Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 982
GGS:บทที่ 982 …..บ้าไปแล้ว
“นี่คือตำราแพทย์โบราณสมัยราชวงศ์ฮั่นฉบับคัดลอกเหรอ” ลูฉินหมิงถามออกมาด้วยความสงสัยแบบอึ้งๆ
“ใช่” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“แล้วนายเอาออกมาทำไมตอนนี้ล่ะ” ลูฉินหมิงยังถามออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“แน่นอนว่านำออกมาศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่ว่าลุงลูเองอยากจะศึกษามันมาตลอดหรอกเหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มในขณะที่เปิดตำราออกดู
ซูจิ้งเปิดตำราขนาดเท่าฝ่ามือเล่มนี้ดูอย่างตั้งใจและเปิดไปยังหน้าที่เขาต้องการจะดูอย่างแม่นยำ
ลูฉินหมิงที่เห็นแบบนั้นก็ยังตกตะลึงแต่ก็เข้าไปดูอยู่ข้างๆ เมื่อเขาได้อ่านไปได้เพียงหนึ่งบรรทัดกว่าๆจนเกือบสองบรรทัด เขาได้ตกใจจนถอนหายใจออกมาสั้นๆก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า “นี่มันวิธีการรักษาน้ำแข็งกัด?”
ถึงแม้ในความเป็นจริงนั้นที่มาของโรคทั้งสองจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงอาการเท่านั้นที่เหมือนกันเป๊ะๆเท่านั้นแต่ก็สามารถจัดได้ว่เป็นโรคเดียวกันอยู่ดี
แต่นี่มันตำราสมัยราชวงศ์ฮั่นไม่ใช่เหรอ นั่นหมายความว่าสมัยนั้นไม่น่าจะมีวิธีการรักษาโรคนี้นี่นา ไม่น่าจะเป็นไปได้เลยสักนิดไม่ใช่เหรอ
ความจริงแล้วตอนที่ซูจิ้งได้เห็นเนื้อหาการรักษาโรคน้ำแข็งกัดนี้เขาก็ตกใจไม่แพ้กัน เหตุผลก็เพราะว่าในโลกปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวไกล
ไม่ว่าจะเป็นด้านองค์ความรู้หรือเครื่องมือทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำ หากว่าทำตามตำราเล่มนี้ได้ทั้งหมดแน่นอนว่าต้องรักษาโรคนี้ได้อย่างแน่นอน
แต่สำหรับในโลกนี้ด้วยวิทยาการและความรู้ต่างๆกลับทำได้เพียงตีค่าโรคALSนี้ว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้ช่างน่าตลกเช่นดี
แต่ยังไงซะซูจิ้งเข้าใจดีว่าตำรานี้เป็นความรู้ทางการแพทย์จีนที่ไม่ได้มาจากยุคสมัยราชวงศ์ฮั่น แต่มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯนี่ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่นในตำราเล่มนี้มากกว่าใคร
เพราะสำหรับห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่ต้องการเป็นเทพเซียนอมตะ พวกเขาทำได้แม้กระทั่งหลอมยาเพื่อยืดอายุตัวได้อีกนับร้อยปี มีกระทั่งเม็ดยาที่นำคนตายให้กลับมีชีวิต นับประสาอะไรกับโรคภัยเล็กๆน้อยๆแบบนี้กัน
“วิธีการนี้น่าจะไม่ได้ผลไม่ใช่เหรอ” ลูฉินหมิงได้มีความรู้สึกแบบนี้จนล้นออกมาจากใจจึงได้พูดออกมา
สิ่งที่เขารับรู้ได้ในตอนนี้เมื่อเห็นซูจิ้งหยิบตำราเล่มนี้ออกมาอ่านก็คือเขาอยากจะลองใช้ความรู้ทางการแพทย์ในตำราเล่มนี้ในการรักษาผู้ป่วยโรคALS
