Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 970
GGS:บทที่ 970 เป้าหมาย
“โฮ่ นับวันยิ่งเหิมเกริมงั้นเหรอ” มู่ติงจ้องมองไปยังชายหน้าเหลี่ยมตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย
“ก็จริงรึเปล่าล่ะ ในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขานั้นทำแต่เรื่องที่ราวกับว่าจะพยายามปฏิรูปโลกที่อยู่รอบตัวของเขา ขนาดคนอย่างฉันยังได้ข่าวเขาบ่อยๆเลยด้วยซ้ำ
ต้องขอบคุณเรื่องในครั้งนี้จะช่วยให้ทุกคนเห็นธาตุแท้ของหมอนี่และจะทำให้คนทั้งโลกจับหมอนี่มาหั่นเป็นชิ้นๆ ดูสิว่าหมอนี่จะอยู่ต่อไปได้ยังไง
แน่นอนว่าหากหมอนี่ทำธุรกิจอย่างอื่นต่อไปฉันก็คงจะไม่สนใจหรอก แต่ในเมื่อเขากล้าที่จะเข้ามามีเอี่ยวในธุรกิจด้านการแพทย์ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ปล่อยผ่านอย่างแน่นอนไม่อย่างนั้นหมอนี่คงจะทำให้ชื่อเสียงของวงการแพทย์ต้องมัวหมอง
ฉันจะส่งข้อความในไมโครบลอคของตัวเองให้กับคนไข้ของฉันและแฟนคลับของเขาไม่ให้เล่นตามน้ำไปด้วย”
ชายหน้าเหลี่ยมพูดออกมาอย่างยิ้มเยาะ
“ดูเหมือนว่านายไม่ต้องออกโรงแล้วล่ะ ตอนนี้อินเตอร์เน็ตต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันไปทั่ว แม้แต่การว่าร้ายจนตอนนี้ไม่มีใครต้องการให้หมอนั่นรักษาแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนี่ไม่ลดค่ารักษาทั่วไปและมีชื่อเสียงที่ดีอยู่ก่อนแล้ว ฉันว่าเขาคงถูกสาบส่งไปตั้งนานแล้วล่ะ” ชายร่างท้วมคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างๆพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮี่ฮี่ เขาอาจจะวางแผนไว้แล้วก็ได้นะ นี่อาจจะเป็นวิธีที่จะไม่ให้เรื่องของเขานั้นถูกด่าทอมากเกินไป พอนึกถึงเรื่องที่เขาเปิดโซนวีไอพีเพื่อที่จะหาเงินนี่ ต่อให้เขานั้นเป็นคนดังยังไงอย่างมากคนที่ไปรักษาก็เป็นพวกที่มีสัมพันธ์อันดีกับหมอนั่นแค่นั้นแหล่ะ
ใครจะไปรู้นี่ต่างหากที่เป็นแผนการที่แท้จริงของหมอนั่นที่จะได้หลอกให้ใครบางคนไปรักษา ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าหลังจากเรื่องในวันนี้แล้วใครจะเป็นคนโง่ที่ไปรักษากันนะ” ชายหน้าเหลี่ยมได้พูดตอบชายร่างท้วมออกมาด้วยรอยยิ้ม
มู่ติงเหล่ตามองไปยังชายหน้าเหลี่ยมอย่างไม่เห็นด้วย ต่อให้เธอจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ แต่เธอก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะหาเงินโดยการล่อลวงคนแบบที่สองคนนี้ว่า
เขานั้นได้เงินมามากมายจากธุรกิจของเขาจนเรียกได้ว่าต่อให้ไม่ทำอะไรก็อยู่ได้อีกหลายร้อยปี ในเมื่อเขานั้นรวยขนาดนั้นแล้วจะเป็นต้องมาหลอกลวงคนอย่างที่ชายหน้าเหลี่ยมว่ามาแต่อย่างใด
ถึงแม้ชายหน้าเหลี่ยมจะพูดออกมาอย่างองอาจว่าจะไม่ยอมให้วงการแพทย์ต้องแปดเปื้อน แต่เธอรู้ดีว่าความจริงแล้วหมอนี่ก็แค่อิจฉาและจ้องหาโอกาสทำลายซูจิ้งมาตลอด
