Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 956
GGS:บทที่ 956 โลกสั่นสะเทือน
ในที่สุด ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ก็ได้พบกับเทพธิดาแห่งนครที่สาบสูญแอตแลนติสจนได้ ถึงแม้ในตอนนี้พวกเขาจะมีความตื่นเต้นอยู่เช่นเดิมแต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นมากดั่งที่ทุกคนคิดเอาไว้นี่คือสิ่งที่เรียกว่าตื่นเต้นจนชินชา
หลายๆคนเองเคยได้เห็นรูปปั้นนี้มาแล้วทำให้พวกเขานั้นต่างคิดไปว่าสมบัติอื่นของซูจิ้งมีค่ามากกว่า หลายๆคนถึงกับเอาแต่คิดถึงสมบัติที่อื่นที่เจอมาก่อนหน้านี้เลยก็มี
ผู้เข้าชมจำนวนมากที่ได้เดินเข้าเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้โดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากเพียงอยากเห็นรูปปั้นเทพธิดาแห่งแอตแลนติสสักครั้ง
แต่เมื่อพวกเขานั้นเดินออกมา หัวใจของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์เต็มหัวใจ ข่าวเกี่ยวกับสิ่งของสุดแสนมหัศจรรย์ที่ซูจิ้งเก็บสะสมเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ของซูจิ้งได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในอินเตอร์เนต
ถึงแม้ว่าภายนพิพิธภัณฑ์นั้นจะห้ามถ่ายรูป แต่ในที่สุดแล้วก็ได้มีรูปของข้างในนั้นหลุดไปจนได้ถึงแม้จะเล็กน้อยก็ตาม โดยพวกนั้นอ้างว่าเอาไว้ใช้ประกอบการรีวิวเฉยๆ และแน่นอนว่าเมื่อทุกคนได้เห็นภาพเหล่านั้นต่างก็ทำให้ชาวเน็ตนั้นถึงกับอึ้งกันไปหมด
“ห้ะ หม้อสามสีสมัยราชวงศ์ถังนับร้อยใบ ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังแถมยังเป็นงานของปราชญ์โอหยางฉุนแบบครบชุด เป็นไปได้ยังไงกัน” นักเก็บสะสมวัตถุโบราณคนหนึ่งที่ได้เห็นข่าวถึงกับพูดออกมาดังลั่น
“จริงเหรอ นายโกหกรึเปล่า”
“ถ้าเป็นเรื่องจริงล่ะก็ฉันจะไปดูด้วยตาตัวเอง”
“พี่ติง ฉันพึ่งจะมาถึงพิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์ตะกี้นี้เอง ฉันตะลึงไปเลยเมื่อเข้ามาที่นี่ ยังไงพี่ก็ต้องมาให้ได้นะ” หลังจากชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามาไม่นานนัก เขาได้รีบโทรหาใครคนหนึ่งทันที
“พิพิธภัณฑ์สุดแสนมหัศจรรย์เหรอ ใช่ที่ซูจิ้งเปิดรึเปล่า เห็นเขาว่าหมอนั่นรีบเปิดโดยไม่สนใจที่จะหาสมบัติจากแอตแลนติสเพิ่มอาศัยแต่สมบัติตัวเองแบบนี้จะไปน่าสนสักเท่าไหร่กัน
ถึงแม้รูปปั้นเทพธิดาแห่งแอตแลนติสนั่นจะน่าสนก็จริงแต่ฉันไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เอาไว้ว่างๆฉันค่อยไปดูแล้วกัน” ชายวัยกลางคนตัวสูงค่อนข่างสูงพูดออกมา โดยคนที่อยู่ข้างๆเขาเองก็ได้หัวเราะออกมา
“นอกจากรูปปั้นแอตแลนติสนั่นแล้วยังมีสมบัติอีกหลายชิ้นเลยนะ ในสมบัติเหล่านั้นมีภาพเขียนพู่กันจีนที่พี่ชอบอยู่ด้วย พวกมันมีต้องโหลนึง ที่สำคัญที่สุดคือพวกมันมาจากสมัยราชวงศ์ถัง แถมยังมีอีกสองภาพที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาอันสูงล้ำอีกด้วย”
