Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 944
GGS:บทที่ 944 ผีดิบ
หลังจากเกิดเสียงดังลั่น มีซากร่างสูงแห้งราวกับกิ่งไม้ร่างหนึ่งยืนขึ้นมาจากโลงศพ นัยน์ตาของมันเรืองแสงและเกราะหยกอยู่บนร่างกาย การแต่งกายของมันนั้นดูราวกับนักรบโบราณ
หลังจากมันยืนนิ่งพักหนึ่งทันใดนั้นมันก็ได้หันหน้าหาซูจิ้งก่อนจะกระโดดออกมาจากโรงแล้วพุ่งเข้าไปหาซูจิ้งในทันที
สายตาของซูจิ้งนั้นเบิกโพลงอย่างกับไข่ห่านเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่าผีดิบตามเรื่องเล่าแบบนี้ ผีดิบตัวนี้แค่มองก็ทำให้เขาหลอนได้เลยทีเดียว
แต่ตัวเขาในตอนนี้นั้นก็ได้เตรียมใจไว้อยู่แล้วตั้งแต่ใช้กระแสจิตสัมผัสเจอว่าในโลงคือสิ่งใดและนี่เองไม่ได้ทำให้เขาประมาทแต่อย่างใด
ทันทีที่เห็นผีดิบพุ่งเข้ามา ขนของซุนหงอคงทั้งสามของเขาก็ได้ส่องประกายและในมือของเขาเองก็ได้ปรากฎมีดเล่มหนึ่งปรากฎอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
ซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด เขาเตรียมตัวป้องกันตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เขาผมว่าผีดิบตนนี้ไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก เพียงแต่มันแข็งแกร่งกว่าคนทั่วๆไปก็เท่านั้นเอง ดูๆไปแล้วความสามารถของมันนั้นไม่สามารถทำอะไรเขาได้เขาจึงเลือกวิธีป้องกันพลางถอยพลางเพื่อเรียนรู้ผีดิบตัวนี้ไปก่อน
ระหว่างที่เรียนรู้ผีดิบเขาก็ตรวจสอบมันด้วยกระแสจิตของเขาซ้ำอีกครั้ง เขาพบว่าไม่เจอพลังชีวิตและพลังวิญญาณไหลออกมาจากร่างนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคือผีดิบอย่างแน่นอน ความเร็วของมันเองก็ช้ากว่าคนธรรมดาวิ่ง เมื่อเห็นดังนั้นเขาเองก็เลยไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด
“ฉันจำได้ว่าห้วงเวลาและกาลอวกาศสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นมีการบ่มเพาะอยู่ด้วยสินะ” ซูจิ้งที่นึกขึ้นได้แบบนั้นหัวใจก็ได้เต้นแรงในทันที
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องการบ่มเพาะศพที่อยู่ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้านั้นจะถือว่าศพเองก็เป็นวัตถุเวทย์อย่างหนึ่งพวกเขาสามารถบังคับให้พวกมันนั้นคอยโจมตีหรือป้องกันก็ได้
หากเป็นผีดิบจากพลังธรรมชาติจะไม่สามารถขยับร่างกายของตัวเองได้แบบอิสระนัก ไม่สามารถสู้แสงแดดและลืมตาตื่นเพื่อเห็นดวงตะวันได้แบบนี้
ร่างของผีดิบที่ผ่านการบ่มเพาะนั้นจะไม่เกรงกลัวของแสงอาทิตย์แต่อย่างใด แม้แต่ข้อต่อเองก็บิดหมุนได้อย่างอิสระ การบ่มเพาะศพนั้นมีด้วยกันสี่ระดับได้แก่ ทอง เงิน ทองแดง และเหล็ก