ทุกคนที่กำลังกินข้าวด้วยกันนี้ล้วนแล้วแต่จบจากมหาวิทยาลัยเทียนหยาง ฉิวจิงหรือก็คือชายหน้าเหลี่ยมคนนี้เป็นหมอปริญญาเอก
ในสมัยที่ยังเรียนด้วยกันนั้นเขาเป็นคนที่โดดเด่น และหลังจากที่เรียนจบเขารู้จักกันดีในฐานะหมอที่มีอนาคตไกล มีภรรยาที่สวยและเป็นที่รักใคร่ของทุกคน
แต่เดิมแล้วเขานั้นสมควรที่จะเป็นเป้าหมายที่ทุกคนนั้นต้องอิจฉาและเป็นที่พูดถึงจากเพื่อนๆ แต่ด้วยในสองปีมานี้ซูจิ้งได้สร้างชื่อเสียงไว้มากมายจนทำให้หมอนี่ไม่ได้มีค่าอะไรให้พูดถึงเลย
การที่ซูจิ้งดึงดูดสายตาของผู้คนไปแบบนี้ทำให้ซิวจิงไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่น้อย
“ว่าแต่พี่สะใภ้นี่ใกล้จะหายรึยังน่ะ” ชายร่างท้วมอยู่ๆก็ได้ถามเรื่องนี้กับชายหน้าเหลี่ยมออกมา
“ก็ใกล้แล้วล่ะ” หน้าตาของซิวจิงจากตอนแรกรู้สึกสะใจในตอนนี้กลับมาสู่โลกแห่งความจริงกลายเป็นดูซึมลงเล็กน้อยแต่ก็ยังตอบออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว
ภรรยาของเขานั้นจริงๆแล้วก็ไม่ได้ป่วยหนักอะไรแต่เธออยู่ในภาวะมีบุตรยากเท่านั้น ต่อให้เขาเป็นหมอแต่ก็ยังทำอะไรกับเรื่องนี้ไม่ได้ นี่ถือว่าเป็นขวากหนามในจิตใจเขาอย่างหนึ่ง
ความจริงแล้วตัวเขานั้นได้เตรียมใจเรื่องนี้มานานแล้วและก็ยอมรับสภาพได้หากเขาจะไร้ทายาทสืบสกุล แต่พ่อแม่ของเขานั้นไม่ยอม
และยังบอกกับเขาด้วยว่าหากภรรยาของเขายังไม่ยอมท้องล่ะก็จะไล่ออกจากตระกูลไปในอีกไม่นานนี้
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีแล้ว เราเลิกพูดเรื่องนั้นกันดีกว่า มา ดื่ม” ชายร่างท้วมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะยกแก้วชนแล้วดื่ม
ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง เสี่ยวรุยกำลังกินข้าวเย็นร่วมกับลูลู่
ในที่สุดเขาก็ชวนลูลู่ออกมาเดตจนได้เป็นครั้งแรก ในขณะที่ลูลู่ขอตัวไปห้องน้ำ เสี่ยวรุยได้นำโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเพื่อฆ่าเวลา
ทันทีที่เขาได้เห็นข่าวของซูจิ้งเขาก็ทำได้แต่นิ่งอึ้งไปเท่านั้น เมื่อลูลู่กลับมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ลูลู่ นี่เป็นโรงพยาบาลของพ่อเธอไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่นะ นี่ซู….” ลูลู่ที่เห็นข่าวก็ได้แต่อ่านข่าวแบบเงียบๆ พลางนึกถึงตำราแพทย์โบราณที่ซูจิ้งนำออกมาในวันนั้น กลายเป็นว่าตำราโบราณเล่มนั้นเป็นของจริงและซูจิ้งก็ชนะ แต่เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเรื่องที่กลายเป็นว่าเขาไปซื้อโรงพยาบาลกังเฟิงได้กันล่ะ
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเข้าไปตัดสินใจเรื่องสำคัญของโรงพยาบาลสองเรื่องและหนึ่งในนั้นคือค่ารักษาที่แพงถึงหนึ่งล้านหยวนนี่อีก
“ดูเหมือนพี่สามจะโดนด่าไม่น้อยเลยแหะ” เสี่ยวรุยเองก็ทำเป็นปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปไม่ได้ เขาได้ส่งข้อความเพื่อเข้าไปเป็นกำลังใจให้กับซูจิ้ง
