Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 965
GGS:บทที่ 965 พิสูจน์ตำราแพทย์โบราณกาล
“พ่อหนุ่ม กลที่แสนวิเศษแบบนี้บอกกันหน่อยไม่ได้เหรอ” ลูฉินหมิงถามออกมา
“เรื่องนั้นผมว่าน่าจะไม่ดีนะครับ ผมขอปล่อยไว้ให้สงสัยอย่างนี้ดีกว่าหากรู้ปล่อยจะกลายเป็นหน้าเบื่อไปเปล่าๆ” เสี่ยวรุยยังคงแสร้งว่ากลนี้เป็นเขาเตรียมจริงๆต่อไปทั้งๆที่เขาอยากจะตะโกนจอบออกมาอยู่เต็มอกว่าเขาเองก็อยากจะรู้เหมือนกัน เข้าใจกันบ้างสิ
“ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลในมายากลของนายแน่ๆ” เซียงหลงพูดออกมาราวกับจะพยายามคาดคั้นให้รู้ให้ได้
“แหงซิ ไม่อย่างงั้นเขาจะเรียกมันว่ามายากลได้อย่างไร ว่าแต่นายไม่รู้เหรอว่ามันทำได้ยังไง” เสี่ยวรุยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาก็เห็นกระดาษในมือของเซียงหลงจึงได้บอกออกมาต่อว่า “อ้อ เอากระดาษของฉันคืนมาด้วยล่ะ”
“ทำไม กลัวว่าฉันจะเจออะไรรึไง” เซียงหลงที่เห็นเสี่ยวรุยมีท่าทีหวั่นไหวเมื่อเห็นกระดาษที่อยู่ในมือเขาจึงได้รีบขยับมือหนีในทันที เมื่อเขาได้เห็นท่าทีของเสี่ยวรุยแบบนี้แล้วไม่มีทางที่เขาจะคืนกระดาษในมือนี่ให้เข้าไปใหญ่
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นเขาได้รีบขยับตาให้เสี่ยวรุยในทันที เมื่อเสี่ยวรุยแอบมองกลับมาที่เขาเขาก็ทำท่าส่ายหน้านิดหน่อยเพื่อจะสื่อว่าไม่ต้องสนใจ หมอนี่เอาไปก็เท่านั้นเพราะมันคือเวทย์มนต์ของจริงไม่ใช่มายากล เอาไปก็เท่านั้น
มายากลที่พึ่งจะแสดงออกไปนี้เป็นเวทย์กระดาษการสงครามที่เขาพึ่งจะได้เรียนรู้มาเมื่อไม่กี่วันก่อนจากตำราที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ถึงแม้มันจะไม่ใช่เวทมนต์ที่ทรงพลังแต่ด้วยการที่มันเรียนรู้ได้ง่ายทำให้ตำรานี้มักจะไม่ได้รับความสนใจจากศิษย์สำนักดาบเตียนเหอมากนัก เพราะสำหรับพวกเขามันถือว่าเสียเวลาที่จะเรียนรู้
ด้วยการที่เขานั้นยังมีพลังภายในที่ต่ำและพึ่งจะเรียนได้เพียงแค่ไม่กี่วัน หากเขามีพลังภายในที่แกร่งกว่านี้เมื่อไหร่ล่ะก็ อย่าว่าแต่ปีศาจเลย แม้แต่ประตูแห่งพระเจ้าเขาก็สามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
พอนึกว่ากระดาษที่ดูอ่อนแอแบบนี้กลายไปเป็นสิ่งที่เข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปได้ ด้วยกระดาษที่เขาใช้เวทมนต์ของตัวเองสร้างขึ้นมานี้ช่างห่างไกลกับพลังที่แท้จริงของมันจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังนึกสนใจเกี่ยวกับการใช้วิชาในตำรานี้อยู่ดี เอาจริงๆสิ่งแรกที่เขาคิดได้ก็จะคล้ายๆตามที่บอกเสี่ยวรุยไว้นั่นก็คือเอาไปแสดงให้ฉือชิงดู
แน่นอนว่าสิ่งที่เขามุ่งหวังในวิชาของตำรานี้อย่างน้อยก็ตอนนี้นั่นก็คือเอาไว้สร้างสายสัมพันธ์ แต่ดูเหมือนว่าจะต้องฝึกฝนอีกนิดหน่อยก็ตาม
แต่ด้วยสถานการณ์ในวันนี้เป็นเสี่ยวรุยที่ต้องการอย่างมาก เขาจึงยอมมอบให้เสี่ยวรุยไปใช้ก่อน แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องเปลี่ยนเคล็ดอะไรนิดหน่อยก่อนที่จะมอบให้เสี่ยวรุยไปแสดง
