Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 973
GGS:บทที่ 973 เป็นไปไม่ได้
เมื่อพ่อแม่ของยี่น้อยได้ยินผลการวินิจฉัยโรคในปัจจุบันของเด็กน้อยก็ได้ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ และเรื่องนี้ก็ยังทำให้เหล่าบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแห่งนี้คุยกันไปทั่วจนทำให้เรื่องนี้หลุดรอดไปถึงหูของสาธารณชนเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าแทบจะในทันทีที่ผลการรักษาออกมาด้วยซ้ำ
“ห้ะมีคนไปจ่ายเงินให้ซูจิ้งหนึ่งล้านหยวนเพื่อรักษาจริงๆเหรอ”
“เห็นเขาว่ากันว่าโรคกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายนี่มันร้ายแรงและรักษาไม่ได้นี่นา แถมหากรู้ตัวช้าไปมีโอกาสตาบอดแบบถาวรอีกด้วย แล้วทำไมซูจิ้งใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษาให้หายขาดแถมยังทำให้ทัศนวิสัยของคนไข้เป็นระดับ 5.3 ได้กัน”
“ต้องเป็นเรื่องหลอกลวงแน่ หมอนั่นไม่ใช่พระเจ้าซะหน่อย”
“พวกเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับซูจิ้ง เขาเป็นหมอจริงๆงั้นเหรอเนี่ย”
“ไม่มีทางน่า หมอนี่เพียงแค่คนที่มีธุรกิจมากมายเท่านั้น เขาไม่ได้เรียนหมอมาด้วยซ้ำ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเขาจะเป็นหมอเทวดาไปได้ ฉันว่าเขาแค่ทำตัวอวดอ้างหาชื่อเสียงเท่านั้นแหล่ะ ต่อให้รักษาคนไข้ที่ตาบอดได้แล้วยังไงล่ะ แค่นี้ไม่สามารถเรียกตัวเองว่าหมอเทวดาได้หรอก”
“เอ่ออออ ถ้าดูจากการที่ทำให้ผู้คนพูดถึงในตอนนี้ฉันว่าเขาไม่ได้อวดอ้างหาชื่อเสียงนะ ตามประวัติการรักษาของเด็กน้อยที่ซูจิ้งรักษานั้น เขาไปมาทุกโรงพยาบาลชั้นนำในเมืองจีนแล้วแต่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย มีแต่แย่ลงด้วยซ้ำ”
“ไม่ใช่ว่าการที่ซูจิ้งเข้าโรงพยาบาลนั่นไปเพียงเพราะต้องการใช้เขาเป็นตัวมาสคอตของโรงพยาบาลหรอกเหรอ”
“…..นี่อาจิ้งเป็นหมอเทวดาจริงเหรอเนี่ย….” เมื่อหวังจ้าวได้เห็นข่าวนี้ถึงกับอุทานออกมาในทันที เขาไม่ได้สงสัยใจตัวของซูจิ้งแม้แต่น้อย
เนื่องจากคบกันมานานจึงรู้ดีว่าตัวซูจิ้งนั้นไม่มีนิสัยและความจำเป็นในการที่ต้องสร้างข่าวปลอมมายกระดับชื่อเสียงของตัวเองหรือแม้แต่เป็นตัวมาสคอตให้ใครอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่เคยมีข้อมูลหรือเคยได้ยินมาก่อนว่าซูจิ้งมีความสามารถด้านการแพทย์ หรือแม้แต่ร่ำเรียนวิชาแพทย์จากไหนมาก่อน นี่จึงบอกได้ว่าสำหรับหวังจ้าวแล้วซูจิ้งไม่ใช่เพียงแค่หมอแต่อยู่ในระดับพระเจ้าเข้าไปแล้ว
ถึงแม้ว่าลูกชายของเขาจะเคยได้รับการช่วยเหลือจากซูจิ้งในการรักษาจากอาการเบื่ออาหารก็จริงแต่นั่นก็สมควรจะเป็นทักษะด้านการทำอาหารของเขาเท่านั้น
ถึงแม้ว่าต่อมาเขานั้นจะรักษาอาการนอนไม่หลับของพ่อของเขาแค่นั่นก็สมควรเป็นฝีมือในการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งเช่นเดียวกัน การรักษาพวกนั้นช่างห่างไกลจากการเป็นหมอจริงๆมากนัก