ระดับที่ต่ำสุดนั้นก็คือเหล็กระดับนี้จะเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกฝนที่เพิ่งจะเริ่มก่อร่างพลังภายในของสำนักเต๋าซวนเหมิน
ระดับทองแดงจะเปรียบได้กับระดับก่อรูปในสำนักเต๋าฯ ระดับเงินจะเปรียบได้ดั่งระดับแข็งแกร่ง และสุดท้ายระดับทองจะเทียบได้ดั่งระดับกายทองคำของสำนักเต๋าฯ
เพียงแค่ระดับเงินนี่ก็เป็นอะไรที่เขานั้นต่อกรไม่ได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงระดับทองเลย เขานั้นไม่สามารถต่อกรได้อย่างแน่นอน
ผีดิบที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นค่อนข้างจะอ่อนแอแทบจะไม่คิดว่าจะอยู่ในระดับเหล็กซะด้วยซ้ำไป แต่อย่างน้อยๆก็ไม่น่าจะใช่ผีดิบแต่กำเหนิดเพราะเจ้าร่างนี้นั้นสามารถอยู่ท่ามกลางแสงแดดและบิดข้อต่อได้แบบอิสระแบบนี้
หลังจากทำความเข้าใจกับร่างนี้แล้ว และพอจะรับรู้ได้ว่าผีดิบตนนี้ไม่น่าจะก่ออันตรายต่อเขาได้ ซูจิ้งจึงเลือกที่จะหยุดหนีและเลือกที่จะเผชิญหน้ากับผีดิบตนนี้แทน
เขาก้าวเดินหน้าเข้าหาผีดิบก่อนที่จะเริ่มสวดบทสวดแห่งวิถีมังกรออกมา มันทรงพลังพอที่จะให้บรรยากาศโดยรอบสั่นไหวได้เลย และทันใดนั้นเขาก็ได้พูดออกมาเสียงดังว่า “ตราประทับมังกร”
มือของซูจิ้งได้มีเงาของกรงเล็บมังกรมาซ้อนทับแล้วเขายกมือขี้นมาราวกับปางห้ามญาติแล้วก็ยื่นออกไปด้านหน้า นั่นทำให้เงาของกรงเล็บมังกรในมือพุ่งตรงออกไปด้านหน้าของเขา
ผีดิบเองก็สัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของซูจิ้งและมันก็ได้ร้องออกมาด้วยเสียงแปลกประหลาดและมีท่าทีหวาดกลัวในทันที ตอนนี้มันได้หยุดตัวเองอยู่นิ่งๆ
ทันใดนั้นซูจิ้งก็คว้าคอของผีดิบกดลงไปบนพื้นราวกับไก่ที่รอโดนเชือดก็ไม่ปาน
“ผีดิบนี่เองก็กลัวเป็นเหมือนกันแหะ ดูเหมือนว่าวิถีแห่งมังกรเองจะมีผลต่อผีดิบอย่างดีเลยทีเดียว” ซูจิ้งคิดขึ้นมาในใจทันทีหลังจากกดผีดิบไว้กับพื้นแล้ว
ตราประทับมังกรนี้เป็นรูปแบบแรกที่ปรากฎขึ้นมาในวิถีแห่งมังกร หลังจากที่เขาได้กินข้าวสีน้ำเงินเข้าไปทำให้เขานั้นสามารถบ่มเพาะได้ดีขึ้นอย่างมาก
และตอนนี้เขาเองก็สามารถใช้ตราประทับมังกรนี้ได้สักทีหนึ่ง ตำราวิถีมังกรนี้สมควรจะเป็นตำรารับที่มีอยู่ในวัดพุทธใหญ่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจจริงๆ
ด้วยการที่มันนั้นทรงพลังมากชนิดที่ว่าเพลงหมัดวัวคลั่งเทียบไม่ติดได้เลย นี่เพียงแค่เขาสำเร็จแค่บทแรกเท่านั้นก็ยังทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของเขานั้นพัฒนาขึ้นอย่างมาก
หลังจากซูจิ้งจับผีดิบได้แล้ว ถึงแม้มันจะดิ้นยังไงแต่ก็ยังกดลงพื้นอยู่ดีราวกับไก่ที่พยายามดิ้นหนี้จากการโดนเฉือดที่ดิ้นยังไงก็ไม่มีทางหลุดพ้น