“จะเป็นไปได้ไง ไม่มีทาง”
“ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวฉันส่งรูปไปให้ดูแล้วกัน”
ชายวัยกลางคนร่างสูงรีบเปิดภาพดูในทันทีที่เขาได้รับภาพถ่ายมา และนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ครงนั้นถึงกับนิ่งอึ้งไปหมด ยิ่งมองดูยิ่งตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
ภาพเขียนพู่กันจีนสมัยราชวงศ์ถังจำนวนโหลนึงนี่ถือได้ว่าน่ามหัศจรรย์มากแล้ว แต่ภาพอีกสองภาพนี่สิทำให้พวกเขานั้นตื่นตะลึงมากกว่า มันเป็นภาพวาดไร้นามที่สวยงามและแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งศิลป์ราวกับมาจากศิลปินชั้นยอด นี่ขนาดใช้กล้องถ่ายออกมายังรู้สึกได้ราวกับว่าภาพนั้นเป็นภาพวาดในแดนเซียนก็ไม่ปาน
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” ชายร่างสูงได้หยิบอะไรบางอย่างไปก่อนที่จะรุดตรงไปยังพิพิธภัณฑ์ของซูจิ้งในทันที
“ท่านประทาน ประธานถังคะ” เสียงของเลขาสาวที่สวมใส่รองเท้าส้นสูงได้เรียกเขาในขณะเดินเข้ามาในห้องประเมิน
“ว่าไง” ถังฮ่าวที่กำลังตรวจประเมินเครื่องประดับอยู่ได้เงยขึ้นมาในทันที เขานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการประเมินหยก และกำลังประเมินหยกอยู่ โดยมีหญิงอาจะประมาณ 50-60 อยู่ข้างๆ เลขาของเขาได้ยื่นแทบเล็ตมาให้และนั่นทำให้เขาได้เห็นข่าวๆหนึ่ง ทำให้ทั้งคู่ต่างก็เดินเข้ามาดูข่าวนั้นในทันที
ทันทีที่ทั้งคู่ได้เห็นแมลงหยกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เมื่อพวกเขาได้แกะหยกเลือดก็อดไม่ได้ที่จะใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น และเมื่อเขาได้เห็นหัวผักกาดหยกเขานั้นแถมจะกระอักเลือดออกมาในทันที
“พระเจ้า หยกนั่นสุดยอดไปเลย” หญิงวัยกลางคนพูดออกมา
“ฉันไม่เคยเห็นหยกเลือดก้อนใหญ่แบบนี้มาก่อนเลย ไหนจะหัวผักกาดหยกนั่นอีก นั่นมันใสมากเลยนะแสดงว่าส่วนสีเขียวนั่นจะต้องเป็นหยกเขียวจักรพรรดิ์แน่ๆ นี่มันบ้าไปแล้ว” ผู้อาวุโสได้แสดงออกมาด้วยความตื่นเต้นจนโรคหัวใจเกือบจะกำเริบเลยทีเดียว
“ซูจิ้ง นายกลัวจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์รึไงเนี่ย” ถังฮ่าวเองก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าก็ว่าได้ เขาเองก็รู้ว่าซูจิ้งนั้นได้เปิดพิพิธภัณฑ์ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เขานั้นยังไม่สามารถไปได้
เขาวางแผนว่าจะหาโอกาสไปที่นั่นทีหลัง เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าครั้งนี้ซูจิ้งจะสร้างแรงกระเพื่อมอะไรในวงการอีก ตอนนี้แค่หัวผักกาดหยกนั่นก็ทำให้วงการเครื่องประดับโกลาหลได้แล้ว