ผลก็คือคำนินทาว่าร้ายต่างๆแทบจะหายไปในทันทีและนี่ไม่ใช่เพียงเพราะชื่อเสียงของเสี่ยวรุย แต่แฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้เคลื่อนไหวทำให้เรื่องเงียบลงไปบ้าง แต่การกระทำของซูจิ้งนั้นมันไร้เหตุผลเกินกว่าที่ชาวเน็ตจะเงียบเสียงไว้ได้นาน ไม่นานพวกเขาก็หยิบเรื่องนี้มาพูดกันอีกอยู่ดี
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หมอหลายๆคนกำลังจะกลุ่มคุยกันอยู่
“เฮ้ นายได้ยินรึเปล่าว่าซูจิ้งก้าวเข้ามาทำธุรกิจด้านการแพทย์แล้วน่ะ”
“ฮี่ฮี่ ฉันได้ยินมาว่าเขาเพียงได้ตำราแพทย์โบราณจากสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกมาจนเขาคิดว่าตัวเองเป็นหมอเทวดาน่ะ”
“ฉันว่าเขาแค่อยากจะลองหาเงินทางนี้ดูบ้างก็เท่านั้นแหล่ะ แต่การกระทำของเขานี่ก็เท่ากับหยามแพทย์แผนปัจจุบันจริงๆ”
“เรื่องนั้นก็อาจจะไม่จริงซะทีเดียวนะ อย่างเพิ่งด่วนตัดสินใจไปดีกว่า” ลิ่วเว่ยได้พูดตัดบทในทันที ตัวเขานั้นได้เสียเวลาในการรักษาลูกของหวังจ้าวอยู่นานก็ไม่หายสักที
แต่ซูจิ้งนั้นกับรักษาหายได้เพียงให้เขากินอาหารที่มีสรรพคุณทางยาเท่านั้น นี่คือเหตุผลที่ทำให้เขานั้นจดจำซูจิ้งได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้เขาได้ยินมาว่าปันฉาง คนที่ป่วยจนกลายเป็นมนุษย์ผักที่ยากจะรักษาได้ อยู่ๆเขาก็ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากซูจิ้งเข้าไปเยี่ยมเพียงวันเดียว
นอกจากนี้เขายังได้ยินข่าวลือมากมายเกี่ยวกับการรักษาของซูจิ้งในเคสที่อยากจะรักษา บางโรคนี่ต่อให้สุมหัวหมอกันไปรักษาก็ยังเป็นเรื่องยาก แต่เพียงซูจิ้งเดินผ่านไปไม่นานก็หายดีกันถ้วนหน้า
นี่จึงเป็นเหตุผลที่ลิ่วเว่ยไม่กล้าสบประมาทซูจิ้งแม้แต่น้อย
“มันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจได้ในทันทีอยู่แล้วแล้วจะหาว่าพวกเราด่วนตัดสินใจไปได้ยังไง นี่นายคิดว่าค้วยตำราแพทย์โบราณแบบนั้นจะช่วยให้เขากลายเป็นหมอเทวดาที่เก็บค่ารักษาได้ล้านหยวนอ่ะนะ
ฉันว่าเราสมควรจะรีบรวบรวมแพทย์แล้วทำการประณามการกระทำของเขาเสียมากกว่า การที่การกระทำของเขาจะทำให้หมออย่างพวกเราเสียชื่อเสียงไปด้วย” หมออีกคนหนึ่งพูดออกมาอย่างใส่อารมณ์ แต่ลิ่วเว่ยเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดีเขาจึงเลือกที่จะไม่พูดอีก
ฉิวจิงและหมออีกจำนวนมากต่างก็รวมตัวกันเพื่อโจมตีซูจิ้ง พร้อมประณามราคาค่ารักษาของซูจิ้งที่มันสูงเกินจริง และทุกคนเองต่างก็ไม่เชื่อว่าซูจิ้งจะมีความสามารถทางการแพทย์จริง และกล่าวหาว่าซูจิ้งทำเพื่อจะหลอกลวงเงินจากผู้คน