ยิ่งเจ้านี้เป็นผีดิบขั้นต่ำที่มีพลังมากกว่าคนทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นไม่มีทางเลยที่จะหลุดออกไปได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้คิดว่าผีดิบตนนี้หน้ากลัวอีกต่อไปต่างกับก่อนหน้านี้นั่นก็เพราะเขานั้นไม่เคยเผชิญหน้ากับผีดิบแบบนี้มาก่อน
ดูเหมือนว่าวิถีแห่งมังกรนี้จะมีผลกับสิ่งมีชีวิตอย่างผีดิบจริงๆเพราะมันก็ดูเหมือนจะกลัววิชานี้ไม่น้อยเลย เห็นดังนั้นซูจิ้งก็ได้คิดสักพักก่อนที่จะหยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมาแล้วทำการปล่อยพลังออกมานิดหน่อย
ผีดิบเองในตอนนี้ได้ดิ้นพล่านในทันทีเมื่อได้สัมผัสแสงที่เริ่มแผ่ออกมาจากเหรียญตราจนมันต้องร้องโหยหวนราวกับขอความเมตตา
ไม่นานนักร่างกายของมันก็ถึงกับมีควันขึ้นออกมา นี่ทำให้ซูจิ้งรีบเก็บเหรียญตราเทวฑูตในทันที
“แน่นอนแล้วว่าเหรียญตราเทวฑูตมีผลต่อร่างผีดิบนี้อย่างแรงกล้า กับผีดิบที่ยังไม่ผ่านการบ่มเพาะมันไม่สามารถทานต้านได้เลยแม้แต่น้อย
สำหรับผีดับระดับเหล็กและทองแดงเองก็ควรจะได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน” ซูจิ้งคิดเกี่ยวกับผลในการกล่อมเกลาปีศาจของวิถีมังกรและเหรียญตราเทวฑูตมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ล่ะนี่เองจะเป็นการยืนยันผลลัพท์ของทั้งสองสิ่งนี้ได้แล้ว
ซูจิ้งยังคงได้ลองทดสอบหลายๆอย่างกับผีดิบตนนี้ เขาพบว่ามันนั้นค่อนข้างจะทนทานเลยทีเดียว ผิวหนังของมันสามารถตัดได้ง่ายๆ นี่ขนาดยังไม่ผ่านการบ่มเพาะนะ หากบ่มเพาะแล้วเจ้านี่น่าจะกลายเป็นหนังทองแดงกระดูกเหล็กได้จริงๆอย่างแน่นอน
ซูจิ้งยังพบอีกว่าเขาสามารถควบคุมร่างกายและเฉือดเฉือนผีดิบตนนี้ได้ด้วยกระแสจิตของเขาราวกับว่าควบคุมสิ่งของธรรมดาเท่านั้น
หากเป็นสิ่งมีชีวิตแล้วซูจิ้งนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้แบบนี้นั่นก็เพราะว่าสิ่งมีชีวิตนั้นมีพลังวิญญาณและพลังชีวิตของตัวเอง แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตจะต่อต้านโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ต่างกับผีดิบที่เหมือนจะไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตแต่อย่างใด
“เดี๋ยวนะนี่มัน?” หลังจากซูจิ้งทำการสำรวจร่างกายของผีดิบตนนี้ก็พบว่ามันมีพลังวิญญาณอยู่นี่ถึงกับทำให้เขานั้นนิ่งอึ้งไปในทันที
ผีดิบตนนี้ไม่มีพลังชีวิตแต่กลับมีร่องรอยแห่งชีวิตอยู่แบบนี้อยู่ในหัวสมอง ถึงแม้แจะไม่สามารถถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแต่สมองของมันนั้นกับยังทำงานอยู่ราวกับว่ามันนั้นมีชีวิตหลังความตายได้แบบนี้