“หยกนั่นหักแล้วนำมาทำเป็นเครื่องประดับ คุณคิดว่าวงการเครื่องประดับที่วโลกจะสั่นสะเทือนได้รึเปล่า หากเป็นเช่นนั้นจริงเครื่องประดับของพวกเราจะเป็นยังไงเหรอ” หญิงวัยกลางคนถามออกมา
โดยทั่วไปแล้ว การที่หยกจะถูกป้อนให้กับอุตสาหกรรมเครื่องประดับนั้นเป็นเรื่องที่เป็นได้เพียงแค่ความฝันเท่านั้น
ไม่สิควรจะบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้มากกว่าไม่ว่าจะเป็นหยกคุณภาพไหนก็ตามจะไม่มีบริษัทไหนที่จะสนใจลงทุนอย่างแน่นอน แต่กับหัวผักกาดหยกนี่ก็ถือได้ว่าเป็นข้อยกเว้น
นอกจากคุณภาพของหยกที่ใช้แกะหัวผักกาดนี้จะสูงล้ำมากแล้ว ขนาดของมันยังใหญ่มาก หากบอกว่าใหญ่จนเสียดฟ้าก็ว่าได้เหมือนกัน หยกเขียวจักรพรรดิ์นี้แน่นอนว่าจะทำให้วงการเครื่องประดับต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
“แล้วใครจะอยากไปแยกส่วนหัวผักกาดหยกนี่กัน หึ นั่นเป็นความคิดที่โง่งมอย่างมาก หากมีคนที่อยากจะแยกส่วนหัวผักกาดหยกนี่จริงแล้วฉันรู้ล่ะก็ ฉันเนี่ยแหล่ะจะเป็นคนแรกที่จะเล่นงานมัน” ผู้อาวุโสหวู่พูดออกมาอย่างตื่นเต้น
ถังห่าวเองในตอนนี้อยู่ในอารมณ์เดียวกันเมื่อได้ยินคำพูดนี้แต่เขานั้นก็แอบคิดไปอีกทางอยู่เหมือนกัน หากผักกาดหยกนี้ถูกแยกส่วนจริงๆล่ะก็แน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมไม่สมควรจะเป็นคนอย่างแน่นอน แต่หากไม่แยกส่วนออกมาล่ะก็แน่นอนว่ามันก็ทำได้เพียงตั้งเฉิดฉายเล่นๆอยู่แบบนี้เท่านั้น
ต่อให้เขานั้นต้องสูญเสียหนทางในอนาคตไปก็ไม่ทางได้หัวผักกาดนี้มาไว้ในครอบครอง แต่หากมันแตกหักออกมาสักกลีบ ด้วยความสัมพันธ์อันดีของเขากับซูจิ้งก็อาจพอจะได้มาสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดี
“ลืมเรื่องนั้นไปซะ เดี๋ยวฉันจะไปดูด้วยตาตัวเอง” ถังฮ่าวพูดออกมาในทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ตอนนี้สิ่งที่เขาอยากจะเห็นแมลงหยกเลือด แกะหยกเลือด และหัวผักกาดหยกด้วยตาตัวเอง
“ฉันจะไปด้วย” ผู้อาวุโสหวู่และหญิงวัยกลางคนเองก็ได้พูดออกมาเช่นเดียวกัน พวกเขาตื่นเต้นจนออกนอกหน้าในทันที อีกอย่างวันนี้ที่ร้านก็ไม่ได้วุ่นอะไรแล้ว ทั้งสามจึงพากันไปพิพิธภัณธ์ของซูจิ้งในทันที
“จะไปมีศพอายุกว่าห้าพันปีหลงเหลืออยู่ในโลกได้ยังไงกัน” นักโบราณคดีคนหนึ่งของสถาบันวิจัยทางโบราณคดีพูดออกมา เขานั้นได้ยินข่าวนี้ถึงกับตกใจในทันทีและไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ลง
“พวกเขาได้ให้ผู้เชี่ยวชาญสองคนแล้วก็นักโบราณคดีสองคนตรวจสอบไปแล้วนะ คนพวกนั้นไม่ยอมเอาชื่อเสียงมาเสี่ยงกับเรื่องแบบนี้หรอกน่า” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา
“หากว่ามีศพโบราณที่มีอายุมากกว่าห้าพันปีอยู่จริงล่ะก็ แน่นอนว่าเรื่องนี้สำคัญมากๆเลยนะ”
“ฉันได้ข่าวมาว่าเอี้ยป๋อและโจวฉือเซียนให้ทีมของตัวเองเตรียมตัวตรวจสอบซ้ำแล้วนะ”
