Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 912
GGS:บทที่ 912 ปัญหา
เหล่าผู้ติดตามเรื่องราวบนโลกอินเตอร์เน็ตทำหน้าโง่งมในทันทีที่เห็นข่าวผลการเสวนาทางพระพุทธศาสนาที่พึ่งจะรายงานออกมา
แฟนคลับของซูจิ้งนั้นเมื่อเห็นข่าวนี้ก็มีความสุขกันถ้วนหน้าเมื่อได้รับข่าวว่าไอดอลของเขานั้นได้รับชัยชนะอีกแล้ว
“ฉันก็อยู่ที่นั่นนะ ฉันยังคิดอยู่เลยว่าพวกนิกายนั่นน่าจะชนะ ใครจะไปคิดว่าผลออกมาเป็นผู้นำนิกายต้องมาคุกเข่าขอเข้าร่วมแบบนี้”
“นี่เขาจึงเรียกว่ากลับตาลปัตรยังไงล่ะ เป็นไปได้ว่าฝั่งนั้นไม่ได้เข้าใจวิถีแห่งความสงบมากนักจึงได้แพ้ไปอย่างง่ายๆ”
“นายพูดอะไรงี่เง่าชะมัดเลย ผู้นำนิกายคนนั้นเองก็ถือได้ว่าเป็นพระที่ถูกนับหน้าถือตาคนหนึ่งเลย เขายังขายหนังสือเกี่ยวกับวิถีแห่งความสงบและยังเปิดกระทู้เพื่อตอบเรื่องพวกนี้จนมีชื่อเสียงระดับหนึ่งเลยนะ นี่จะบอกว่าเขานั้นรู้แบบตื้นเขินอ่ะนะไม่มีทางหรอก มันมีอย่างเดียวนั่นก็คือซูจิ้งนั้นมีความรู้ความเข้าใจที่เหนือกว่า สมกับเป็นตำนานแห่งยุคสมัยจริงๆ”
ความจริงแล้วการเสวนาทางพระพุธศาสนาแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่ควรจะพูดคุยกันเฉพาะในเหล่าผู้ศรัทธาเท่านั้นและนั่นเองทำให้เรื่องศาสนานี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ
แต่จากวิดีโอของซูจิ้งร่ายยาวเรื่องวิถีแห่งความสงบและศาสนาพุทธนี้ออกไปทำให้ทุกคนนั้นเปลี่ยนความคิดในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นวงกว้างมากนักแต่ก็ยังถือได้ว่าทำให้ผู้คนทั่วไปได้สัมผัสถึงวิถีแห่งความสงบได้อยู่ดี
สำหรับเรื่องที่ผู้นำนิกายเมตตาและโชคนำพา เหล่าสาวก และพระในวัดซาช่าที่ต้องการนับถือซูจิ้งเป็นศาสดาและต้องการรับฟังคำสั่งสอนจากซูจิ้งอีกนั้น
แน่นอนว่าซูจิ้งไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน เขาเพียงบอกพวกนั้นว่าอย่ามาก่อปัญหากับวัดหลานเล่ออีกก็พอแล้ว
“ประสกซูไม่คิดอีกทีหรือเรื่องที่ว่าไม่ยอมเป็นนักบวชและเผยแพร่ศาสนาน่ะ” ปรมาจารย์เชิงหยานถามออกมาพลางถอนหายใจ
“เอาจริงๆประสกไม่ต้องเป็นนักบวชก็ได้นะ เพียงแค่ประสกพูดเกี่ยวกับศาสนาพุทธออกมาแค่นั้นก็ทำให้ผู้คนเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างแน่นอนอยู่แล้ว เอาแค่เผยแพร่แต่ไม่ต้องบวชก็ได้นะ” เจ้าอาวาสซูหยุนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าอาวาสซูหยุนพูดได้ถูกต้องแล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้าและหัวเราะออกมา นั่นทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนโปรดปรานซูจิ้งมากกว่าเดิม
“คุณซู ผมนับถือคุณจริงๆ” เตียนจงยี่ ชายอ้วน และเหล่าผู้สักการะพระอจละในตอนนี้ต่างก็รายล้อมรอบซูจิ้งและมองซูจิ้งไปด้วยสายตาที่รู้สึกเลื่อมใส พวกเขาในตอนนี้นั้นอยากจะโยนซูจิ้งเพื่อฉลองด้วยซ้ำ
ซูจิ้งยิ้มออกมาและก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขารู้ดีว่านี่ไม่ใช่ความสามารถของเขาแต่อย่างใด แต่นี่เป็นพลังที่ได้มาจากเม็ดหินสีน้ำเงิน
ถ้าจะให้บอกตรงๆล่ะก็ต่อให้เขาไม่ใช้เม็ดหินสีน้ำเงินนี้แล้วใช้การสะกดจิตโดยตรงก็ยังได้ แต่ว่าทำอย่างนี้มันได้ผลลัพท์ดีกว่าการสะกดจิตโดยตรงอยู่แล้ว
นั่นก็เพราะจากประสบการณ์ของซูจิ้งนั้น ยิ่งมีพลังงานวิญญาณแข็งแกร่งเท่าไหร่ก็อยากแต่การสะกดจิตได้ และผู้นำนิกายเมตตาฯนี้อย่างน้อยก็ยังเป็นพระรูปหนึ่ง ไม่มีทางที่จิตของหมอนี่จะต่ำได้อย่างไรกัน หากสะกดจิตได้ง่ายๆนี่คงไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