การแสดงเวทย์มนต์ที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ฉือชิงได้ถูกนำไปแสดงแล้ว แน่นอนว่ากระดาษที่ใช้นั้นเป็นเพียงกระดาษที่ตัดมาจากกระดาษธรรมดาเท่านั้น ต่อให้เซียงหลงเอาไปศึกษาก็ไร้ค่า นี่จึงเป็นเหตุให้ซูจิ้งส่งสัญญาณให้เสี่ยวรุยว่าให้มันเอาไปเถอะ
เสี่ยวรุยเห็นดังนั้นก็เลิกสนใจกระดาษในมือของเซียงหลงในทันที เขาจึงทำท่าใช้เท้าโกยกระดาษที่พื้นให้กองรวมกันราวกับจะท้าทายให้เขาเอาไปทั้งกอง
เมื่อเซียงหลงได้เห็นเสี่ยวรุยไม่ได้กระวนกระวายอย่างที่คิดแถมทำท่าจะเอากระดาษที่พื้นให้เขามากกว่าเดิมนี่ทำให้เขาคิดว่าเสี่ยวรุยแกล้งทำเป็นไม่สนใจ
เขาจึงรีบเก็บกระดาษในมือลงกระเป๋าไปในทันทีโดยไม่สนกระดาษที่เสี่ยวรุยกำลังจะโกยให้เขาแม้แต่น้อย เขาจะต้องนำกระดาษนี่ไปศึกษาเพื่อหาเคล็ดกลนี้ให้ได้
“พ่อหนุ่ม มายากลนี้ช่างวิเศษนัก หากวิเศษขนาดนี้แล้วยังไม่ใช่การแสดงของมืออาชีพแล้วล่ะก็ อย่างน้อยๆฝีมือระดับนี้ก็ต้องเป็นฝีมือของคนที่หลงใหลในมายากลอย่างแน่นอน
คนที่หลงใหลแต่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นมืออาชีพแบบนี้ หนุ่มน้อยคงจะเสียเป้าหมายในฐานะมายากลไปแล้วงั้นเหรอ” คำพูดของลูฉิงหมิงที่พูดออกมานี้ราวกับเขาเองก็เคยผ่านประสบการณ์นี้มาก่อน
“คุณลุงครับ ผมรู้ดีว่าตัวผมนั้นชื่นชอบการเล่นบิลเลียดและแน่นอนว่าผมเองสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นนักเล่นบิลเลียดได้ แต่กับมายากลนี้ผมแค่ฝึกและเล่นเป็นงานอดิเรกจริงๆครับ” เสี่ยวรุยเองในตอนนี้กล้าพูดออกมาได้อย่างไม่อายปากแม้แต่น้อย
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่ายังเป็นเรื่องที่ดี เอาล่ะเรามาจุดเค้กเป่าเทียนกันดีกว่า ไม่งั้นเค้กนี่คงได้ละลายจริงๆแน่” ลูฉิงหมิงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง เขานั้นรู้สึกว่ามายากลที่พึ่งจะได้ดูไปนี้สุดยอดจริงๆและรู้สึกโชคดีที่ได้มาทันดูการแสดงนี้ ต้องขอบคุณลูลู่ของเขาที่ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เจอสิ่งดีๆแบบนี้
เทียนได้ถูกปัดไปบนเค้กอย่างบรรจงและได้ถูกจุดขึ้น หลังจากลูลู่ขอพรแล้วก็ได้ทำการเป่าเทียนหลังจากขอพรเสร็จ เสียงเป่าเทียนและตัดเค้กนี้ได้ทำให้เกิดเสียงเพลงอันอบอุ่นของงานเลี้ยงนี่อย่างง่ายดาย
หลังจากได้กินเค้กกันเสร็จสิ้น ลูฉินหมิงกับภรรยาของเขาก็ทำท่าจะเตรียมตัวกลับแล้ว ยังไงซะงานเลี้ยงแบบนี้ก็ไม่เหมาะกับพวกเขาทั้งคู่อยู่ดี
“คุณลุงลูครับ ผมขอเวลาลุงสักครู่จะได้รึเปล่าครับ” เมื่อซูจิ้งได้เห็นทั้งสองกำลังจะกลับก็ได้รีบเข้ามาทันที
“โอ้ จะให้ฉันทำอะไรให้คุณอย่างนั้นเหรอ คุณซู” ลูฉินหมิงเองก็รู้จักซูจิ้งดีพอสมควรทำให้เขานั้นค่อนข้างที่จะวางท่าทีไว้บ้าง
เพราะถึงแม้ว่าตัวเขาจะมีอายุมากกว่าแต่กับซูจิ้งที่มีปูมหลังยากสุดยั่งนั้นทำให้เขาเองก็ไม่อาจอาศัยความเป็นผู้อาวุโสมีกดข่มได้ง่ายๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่ใช่คนแบบนั้นอยู่แล้วเหมือนกัน