“จริงดิ เราจะยอมไม่ได้ เราต้องเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว”
“ศพโบราณที่อายุมากกว่าห้าพันปี หากว่านี่เป็นความจริงล่ะก็ ศพนี้ต้องอยู่มาตั้งแต่ยุคโบราณที่เรียกว่าสามราชาห้ากษัตริย์ตามเรื่องเล่าของจีนนั่นเลยนะ” ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติคนหนึ่งที่ได้ยินข่าวนี้ถึงกับตกตะลึงในทันที หากศพนี้อายุเพียงไม่กี่ร้อยไม่ก็สักพันปีเขาก็คงจะไม่ตกใจขนาดนี้
หัวกะโหลกนุษย์ปักกิ่งที่เคยเจอกันนั้นอายุมากกว่าหกแสนปี ประวัติศาสตร์ของมนุษย์เท่าที่คาดการณ์กันไว้นั้นอยู่ที่หนึ่งล้านปี แต่นั่นก็ถือว่าเป็นยุคก่อนประวัติศาสตร์และยังไม่นับว่าเป็นชนชาติด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามหากศพโบราณนี้เป็นศพที่มีอายุเกินกว่าห้าพันปีจริงล่ะก็ ศพนี้จะมีความสำคัญในอีกแง่มุมหนึ่งไปเลย โดยเฉพาะเจ้าศพนี้มีลักษณะที่ค่อนข้างสมบูรณ์แม้จะล่วงเลยมาถึงยุคปัจจุบันได้แบบนี้แน่นอนว่าตั้งเป็นหลักฐานการคงอยู่ของอารยธรรมอย่างแน่นอน
ประเทศที่มีร่องรอยอารยธรรมโบราณที่ยอมรับกันนั้นมีอยู่ด้วยกันสี่ประเทศ ประกอบด้วยจีน อินเดีย อียิปต์โบราณ และบาบิโลน แถมหลักฐานที่พอจะยืนยันการคงอยู่ของอารยธรรมโบราณเหล่านี้นั้นที่พอจะหลังเหลือมาถึงในปัจจุบันก็มีอายุเพียงหกพันปีเท่านั้นนั่น
แอตแลนติสเองก็อาจจะถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนั้นถึงแม้ว่าจะมีอายุมากกว่าก็ตาม ด้วยการที่มีจาริกและรูปปั้นออกมาแล้วก็อาจจะถือได้ว่ามีอยู่จริงได้ แต่หลักฐานที่ว่ามันก็ช่างน้อยนิดจนแทบจะไม่สามารถเชื่อได้ว่ามีอยู่จริงได้เหมือนกัน
ยุคสมัยสามราชาห้าจักรพรรดิ์นั้นเรียกอีกชื่อว่ายุคราชวงศ์เซี่ย ยุคนี้เป็นยุคที่มีบันทึกไว้ว่าอยู่ก่อนยุคราชวงศ์ชางแต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศ ประเทศเหล่านั้นได้ยึดถือเพียงแค่ว่าอารยธรรมของมนุษย์นั้นเริ่มต้นในช่วงสามพันปีก่อนเท่านั้น ห้าพันปีก่อนกับแค่คำกล่าวอ้างทางเอกสารโบราณนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเท่านั้น
อย่างไรก็ตามหากว่าศพโบราณนี้มีการยืนยันได้ว่ามีอายุเกินกว่าห้าพันปีจริงๆล่ะก็จะถือได้ว่าเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญและจะไม่สามารถมีใครคัดค้านหลักฐานชิ้นนี้ได้ง่ายๆอย่างแน่นอน
“หากว่านี่เป็นของจริงล่ะก็จะแสดงให้เห็นว่าชนชาตฺจีนเองก็มีอารยธรรมโบราณเทียบเท่ากับอียิปต์โบราณเลยไม่ใช่เหรอ
ไม่สิ การที่ศพมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์แบบนี้ เป็นไปได้ว่าอารยธรรมอาจจะมีนานกว่าอารยธรรมอียิปต์โบราณซะอีก”
“ไม่มีทาง ศพนี้ต้องเป็นของปลอมแน่นอน”
ข่าวการพบซากศพโบราณนี้ได้แพร่ไปทั่วโลกยังกับไฟลามทุ่งจนทำให้โลกนี้สั่นสะท้านกันเลยทีเดียว