แถมมันยังตอบสนองกับการกระทำของเขาอยู่แบบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้านี่มีความคิดและเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองเหมือนกับผีดิบตนนี้ได้ผ่านการบ่มเพราะมาแล้วเป็นอย่างดีทีเดียว
“ความรู้สึกนี้มัน?” ซูจิ้งยังคงสำรวจสิ่งที่เขาพบเจอลึกลงไปอีก ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปล่งประกายในทันที นั่นก็เพราะว่าผีดิบตนนี้นั้นทำให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจจนใจเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว ร่างกายของผีดิบตนนี้เขยื่อนตามที่ซูจิ้งคิดไว้
การควบคุมร่างกายแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะสำนักบางสำนักในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าที่มีการบ่มเพาะศพนั้น แน่นอนว่าพวกนั้นย่อมมีวิธีการทำศพอย่างไม่ต้องสงสัย
ในแต่ละสำนักเองก็มีวิธีการควบคุมศพหรือผีดิบแตกต่างกันออกไป และจากการที่ซูจิ้งสามารถใช้เพียงพระแสจิตควบคุมศพได้แบบนี้นั้นก็จะคล้ายๆกับวิธีการที่หยานเชินใช้ควบคุมร่างแยกของตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ซูจิ้งสามารถแทรกซึมกระแสจิตเข้าไปในจิตใต้สำนึกของผีดิบตัวนี้ได้แล้ว พลังวิญญาณของผีดิบตนนี้ก็เหมือนกลายเป็นของซูจิ้งไปโดยปริยาย
ตอนนี้ผีดิบตนนี้ไม่ได้โจมตีซูจิ้งอีกต่อไป กลับกันมันยังมีท่าทีสวามิภักดิ์และเทิดทูนซูจิ้งพร้อมทั้งยอมทำตามแต่โดยดี
“อืมมมม เจ้าผีดิบตนนี้น่าจะยังไม่ได้รับการบ่มเพาะสำเร็จดีเลยทำให้มันถูกควบคุมได้ง่ายๆสินะ” ซูจิ้งคิดอยู่เงียบๆพลางใช้ความคิดเกี่ยวกับผีดิบตนนี้
ในที่สุดแล้วเขาก็คิดที่จะให้เจ้านี่กลายเป็นมือขวาของเขา เขายังสร้างห้องเฉพาะที่จะให้ผีดิบตนนี้บ่มเพาะอีกด้วย หากมันสามารถไปอยู่ในระดับเหล็กได้จริงล่ะก็ เขาสามารถใช้ผีดิบตนนี้ในการต่อสู้ได้อย่างแน่นอน
แค่ระดับเหล็กนี่ก็สามารถพาไปสู้แนวหน้ากับคนทั่วไปได้แล้ว นี่ไม่ต้องพูดถึงระดับทองแดง เงิน และทองเลยสักนิด
“จะว่าไปแล้ว เจ้านี่คงยังไม่ได้ผ่านการบ่มเพาะจริงๆล่ะนะ ถึงแม้ในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าแห่งทะเลสาบนางฟ้าเจ้านี่จะไม่ต่างอะไรกับลมตด แต่มันก็ยังเจ๋งอยู่ดีล่ะนะ”
ซูจิ้งยังคงสาละวนอยู่ผีดิบตนนี้ เขาเองก็ได้พบว่าชุดของเจ้านี่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ชุดเกราะนี้ไม่ได้ทำจากเหล็กแต่เป็นหยกและทองคำ ดูสุดยอดยังไงก็ไม่รู้
หลังจากซูจิ้งได้สำรวจดีแล้วๆเขาก็รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา “เดี๋ยวนะ ชุดนี่หรือว่าจะเป็นของตามที่เคย…”