“พอดีผมพึ่งจะได้ตำราการแพทย์แผนจีนโบราณมากๆมาเล่มหนึ่งน่ะครับ เลยไม่แน่ใจว่ามันจะพอมีค่ารึเปล่า ถ้ายังไงผมจะขอรบกวนคุณลุงช่วยดูให้ผมนิดหน่อยน่ะครับ”
“หืม ตำราแพทย์จีนโบราณเหรอ รีบเอามันออกมาให้ดูหน่อยสิ” ลูฉินหมิงสนใจขึ้นมาในทันที เขาเองในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แน่นอนว่าทำให้เขาชื่นชอบการศึกษาตำราแพทย์เป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ตัวอย่างเช่นตำรารักษาโรคตำหรับจักรพรรดิ์ เขาเองก็ได้มีโอกาสอ่านมาแล้ว และแน่นอนว่าตัวเขาเองก็ได้มีโอกาสศึกษาตำราแพทย์มามากมายหลายแขนงแล้วเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งเมื่อเห็นท่าทีของลูฉินหมิงก็ไม่ได้อิดออดที่จะนำตำราของเขาออกมาแต่อย่างใด เขาได้ล้วงเข้าไปในกระเป๋าแล้วนำตำราที่มีสภาพเก่าแก่ออกมาเล่มหนึ่ง
มันดูเก่าแก่มากซะจนจะเรียกว่าหลุดลุ่ยเลยก็ว่าได้นี่ทำให้ลูฉินหมิงนั้นมีความรู้สึกว่าต้องค่อยๆเปิดอ่านไม่งั้นคำรานี้จะเสียหายอย่างแน่นอน
ลูลู่ มูติง เสี่ยวรุย และคนอื่นๆที่เห็นความเก่าแก่ของตำรานี้ก็ยังรู้สึกสนใจไม่น้อยเหมือนกัน แน่นอนว่าพวกเขาทำได้เพียงแค่ดูอยู่ห่างๆและไม่กล้าเข้าใกล้สักเท่าไหร่นัก
“….ละเอียดจริงๆ….” นี่เป็นสิ่งแรกที่ลูฉินหมิงรับรู้ได้เมื่อเขาได้อ่านตำรานี้ ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ดวงตาของ
เขาก็ยิ่งเปล่งประกายในความละเอียดของเนื้อหา
หลังจากเขาเปิดไปอีกเพียงไม่กี่หน้า เขาก็ได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “วิธีการรักษานี้ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างละเอียดมากกว่าที่ฉันเคยรู้จักมา และในส่วนที่ฉันรู้จักนี้ถือได้ว่ามันถูกต้องเป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ปัญหาคือสมุนไพรในนี้หลายๆตัวฉันเองก็ไม่รู้จัก”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกับครับว่าชื่อที่อยู่ในตำราเล่มนี้ที่เราไม่รู้จักเป็นเพราะว่ามันเป็นชื่อโบราณที่เขาเลิกเรียกกันไปแล้วหรือว่าเป็นเพราะมันสูญพันธุ์ไปแล้วทำให้ไม่มีใครเรียกชื่อพวกมันให้ได้ยินอีก”
ซูจิ้งได้พูดออกมานั่นก็เพราะว่าตัวเขาเองก็ว่าศึกษาตำราสมุนไพรในโลกนี้จริงๆมาแล้วเมื่อตอนเขาได้ตำราแพทย์จีนโบราณมาจากขยะห้วงเวลาฯกระบี่สามภพ
แน่นอนว่าในตอนนั้นเองก็มีตัวยาหลายตัวที่เขาหาไม่เจอบนตำราสมุนไพรของโลกนี้เช่นเดียวกัน
“เดี๋ยวนะ นี่ไม่ใช่ตำราโบราณนี่นา” ลูฉิงหมิงได้พูดออกมาในทันที
“หืม ไม่ใช่ตำราโบราณอย่างนั้นเหรอ” ซูจิ้งเองก็อิ้งเหมือนกันที่ได้ยิน นี่ช่างเป็นคำพูดที่ไม่เป็นเหตุผลเอาซะเลย เขานั้นปลอมแปลงอายุของตำรานี่ด้วยกระโหลกกาลเวลามาแล้ว อย่าว่าแต่ใช้ตาเปล่าแบบที่ลูฉินหมิงกำลังทำอยู่เลย แม้แต่ใช้เทคนิคตรวจสอบของฌลกนี้ก็ไม่มีทางตรวจสอบได้ นี่ทำให้ซูจิ้งอยากรู้จริงๆว่าลูฉินหมิงรู้ได้ยังไง
“พ่อ หนูก็ดูว่ามันเก่าแก่มากเลยนะ” ลูลู่พูดออกมา
“ของเลียนแบบเหรอ ผมเองก็ดูๆไปแล้วไม่น่าจะทำเลียนแบบได้เลยนะครับ” เสี่ยวรุยเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเหมือนกัน
