชวนหลงใหล และเหมือนกับเป็นตัวตนที่แผ่ความสงบออกมาบนโลกใบนี้
ทุกคนที่เห็นฉากการพูดนี้ของซูจิ้งต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ในสิ่งที่เห็น แน่นอนว่ารวมถึงผู้นำนิกายฯและสาวกของกลุ่มเมตตาฯต่างก็ถึงกับพูดไม่ออก
พวกเขานั้นหลงลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงการเสวนากันอยู่ทำได้เพียงแค่ฟังด้วยสายตาอันโง่งมเท่านั้น ซูจิ้งเองก็ยังพูดต่อไปเรื่อยๆและไม่มีคำไหนเลยที่อีกฝั่งจะแย้งหรือพูดทัดทานได้ มันเหมือนกับว่าคำพูดของซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งขอเกี่ยวที่คอยเกี่ยวเหล่าดอกบัวในโคลนตมให้ยืดออกมาให้พ้นเหนือน้ำ
ซูจิ้งยังคงพูดต่อไปอย่างไม่หยุดพักเพราะตอนนี้เขานั้นไม่เห็นใครอยากจะทัดทานอะไร เมื่อเขาหมดเรื่องที่จะพูดแล้ว เขาก็ได้พูดบทหนึ่งในคัมภีร์ออกมาว่า
“ยามนั้นเมื่อเณรน้อยรูปหนึ่งได้พบกับพุทธศาสนาและได้ทำการฝึกฝนโดยการท่องบทสวดหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธ
ครานั้นเขาได้เห็นจักรวาลทั้งห้าที่แสนจะว่างเปล่า และเต็มไปด้วยความวุ่นวายในคราเดียวกัน
หากเปรียบเป็นสี การมีสีสันเองก็ไม่ต่างอะไรกับความว่างเปล่า ความว่างเองก็เปรียบได้ดั่งไม่มีอะไรเลย
ฉะนั้นการมีสีสันก็คือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือสีสัน
เมื่อลองคิดดูแล้ว การทำและรู้เองก็เหมือนๆกัน ทุกเรื่องราวนั้นล้วนแฝงไว้ด้วยความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นก่อเกิดหรือทำลาย ไม่ว่าจะเป็นเย้ายวนหรือบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มหรือการลด
นี่จึงเป็นเหตุให้อากาศไม่มีสีสัน ไม่มีความคิด ไม่มีความรู้สึก ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีลิ้น ไม่มีร่างกาย ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการมองเห็น ไม่มีการงุนงง ไม่มีการตอบสนอง ไม่มีแก่และความตาย
ในเต๋านั้นหากว่าต้องการเก็บเกี่ยวหรือทำลายหากไม่มีปัญญาก็ไม่มีทางได้รับมา
ในทางพุทธศาสนานั้นในตำราหัวใจพระสูตรและพระพุทธเองนั้นก็ต้องไม่มีความกังวล
ในเมื่อไม่มีความกังวลก็ไม่กลัวสิ่งใด ห่างไกลจากความฝันและทุกสิ่งที่อยากแสวงหา หากยึดตามหัวใจพระสูตรและพระพุทธแล้ว
พระพุทธเจ้าเองยังมีสามชีวิต และนี่จึงทำให้การแตกแยกของนิกายออกมาเป็นสามนิกายใหญ่ ได้แก่เถรวาท มหายาน และวัชรยาน ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด
และนิกายแยกย่อยจากสามนิกายนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะแต่ละนิกายนั้นต่างก็เชื่อในความจริงที่ตัวเองเข้าใจเท่านั้น และเลือกจะละทิ้งในสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจและละทิ้งในสิ่งที่คิดว่าไม่ใช่ออกไป”
หลังจากที่ซูจิ้งได้ร่ายมาอย่างยาวนานก็ดูเหมือนเขาจะหยุดพูดลง
เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานนั้นเป็นสองคนแรกที่ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งความสงบนี้ ทั้งสองมองไปยังซูจิ้งด้วยความตื่นตะลึง
ตอนแรกนั้นทั้งสองเองก็คิดว่าซูจิ้งนั้นเข้าใจในพุทธศาสนาไม่ต่างจากพวกเขามากนัก แต่ด้วยการที่แนวคิดทางศิลปะทางพุทธทำให้เขานั้นเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้นเอง
ในตอนนี้ทั้งสองรู้แล้วว่าแนวคิดทางพุทธของซูจิ้งนั้นเพิ่มมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าการร่ายยาวของซูจิ้งเมื่อครู่นี้แม้แต่ทั้งสองเองก็ยังต้องตกอยู่ในภวังค์เลย
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของทั้งสองที่ได้เข้าถึงวิถีแห่งความสงบของนิกายเซ็นอย่างแท้จริง นี่ขนาดซูจิ้งยังเป็นหนุ่มเป็นแน่นยังทำให้เขาเข้าถึงได้ขนาดนี้ นี่เขาเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดรึไงกัน
ชายอ้วน เตียนจงยี่ และคนอื่นๆเองก็เริ่มรู้สึกแบบเดียวกัน
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งหอพระอจละหรือนิกายเมตตาและโชคนำพาต่างก็รู้สึกแบบเดียวกัน แม้แต่ผู้นำนิกายเมตตาฯเองก็ไม่ต่างกันนัก พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงความสงบในขณะที่รับฟัง และตกตะลึงในทันทีที่รู้สึกตัว