“ช่างมันเถอะ คิดมากไปก็เท่านั้น ยังไงซะอาจิ้งก็มักทำอะไรที่ฉันคาดไม่ถึงอยู่แล้ว เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าทำเพื่ออะไร” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นได้เลิกกังวลเรื่องซูจิ้งได้แล้วอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากเฉิงหนาน หวังซือหยา เหว่ยเสี่ยวหยวน และคนอื่นๆที่สนิทกับซูจิ้งได้ยินข่าวนี้ต่างก็มีท่าทีคลายกังวล แน่นอนว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่มีความคิดไม่ต่างจากหวังจ้าวมากนัก นั่นก็คือก่อนหน้านี้พวกเขากังวลหนักมาก แต่ตอนนี้ต่างก็เลิกที่จะกังวลและทำเพียงยิ้มออกมาอย่างสบายใจ และต่างก็รู้สึกลึกๆในใจว่าซูจิ้งอาจจะทำในสิ่งที่เรียกว่าการยกระดับวงการอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้จะเป็นวงการแพทย์อย่างแน่นอน
ฉิวจิงที่ได้เห็นข่าวนี้ก็ได้หัวเราะออกมาในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เห้ออออ หมอนี่ ถ้าอยากโอ้อวดตัวเองหาชื่อเสียงก็ควรจะหาเคสที่เป็นไปได้มาหน่อย หมอนี่ไม่มีหัวคิดเลยจริงๆ ใครๆก็รู้ว่าอาการกระจกตาเสื่อมระยะสุดท้ายไม่มีทางรักษาได้ แต่ดันโอ้อวดออกมาว่าใช้เวลาเพียงสามวันแถมยังสร้างเรื่องเป็นว่าทำให้ระยะการมองเห็นกลับมาและดีขึ้นเป็นระดับ 5.3 ได้นี่ใครจะไปเชื่อ นี่หมอนี่คิดว่าคนบนโลกนี้โง่เง่ารึไงกัน
ซูจิ้งหนอซูจิ้ง ฉันคิดแล้วว่าแกมันแค่ขยะของวงการแพทย์ ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าแกจะมีจุดจบยังไง”
ฉิวจิงไม่ได้พูดเรื่องนี้ออกมาเพียงเพราะดูแคลนซูจิ้งเท่านั้น เขายังใส่ความเห็นของตัวเองเกี่ยวกับข่าวการรักษาของซูจิ้งลงในไมโครบลอกของตัวเอง
เขาได้ทำการวิเคราะห์ความเป็นได้ที่เกิดขึ้นจากเคสการรักษาของซูจิ้งจากมุมมองทางการแพทย์ของตัวเองและแสดงความคิดเห็นของตัวเองผสมโรงเข้าไปด้วย
เขาอธิบายออกมาอย่างชัดเจนว่าทำไมจึงเป็นไปไม่ได้ที่ซูจิ้งจะใช้เวลาเพียงสามวันในการรักษาและเพิ่มศักยภาพในการมองเห็นของคนได้ และพูดออกมาอย่างชัดเจนว่าการรักษาของซูจิ้งเป็นเพียงการอวดอ้างของซูจิ้งเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เขาเองเพียงเท่านั้น
เพียงเขาโพสต์ข้อความนี้ลงไปในไมโครบลอกของตัวเอง ตอนนี้ได้มีเหล่าผู้ใช้หลายๆคนทำการแชร์ข้อความนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว และหลายๆคนเองก็เป็นหมอเช่นเดียวกัน
พวกเขาออกมาเคลื่อนไหวก็เพราะว่าข่าวลืออันไม่น่าเชื่อถือของซูจิ้งและยืนยันว่าข้อความที่มาจากฉิวจิงเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เรื่องการรักษาของซุจิ้งสมควรจะเป็นสิ่งที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อชื่อเสียงเท่านั้น
“ฉิวจิงเหรอ ฉันจำได้ว่าหมอนี่จบมาจากมหาวิยาลัยเทียนหยางเหมือนกันนี่นา ก่อนหน้านี้ฉันเองก็คิดว่าเขานั้นเป็นคนดีคนหนึ่งมาโดยตลอด ทำไมอยู่ๆหมอนี่ถึงได้กล้าใส่ร้ายพี่จิ้งได้กัน” เสี่ยวรุย หลินฮ่าว ฉือเล่ย และคนอื่นๆที่เห็นข้อความในไมโครบลอกต่างก็รู้สึกไม่ดีหมอนี่ในทันที
ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะไม่รู้ว่าซูจิ้งอยู่ๆก็มีความสามารถในการแพทย์ได้ยังไง แต่พวกเขานั้นต่างก็เชื่อว่าซูจิ้งเป็นมนุษย์คนหนึ่งในหมู่ผู้คนที่ไม่เคยสร้างภาพหรือหลอกลวงด้วยการช่วยเหลือผู้คนและรักษาคนเหล่านั้น
“เธอว่าข่าวของซูจิ้งนั้นน่าเชื่อถือหรือคำพูดขอฉิวจิงน่าเชื่อถือกว่ากันน่ะ” ในภัตตาคารแห่งหนึ่ง หวังหยานและมู่ติงกำลังทานมื้อค่ำกันอยู่ ในระหว่างนั้นมู่ติงได้เห็นข่าวที่ซูจิ้งได้รักษาอาการตาบอดจึงได้ถามออกมา
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับแพทย์เลยสักนิดนี่นา” หวังหยานพูดออกมา
มู่ติงที่เฝ้าสังเกตอาการของเพื่อนรักในขณะตอบอยู่ก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าพูดถึงตามหลักเหตุผลแล้ว ฉิวจิงที่เป็นหมอน่าจะเชื่อได้มากกว่าไม่ใช่เหรอ
ดูเหมือนว่าเธอยังคิดว่าซูจิ้งนั้นยังเป็นคนที่ยากจะคาดถึงอยู่อีกสินะถึงไม่กล้าพูดออกมา หลังจากเรียนจบมาแล้วเขาจะเอาเวลาไปเรียนทักษะการแพทย์พวกนี้ได้ยังไงกัน ฉันได้ยินมาว่าเขาเพิ่งจะได้รับใบรับรองการเป็นแพทย์เองด้วยซ้ำ”
“ใครจะไปรู้ล่ะ” หวังหยานตอบออกมาสั้นๆแล้วทำการดิ่มจนหมดแก้วราวกับไม่ใส่ใจ แต่ในใจเธอนั้นกำลังคิดอยู่ว่าหากว่าข่าวลือที่ว่าซูจิ้งสามารถรักษาอาการกระจกตาเสื่อมที่โรงพยาบาลกังเฟิงนั่นเป็นจริงล่ะก็ นี่มันไม่ได้หมายถึงว่าตัวเขานั้นเป็นหมอเทวดาหรอกเหรอ
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง หวังกังหยุน หมอสูงอายุผู้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการแพทย์ด้านการใช้แพทย์แผนจีนกำลังแจ้งผลการตรวจให้กับผู้ป่วยคนหนึ่งฟัง
ผู้ป่วยที่เป็นชายวัยกลางคนได้ถามออกมาว่า “หมอหวังครับ ทำไมผมรักษามาตั้งหลายวันแล้วตาของผมยังมองไม่ค่อยเห็นอีกล่ะ”
“อาการต้อหินของคุณนั้นอยู่ในระดับที่หนักมากเลยครับ การรักษาในตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างกระบวนการอยู่ ไม่มีทางเลยที่จะรักษาโรคนี้ได้ด้วยเวลาอันสั้นหรอกครับ
แต่จากอาการในตอนนี้แล้วผมบอกได้เลยว่าเป็นสัญญาณที่ดีเพราะอาการต้อหินของคุณนั้นดีขึ้นเป็นระดับ ตราบใดที่คุณยังได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะค่อยๆดีขึ้นอย่างช้าๆครับ” หวังกังหยุนตอบออกมา
“ผมได้ยินมาว่ามีคนที่ป่วยเป็นโรคกระจกตาเสื่อมไปรักษาที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนแล้วหาโดยใช้เวลาเพียงสามวัน ไม่เพียงเท่านั้น คนไข้คนนั้นยังมีระยะการมองเห็นที่ดีขึ้นในระดับ 5.3 เลยนี่นา” ชายวัยกลางคนได้ถามออกมา
“เรื่องนั้นเองน่ะเหรอ คุณคิดว่าเรื่องนั้นเป็นไปได้จริงๆเหรอครับ ขนาดวิธีการรักษาที่ดีที่สุดของการแผนสมัยปัจจุบันนี่ยังทำแบบนั้นไม่ได้เลย
ผมว่าคนไข้คนนั้นน่าจะเป็นคนที่ถูกจ้างมาเพื่อจะได้โฆษณาเกี่ยวกับคลีนิกพิเศษของที่โรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนเสียมากกว่า
ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยพูดถึงคลีนิกพิเศษนั่นออกสื่อไปแล้วว่าเขาทำมันขึ้นก็เพราะละโมบอยากได้เงินก็เท่านั้นเอง ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะไม่ยอมหยุดหลังจากที่ผมพูดไปจริงๆนะ” หวังกังหยุนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แค่ข่าวลือเหรอ” ชายวัยกลางคนถามออกมาอีกครั้ง
“คุณไม่จำเป็นต้องไปหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนั้นหรอกครับ แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นข่าวลืออยู่แล้ว ไม่มีทางที่เรื่องแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้จริงอย่างแน่นอน
ต่อให้คุณไปลองรักษาดูเองผมก็กลัวแต่ว่าจะไม่เพียงเสียเงินก้อนโต แต่ยังจะทำให้อาการของคุณแย่ลงจนทำให้มีผลต่อการรักษาให้หายออกไปอีกเท่านั้น” หวังกังหยุนพูดออกมา
“ก็ได้ครับ ผมเชื่อหมอหวังแล้วกัน” ชายวัยกลางคนพูดออกมา
“อย่าไปคิดมากเรื่องนั้นเลยครับ เอาเป็นว่าคุณรู้สึกดีที่ได้ผมรักษาแค่นั้นผมก็ดีใจแล้ว” หวังกังหยุนพยายามปลอบคนไข้ของเขา พลางคิดเรื่องข่าวลือของซูจิ้งที่ส่งผลต่อคนไข้ของเขาแล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ
การกระทำที่หวังเพียงแสวงหาผลประโยชน์ของซูจิ้งแบบนี้ถึงแม้เขาจะเชื่อว่าซูจิ้งจะทำได้อีกไม่นาน แต่เขาก็ไม่คิดจะรั้งรอให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกอย่างแน่นอนเพราะทิ้งไว้อาจมีผู้เสียหายจริงๆจนได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลังจากที่เขาส่งผู้ป่วยออกไป หวังกังหยุนได้ทำการโทรหาสภาการแพทย์ในทันทีเพื่อให้รัฐตรวจสอบการกระทำของซูจิ้ง
เขาถึงขนาดรายงานเรื่องข่าวลือและกล่าวหาซูจิ้งโดยใช้พลังจากภาครัฐและประชาชนเพื่อเล่นงานซูจิ้งให้จนได้ นี่จึงส่งผลให้การรักษาโลกกระจกตาเสื่อมในสามวันของซูจิ้งกลายเป็นเพียงข่าวลือเพื่อหาชื่อเสียงเพียงเท่านั้น
“โคตรน่ารังเกียจจริงๆ คนพวกนี้ไม่รู้อะไรเลยแต่กล้าตัดสินเรื่องนี้โดยไม่หาข้อมูลเพิ่มเติม”
“จริงด้วย เห็นชัดๆว่าประธานซูสามารถรักษาอาการกระจกตาเสื่อมได้ด้วยเวลาเพียงแค่สามวัน แต่หมอคนนั้นกลับบอกว่าเขานั้นเป็นวายร้ายและสร้างข่าวลือมาเพื่อล่อลวงผู้คน”
เมื่อลูฉินหมิงและหมอคนอื่นๆได้รู้เรื่องนี้ถึงกับโกรธเป็นฟืนไฟ ในขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็ทำให้พวกเขาได้รู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจความรู้สึกของซูจิ้งในตอนแรกเหมือนกัน
เมื่อถึงเรื่องที่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาก็ไม่เชื่อในความสามารถของซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อมาคิดถึงเรื่องนี้แต่ซูจิ้งกลับยังเต็มไปด้วยความไม่ใส่ใจขนาดนี้ได้ นี่เขาเป็นผู้ฝึกตนรึไงกัน
ลูฉินหมิงได้คุยกับพ่อแม่ของเด็กน้อยที่ได้รับการรักษาว่าควรจะปฏิบัติตัวยังไงเพื่อที่จะเป็นการยืนยันว่าซูจิ้งนั้นมีความสามารถจริงๆ
และแน่นอนว่าทั้งสองย่อมเห็นด้วยและไม่มีทางที่จะหักหลังผู้มีพระคุณของลูกเขาได้ แต่ในขณะนั้นเอง คลีนิกพิเศษแห่งนี้ก็ได้มีคนไข้รายที่สองเข้ามา