แต่กับการใช้เม็ดหินสีน้ำเงินนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง ผลของมันนั้นคล้ายกับการสะกดจิตอ่อน แน่นอนว่าการสะกดจิตนี้ไม่ใช่การสะกดสมบูรณ์ มันเหมือนกับการทำให้ต้องมนต์สะกดมากกว่า นั่นก็เพราะว่าทุกคนที่โดนมนต์สะกดนี้ยังเป็นตัวของตัวเองอยู่
“คุณซู ผมหวังว่าคุณนั้นจะยอมรับผมเป็นสาวกด้วยครับ” เมื่อซูจิ้งเดินออกมาจากเจ้าอาวาสและพระรูปอื่นๆจากวัดหลานเล่อนั้น ก็ได้มีชายวัยกลางคนในชุดนักบวชเข้ามาคุกเข่าขวางทางไว้
ซูจิ้งชะงักและมองไปยังคนที่มาคุกเข่าตรงหน้าเขา คนผู้นี้ไม่ได้โกนหัวแต่อย่างใด เขานั้นคือคนที่นั่งอยู่ข้างผู้นำนิกายนามเหรินซินจิเมื่อตอนเสวนากันเมื่อสักครู่นี้ และดูเหมือนว่าเขาเองจะมีฐานะสูงในนิกายเลยทีเดียว
“ฉันบอกแล้วว่าไม่รับสาวกหรือลูกศิษย์อะไรทั้งนั้น” ซูจิ้งส่ายหัวออกมา
“คุณซู ผมนั้นเลื่อมใสคุณจริงๆนะ ตัวผมนั้นฝึกตนทางพุทธศาสนาซ้ำยังเรียนรู้กับผู้นำนิกายฯมาอยู่นานจนผมนึกว่าเข้าใจศาสนาพุทธอย่างรู้แจ้งแล้ว แต่มาวันนี้ผมถึงรู้ตัวว่าตัวเองเข้าใจผิดไป
คุณซูเปรียบได้ดั่งร่างอวตารของพระพุทธเจ้า ได้โปรดเถิดคุณซูโปรดชี้ทางให้ผมด้วย” ชายวัยกลางคนคุกเข่าขอร้องด้วยใบหน้าของผู้หลงผิด
ซูจิ้งได้หันหน้าไปมองผู้นำนิกายและสาวกคนอื่น พวกเขานั้นต่างก็พูดไม่ออกกับภาพที่เห็น พลังของเจ้าเม็ดหินสีน้ำเงินช่างเข้มแข็งจริงๆ ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะดีไปหน่อยแหะ
“ยืนขึ้นก่อนเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” ชายวัยกลางคนพูดออกมา แต่จากท่าทางแล้วเข้านั้นไม่ยอมแพ้เรื่องนี้ง่ายๆอย่างแน่นอน
ถึงแม้ซูจิ้งและเจ้าอาวาสซูหยุนจะเดินออกมาแล้ว แต่ชายคนนี้ก็ยังเดินตามมาราวกับวัวตามนาย นอกจากนั้นเขายังคอยเสนอตัวเองตลอดเวลาพร้อมทั้งให้นามบัตรซูจิ้งไว้อีก
ซูจิ้งเองก็รู้ปูมหลังของชายวัยกลางคนผู้นี้พอสมควร เขานั้นมีชื่อว่ากวงหยวน เขานั้นเป็นผู้บริจาคหลักของกลุ่มเมตตาฯนี้ แน่นอนว่ายังมีอีกคนอีกหลายคนที่ตกเป็นสัตว์เลี้ยงของนิกายนอกรีตแบบนี้
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เองซูจิ้งก็หาได้ใส่ใจไม่ การที่เขามาที่นี่ก็เพราะเป็นโอกาสที่จะได้ออกทีวีเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้ต้องการให้กวงหยวนบริจาคเงินให้เขาอย่างไร้เหตุผล แน่นอนว่ารวมถึงคนที่ถือตัวเองว่าเป็นสาวกคนอื่นของเขาเองก็เช่นเดียวกัน
อีกอย่างเขาและกวงหยวนนั้นไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งหรือเกลียดชังกัน และตัวกวงหยวนเองไม่ได้เป็นคนอันตรายแต่อย่างใด ทำไมเขาถึงต้องปล้นเงินจากคนที่เพียงหลงงมงายจนโดนหลอกลวงซ้ำเติมเขาไปอีกกัน หากทำอย่างนั้นเขาก็คงไม่ต่างจากพวกโจรหรือนักต้มตุ๋นเป็นแน่
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างให้กวงหยวนตัดใจนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ของซูจิ้งดังขึ้น พอหยิบขึ้นมาดูก็เห็นเป็นแม่ของเขาจึงได้รีบรับสายในทันที
“ครับแม่ วันนี้ไม่มีสอนเหรอครับ มีอะไรรึเปล่าแม่ถึงได้โทรมาเวลานี้น่ะ”
“แม่โทรมาช่วงพักระหว่างคาบ พอดีว่าปิงน้อยเกิดเรื่องขึ้นน่ะ” แม่ของซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล
“เกิดอะไรขึ้น” หัวใจของซูจิ้งที่ได้ยินคำพูดนี้ถึงกับหดเกรงในทันที ปิงน้อยที่ว่านี้มีชื่อเต็มว่าเย่ปิง เขาเป็นลูกชายของน้องชายของแม่เขาหรือก็คือมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขานั่นเอง
ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้เป็นญาติฝั่งแม่และสนิทกันมาก ตอนเขาเป็นหนุ่มนั้นเขาเป็นที่รักของคนในบ้าน ขนาดหมาของเขายังชอบเล่นด้วยเลยทั้งๆที่เข้ากับคนยากก็ตาม
ตัวเย่ปิงนั้นเป็นคนใจดี ตอนเขายังเด็กครอบครัวของเขานั้นค่อนข้างยากจนและก็ได้เย่ปิงคอยช่วยเหลือตลอด และแน่นอนว่าเขาและเย่ปิงนั้นมีความทรงจำดีๆต่อกันมากมายนัก
ถึงแม้จะรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าไปบ้างเมื่อตอนโตขึ้นก็ตาม แต่ก็ยังถือได้ว่ามีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันอยู่ดี เมื่อเขารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้แน่นอนว่าต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
“เท่าที่แม่รู้มานั้นเหมือนว่าลูกพี่ลูกน้องของลูกนั้นจะทำธุรกิจเครือข่ายน่ะ” แม่ของซูจิ้งพูดออกมา
“ธุรกิจเครือข่าย” ซูจิ้งเข้าใจเรื่องราวในทันที การเข้าไปมีส่วนในธุรกิจเครือข่ายนั้น กับคนธรรมดาแล้วถือได้ว่าเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวง
ซูหลายเองก็เคยหลงเชื่อเข้าไปทำธุรกิจเครือข่ายแบบนี้และก็เสียเงินไปอย่างมหาศาลเช่นเดียวกัน ด้วยการทำธุรกิจเครือข่ายนี้ถึงกับทำให้เขาเกิดแผลทางใจและบาดเจ็บทางใจแบบเรื้อรังเลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้เขาจะยังคงทำอยู่และยังถอนทุนไม่ได้เลยก็ตาม แต่ซูจิ้งก็ยังเชื่อมือซูหลายว่าตัวเขานั้นต้องจัดการเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน
“แม่ได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของลูกนั้นเก็บตัวเองอยู่แต่ในบ้านไม่ยอมไปไหนมาพักใหญ่แล้ว แม่กลัวว่าหากอยู่ๆเขาออกมาจะเป็นตอนที่เขานั้นตัดสินใจอะไรบางอย่าง แม่กลัวว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆไป”
“แม่อย่ากังวลไปเลยครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย เดี๋ยวผมจะไปบ้านลูกพี่ลูกน้องของผมเดี๋ยวนี้แหล่ะ
ถ้าปิงน้อยต้องการจะเข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายบ้าๆนั่นจึงเดี๋ยวผมจะจัดการเขาเอง” ซูจิ้งพูดออกมาเพื่อให้แม่ของเขาสบายใจ เขาได้โทรหาลูกพี่ลูกน้องของเขาเพื่อให้พวกเขารู้ว่าซูจิ้งจะไปที่นั่น
ซูจิ้งมองขึ้นไปยังอินทรีย์ทองที่กำลังบินอยู่บนฟ้าในตอนนี้ เขาเองจริงๆแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช้าไม่ได้แม้แต่น้อยเหมือนกัน เมื่อได้ฟังเรื่องราวแล้วเขารู้สึกได้ว่าต้องรีบไปในทันที แถมตอนนี้เขายังไม่ต้องรีบทำอะไรอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เขากำลังกังวลอยู่ก็คือการที่เขาขี่เสี่ยวจินไปแบบนี้แน่นอนว่าต้องเป็นที่สังเกตของผู้คนอย่างแน่นอน
“คุณซู ให้ผมพาไปเถอะครับ” กวงหยวนได้พูดออกมา เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเป็นบริวาณของซูจิ้งคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“ก็ได้ก็ได้ ต้องรบกวนคุณแล้วล่ะ” ซูจิ้งในตอนนี้ถึงแม้ไม่อยากแต่ก็ได้แต่พยักหน้ารับคำไป ในเมื่อหมอนี่เสนอตัวมาขนาดนี้ เขาเองก็คงต้องให้โอกาสเขาบ้างแล้วสินะ ต่อให้เขานั้นไม่ยอมรับศิษย์หรือสาวกก็ตาม แต่หากเป็นผู้ช่วยแล้วสำหรับเขาไม่มีปัญหา