ถึงแม้พวกเขานั้นจะไม่เข้าใจความหมายในวิถีแห่งความสงบได้เท่ากับที่ได้รับฟังซูจิ้งก็ตาม แต่พวกเขานั้นกับสัมผัสความสงบที่ออกมาจากถ้อยคำของซูจิ้งได้อย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่าผู้สักการะพระอจละนั้นสามารถเข้าถึงความสงบได้ดีเสียยิ่งกว่าฝั่งนิกายเมตตาฯซะอีก จนตอนนี้ทำให้เหล่าสาวกในนิกายแทบจะย้ายฝั่งในทันทีเลยทีเดียว
ต้องขอบคุณซูจิ้งในเรื่องนี้เพราะคำพูดของซูจิ้งนั้นได้ไปตรึงไม่ให้นิกายเมตตาฯไม่สามารถทำอะไรได้อีกต่อไป ถ้าจะพูดให้ถูกนั้นพวกเขาไม่ใช่ย้ายฝั่งแต่พวกเขาการเป็นผู้ศรัทธาในตัวซูจิ้งมากกว่า
ในตอนนี้ทุกๆคนไม่ว่าจะเป็นเจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน ชายอ้วนวัยกลางคน เตียนจงยี่ และคนอื่นๆเองต่างก็หันไปมองยังผู้นำนิกาย
พวกเขาอยากรู้ว่าในตอนนี้ผู้นำนิกายนั้นจะทำอะไรต่อไป เพราะนี่คือจังหวะที่ฝั่งตรงข้ามต้องสวนกลับแล้ว
แต่พวกเขานั้นกลับเห็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนนั่นก็คือผู้นำนิกายนามเหรินซินจิและคนอื่นๆในนิกายต่างลงไปคุกเข่าลงกองกับพื้นก่อนที่จะทำการกุมมือและทำการสักการะแก่ซูจิ้งในทันที
ทุกคนที่เห็นภาพนี้ต่างก็รู้สึกโง่งมในทันที แม้แต่เหล่านักข่าวเองกว่าจะเริ่มทำงานของตนได้ก็ผ่านไปนับนาทีได้
ก่อนที่ทุกคนมาที่นี่นั้นต่างก็เตรียมที่จะทำข่าวฉบับอวยผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาอยู่แล้ว ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ตามแต่ ต่อให้ฝั่งเจ้าอาวาสจะชนะยังไงพวกเขาก็ตั้งใจไว้ว่าอย่างนั้น
แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมเขาถึงได้ทำแบบนั้นต่อหน้าสาธารณชนได้ แต่ให้พ่ายแพ้แต่ก็ไม่ควรจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้แบบศิโรราบแบบนี้ไม่ใช่เหรอ
หากว่ามีคนไม่รู้ว่านิกายนี้มีชื่อเสียงมาก่อนล่ะก็ พวกเขาคงนึกว่านิกายนี้เป็นหนึ่งในนิกายของซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้เหล่าคนที่อยู่ฝั่งวัดหลานเล่อนั้นต่างก็มองไปอย่างรู้สึกแปลกสายตา นั่นก็เพราะว่าเหล่าสาวกของนิกายแม้แต่คนที่ไปก่อปัญหายังวัดหลานเล่อเองนั้นยังอยู่สภาพไม่ต่างกัน
พวกเขานั้นไปที่วัดหลานเล่อเพื่อก่อปัญหา ยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายหรือแม้แต่โดนจับเพื่อนิกายของตนเอง แต่มาตอนนี้แม้แต่ผู้นำนิกายเองก็ยังคุกเข่าต่อหน้าพระจากวัดหลานเล่อ
แล้วตอนนี้พวกเขานั้นจะเอายังไงต่อ ไม่ใช่ว่าการทำอย่างนี้จะกลายเป็นเรื่องขายหน้ามากๆหรอกเหรอ
อย่างแรกนั้นพวกเขาพ่ายแพ้ต่อคำพูดของซูจิ้ง อย่างที่สองนั้นภาพลักษณ์ของนิกายในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว นี่ทำให้ทุกคนในนิกายหันเหไปทางพุทธในทันที
นอกจากพวกเขานั้นจะรู้สึกตัวแล้วว่านิกายนี้ไม่ดีอย่างที่คิด หลายๆคนเองก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าตัวเองถูกล้างสมองไปอย่างหนักจึงทำอะไรไม่ดีไปตั้งหลายอย่าง
“เป็นอะไรรึ” ซูจิ้งมองไปยังผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพาที่กำลังคุกเข่าและกุมมืออยู่ตรงหน้าของเขา
“ผมรู้ว่าผมผิดไปแล้ว ขอบคุณที่คุณซูสอนสั่ง ผมหวังว่าคุณซูนั้นจะยอมรับคนแบบผมได้เข้าถึงศาสนาพุทธตามแนวคิดของคุณด้วยเถอะ”
เหล่าสาวกในตอนนี้ต่างก็มีหน้าที่รู้สึกสำนึกผิดและยินยอมที่จะยอมรับผลของการกระทำเพื่อแลกกับการได้เข้าถึงในสิ่งที่ซูจิ้งรู้มาราวกับคนบาปที่ตามหาที่พึ่งทางใจมาแสนนาน
ทุกคนในตอนนี้หันกลับไปมองยังซูจิ้งในทันที ไม่ว่าจะเป็นนิกายที่เลวร้ายมาจากไหนก็ตาม แต่เมื่อผ่านการเสวนากลับต้องมาคุกเข่าต่อหน้าได้แบบนี้
นี่เขาสมควรจะเป็นเทพเซียนในร่างมนุษย์หรือไม่ก็บุตรแห่งพระเจ้าเป็นแน่
ตอนนี้เหล่านักข่าวต่างรีบทำการส่งภาพพร้อมข้อความเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและทำการเสนอข่าวในทันที เหล่าชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องนี้แต่ไม่สามารถไปได้ด้วยตัวเอง
ทันทีที่ได้เห็นข่าวนี้และภาพถ่ายที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างก็ทำหน้าโง่งมไม่ต่างกัน