“ในส่วนของการเป็นของโบราณอะไรนั่นฉันไม่รู้เรื่องหรอกนะ หากมองในเชิงนั้นฉันเองก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นของเลียนแบบแต่อย่างใด
แต่สิ่งที่ฉันสังเกตได้ว่าตำรานี้ไม่ใช่ของโบราณนั้นมันมาจากมุมมองทางการแพทย์น่ะ” ลูฉินหมิงพูดออกมา
“แล้วจากมุมมองทางการแพทย์นี่เห็นว่าเป็นยังไงเหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมาอย่างสนใจ
“คุณลองดูตรงนี้สิ เนื้อหาส่วนนี้เป็นวิธีการป้องกันและรักษาโรคเรื้อนซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ถูกต้องอย่างมากในทางทฤษฎี และนี่ยังเป็นวิธีการรักษาที่ปัจจุบันเราใช้กันอยู่
แต่ในความเป็นจริงแล้วโรคนี้ในอดีตนั้นยังไม่มีวิธีการรักษา หลังจากป่วยเป็นโรคเรื้อนนี่แล้วในสมัยนั้นที่ทำได้ก็เพียงแต่ปล่อยไปตามยถากรรมเท่านั้น กว่าโรคนี้จะพบวิธีการป้องกันและรักษาก็ตอนที่ประเทศของเรานั้นจัดตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีนไปแล้วถึงได้ควบคุมและรักษาโรคนี้ได้” ลูฉินหมิงได้อธิบายออกมาอย่างมั่นใจ
ซูจิ้งเองก็เริ่มรู้สึกตัวเหมือนกันและไม่ได้แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมเขาไม่ได้สังเกต แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อยู่ดี
ยังไงซะเรื่องนี้ก็ยังอยู่ในเหตุที่เขาคาดไว้แล้วเหมือนกัน เขาวางแผนการแก้ปัญหาไว้ล่วงหน้าแล้ว เขานั้นอาจจะบอกความจริงไปเลยว่าตำรานี้อาจเป็นตำราปลอมจริงๆแต่ปลอมในสมัยโบราณ
ต่อให้มันถูกถือว่าเป็นตำราปลอม แต่ด้วยอายุของตำราเองยังไงก็ถือว่าเป็นตำราโบราณอยู่ดี อีกอย่างหนึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าตำรานี้ใช้ได้จริงหมายความว่าตำรานี้มีค่าอย่างมาก ในมุมมองทางการแพทย์นี่ถือได้ว่าเป็นตำราชั้นสูงได้เลยทีเดียว
“คุณลุงลูครับ ผมเองก็ยอมรับนะว่าสิ่งที่คุณพูดออกมานั้นมีเหตุผล แต่ในมุมของนักสะสมของเก่านั้นผมบอกได้เหมือนกันว่าตำรานี้เป็นตำราโบราณจริงๆ และมันไม่ได้เป็นตำราปลอมแต่อย่างใด” ซูจิ้งพูดออกมา
“เป็นไปไม่ได้” ลูฉินหมิงที่ได้ยินคำพูดนี้ออกมาถึงกับต้องเถียงออกมาในทันที
“ดูเหมือนว่าในเรื่องนี้เราสองคนจะไม่มีใครยอมใครนะครับ เอาอย่างนี้ดีรึเปล่าครับ เรามาพนันกันดีกว่า ผมจะนำตำรานี้ไปตรวจสอบกับสถาบันโบราณคดีเพื่อทำการตรวจสอบ หากคุณลุงแพ้คุณลุงต้องสอนวิชาการแพทย์ผมแบบหมดเปลือก”
“ดี ถ้าคุณแพ้ล่ะก็ ฉันไม่ขออะไรมากเอาเป็นซื้อโรงพยาบาลของผมโดยราคาอย่างน้อยสิบล้านหยวนก็พอ”
“ตกลงครับ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมทั้งพยักหน้ารับในทันที แต่ลูฉินหมิงนั้นกับยืนอึ้งไปในทันที ที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นี้หวังเพียงจะขู่ซูจิ้งเล่นๆเท่านั้น
เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะจริงจังด้วย นี่เขาไม่ได้สนใจกับเงินสิบล้านหยวนเลยรึไงกัน หรือว่าเขานั้นมั่นใจจริงๆว่าตำรานี้คือตำราโบราณกันแน่ แต่เขาก็ยังมั่นใจอยู่ว่าตำรานี้ไม่ใช่ตำราโบราณแต่อย่างใด เป็นเพียงของเลียนแบบเท่านั้น