แม้แต่หมอที่เป็นแพทย์แผนจีนคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในวงการการแพทย์ก็ได้รับการสัมภาษณ์จากนักข่าวเพื่อขอความเห็นในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“ดอกเตอร์หวังคะ คุณมีความเห็นยังไงเกี่ยวข่าวที่กำลังพูดถึงกันทั่วอินเตอร์เน็ตใจตอนนี้เกี่ยวค่ารักษาพยาบาลของซูจิ้งที่มีการเก็บราคาชั้นต่ำที่หนึ่งล้านหยวนคะ”
“อย่างแรก โรงพยาบาลสมควรจะเก็บค่าใช้จ่ายตามความจริงและนี่เป็นสิ่งที่เรียกว่าระบบการเก็บเงิน การที่เริ่มเก็บค่ารักษาขั้นต่ำที่หนึ่งล้านหยวนนี่ช่างไร้สาระจริงๆ
อย่างที่สอง ผมไม่เคยรู้จักคนที่ชื่อซูจิ้งผู้นี้ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือคนๆนี้ไม่ได้จบจากการร่ำเรียนแพทย์มาตามระบบ และเท่าที่ผมได้รู้มาเขานั้นเพิ่งจะได้ใบรับรองแพทย์มาเท่านี้น นี่เขาจะไปมีความรู้ในการรกัษาแค่ไหนกันล่ะ
สำหรับหมอใหม่นั้น สมควรจะฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เรียนรู้เคสผู้ป่วยมาอย่างหนัก และทำการเพิ่มพูนฝีมือจากเคสการรักษาเหล่านั้น
แต่นี่เขากลับไม่ทำตามระบบเลยสักอย่าง ไหนจะเรื่องที่เปิดโซนวีไอพีอะไรนั่นอีก หากการรักษาของเขานั้นมีราคาเริ่มต้นที่หนึ่งล้านหยวน นี่ไม่ใช่หมายความว่าหมอที่มีฝีมือดีกว่าเขาจะเรียกเก็บค่ารักษาได้สิบล้านหยวนเลยรึไงกัน นี่จะทำให้วงการการแพทย์ต้องเกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน” ดอกเตอร์หวังพูดออกมาเชิงดูถูก
เขานั้นเป็นชายแก่อายุอานามปาเข้าไปกว่า50ปีจนตอนนี้มีผมหงอกไปครึ่งหัวแล้ว
หลังจากดอกเตอร์หวังได้พูดจบลงนี่ยิ่งทำให้มีอีกหลายๆคนที่เริ่มจะด่าทอสาบส่งซูจิ้งมากยิ่งขึ้น
นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่ซูจิ้งเคยช่วยรักษาต่างก็ออกมาพูดกับซูจิ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเจียงหนานที่มีภาวะมีบุตรยาก คุณนายซุนที่ป่วยเป็นโรคไข้เย็น ป้าของหลินชิหยูที่ป่วยเป็นโรคกลัวความเย็น และลูกชายของเหยาชินจิ้งที่ถูกพิษจนแสนสาหัส
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหล่าคนพวกนี้ที่เปรียบได้ดั่งทหารกล้าของผู้มีความสัมพันธ์อันดีของซูจิ้ง นอกจากจะไม่ได้ช่วยให้ซูจิ้งเปลี่ยนความคิดแล้ว พวกเขานั้นไม่ได้ทำให้ซูจิ้งนึกจะเปลี่ยนความคิดของเขาเลยเสียด้วยซ้ำ
ภายในวันเดียว ซูจิ้งได้กลายเป็นเป้าโจมตีจากสาธารณะชนอย่างบ้าคลั่ง และแน่นอนว่าที่ทุกคนโจมตีนั้นเป็นเพราะเรื่องการเปิดการรักษาแบบวีไอพี
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่คิดว่าการกระทำของซูจิ้งนั้นเป็นเรื่องที่ดีและกล่าวสรรเสริญจากใจจริง นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นได้ลดค่าใช้จ่ายจากการรักษาโรคแบบทั่วไปชนิดที่แทบจะฟรีเลยด้วยซ้ำ
คนพวกนี้ยังกล่าวอีกว่าซูจิ้งไม่ได้บังคับให้ทุกคนต้องเข้าไปรักษาที่โซนวีไอพีสักหน่อย และพวกเขาก็คงไม่คิดว่าจะมีคนที่โง่พอที่จะหาเรื่องซูจิ้งโดยการเข้าไปเสียค่ารักษากว่าล้านหยวนเพื่อหาเรื่องฟ้องร้องการรักษาของซูจิ้งอย่างแน่นอน