หากว่าเขาคิดจะล้อเล่นก็คงมากเกินไปแล้ว ความรู้ทางการแพทย์ในสมัยราชวงศ์ฮั่นจะสามารถรักษาโรคALSนี้ได้อย่างไร หากว่ารักษาได้จริงนั่นไม่ใช่ว่าความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันจะล้าหลังกว่าความรู้ในอดีตในหลายพันปีหรอกเหรอ
“หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่เปิดไปที่หน้าถัดไปของตำราแพทย์โบราณเล่มนี้ก่อนที่จะพูดออกมาอีกว่า “ในช่วงเวลานี้ของทุกวัน ผมจะขอเรียนรู้ความรู้เกี่ยวกับยาและเคสการรักษาต่างๆจากลุงลู่ และในขณะเดียวกันผมก็จะเรียนรู้ตำราแพทย์โบราณนี้ไปด้วยเช่นเดียวกัน
นั่นก็เป็นเพราะว่าต่อให้ความในสมัยนั้นเทคนิคการแพทย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์อาจจะล้าหลังกว่าการแพทย์สมัยปัจจุบันไปก็จริง
แต่ดูเหมือนว่าความรู้ด้านตัวยาและการรักษาจะลึกซึ้งและก้าวล้ำไปกว่ายุคปัจจุบันนะครับ หรือจะให้ผูดอีกอย่างก็คงจะเป็นเด่นกันไปคนละด้าน ผมคิดว่าการรักษาโรคALSนี้จำเป็นจะต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์ทั้งสองด้านนี้มาผนวกรวมด้วยกัน
และด้วยแนวคิดนี้ทำให้ผมเจอวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด แล้วก็ผมได้เตรียมยาพิเศษสำหรับการรักษาโรคนี้ไว้แล้ว แต่ประเด็นคือผมไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลแค่ไหน”
ลูฉินหมิงที่ได้ฟังคำพูดของซูจิ้งในตอนนี้ได้พยายามกดข่มความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะเริ่มศึกษาวิธีการรักษาอาการน้ำแข็งกัดจากตำราโบราณฉบับคัดลอก
แต่เมื่อเขาได้อ่านวิธีการรักษามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอ่านด้วยความรู้สึกตกใจ ตื่นเต้น เกรงกลัว จนในที่สุดเขาเองก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ซูจิ้งได้พูดออกมา และเขาเองก็ได้แนวคิดในการรักษาของตัวเองหลังจากได้อ่านตำราเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
ปัจจัยที่ทำให้ระบบสื่อประสาทได้รับความเสียหายนั้นมีด้วยกันหลายสาเหตุ ยกตัวอย่างเช่นกรรมพันธุ์ พิษจากโลหะหนัก หรือไม่ก็อาการป่วยอย่างอื่น
ในปัจจุบันนั้นได้เข้าใจกันว่าสาเหตุหลักๆที่ทำให้ระบบสื่อประสาทเกิดความเสียหายจะประกอบด้วย
- เกิดการสะสมของสารพิษที่ส่วนปลายของระบบสื่อประสาทจนขัดขวางกระบวนการสื่อสารระหว่างเซลล์ หากรู้ตัวช้าไปล่ะก็จะทำให้ส่วนปลายนี้จะเสียหายแบบถาวร
- เกิดจากรังสีไปทำลายเหยื่อหุ้มเซลล์ที่มีหน้าที่รับในระบบสื่อประสาท
- ระบบสื่อประสาทไม่ได้เติบโตเต็มที่ในระหว่างที่ร่างกายเติบโต ส่งผลให้ระบบไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
แต่ว่าก็ยังทฤษฎีต่างๆมากมายเกี่ยวกับสาเหตุของโรคALSนี้อีกมากมายและหลากหลาย จนในที่สุดแล้วก็ไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ตำราโบราณเล่มนี้กลับสามารถกล้าที่จะฟันธงในสาเหตุ วิธีการป้องกัน และวิธีการรักษา พร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดทั้งหมดไว้ได้อย่างละเอียดยิบ ซึ่งหากมองจากมุมมองทางการแพทย์ปัจจุบันแล้วก็ถือว่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง
ในที่สุดเมื่อลูฉินหมิงได้อ่านจบก็ได้ถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เป็นไปได้ นายสามารถลองรักษาโดยอาศัยตำรานี้เป็นหลักได้ ว่าแต่ ในเมื่อนายเตรียมยารักษาไว้แล้วแล้วนายจะให้ฉันช่วยอะไรล่ะนั่น”
“ความจริงคือตัวยาบางตัวในตำรานี้ผมไม่สามารถหาจากที่ไหนได้เลย ผมเลยเปลี่ยนตัวยาที่มีสรรพคุณคล้ายๆกันให้มากที่สุด
ถึงแม้ยานั้นจะสามารถสำเร็จได้ด้วยดีก็จริงแต่ผมไม่มั่นใจในผลการรักษา และนี่อาจจะต้องทำให้เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง
หากยานี้ได้ผลจริงแน่นอนว่ามันย่อมมีค่าอย่างมากต่อคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ และนี่ทำให้ยานี้ต้องไม่มีข้อผิดพลาดใดๆทั้งนั้น
ผมเลยอยากให้ลุงลูช่วยชี้แนะผมในระหว่างที่รักษานี้ว่ามีส่วนใดบ้างที่ไม่ถูกต้อง โดยลุงไม่ต้องเกรงใจใดๆทั้งสิ้นในการแย้งผม” ซูจิ้งพูดออกมา
“แน่นอน” ลูฉินหมิงพูดออกมาด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นอย่างที่สุดเมื่อนึกถึงเรื่องที่ว่าสามารถเป็นส่วนหนี่งในการรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้
เพียงนึกถึงเรื่องที่ว่าได้เป็นผู้ช่วยของซูจิ้งในการรักษาโรคALSได้เป็นคนแรกแล้ว นี่เขากลับรู้สึกเป็นเกียรติเสียมากกว่าด้วยซ้ำ
เมื่อทั้งสองต่างก็ตกลงเรื่องวิธีการรักษากันได้จึงได้เตรียมการที่จะรักษาผู้ป่วยALSเอาไว้ก่อน
ไม่กี่วันถัดมา หญิงสาวและชายหนุ่มที่เป็นลูกชายและลูกสาวของผู้ป่วยALSคนนั้นได้พาผู้ป่วยที่มีอาการALSอีกสองคนมาหาซูจิ้ง
ผู้ป่วยALSทั้งสองคนนี้ยินยอมที่จะเป็นผู้ป่วยทดลองการรักษาก่อนที่จะยอมให้พ่อของเขาเข้ารับการรักษา
ในช่วงที่พ่อของชายหนุ่มคนนี้เริ่มป่วยเป็นALS เขาก็ได้เข้ามาช่วยดูแลแทนจนทำให้ธุรกิจที่จากดิ่งเหวกลับมาจนเจริญรุ่งเรืองและทำให้มีอำนาจเงินมากพอที่จะเสนอการรักษาให้กับคนอื่นก่อนแบบนี้ได้
ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตส่งออกไปสำรวจทั้งสองคน และนี่เองเขาก็ได้รับรู้ความรู้สึกนึกคิดของชายสองคนนี้ด้วย ครอบครัวของพวกเขานั้นต้องประสบปัญหาไม่ต่างกับครอบครัวของเด็กหนุ่มผู้นี้
แต่ด้วยการที่ครอบครัวของชายสองคนนี้เป็นเพียงแค่คนธรรมดา ในตอนแรกที่รู้ว่าเขานั้นเป็นโรคALS พวกเขาก็คิดว่าเป็นเพียงโรคภัยไข้เจ็บธรรมดาเท่านั้น
คนที่รักษาพวกเขาได้รักษาไปตามอาการและไม่ได้มีท่าทีว่าจะหายเลยแม้แต่น้อย กว่าจะรู้ว่ามันคือโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย ครอบครัวของพวกเขาก็ผลาญเงินทองหมดไปกับการรักษาของพวกเขาจนแทบหมดสิ้น
จนในตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาแทบจะเรียกได้ว่าบ้านแตกสาแหรกขาด และพวกเขาต่างก็ถอดใจและเฝ้านับถอยหลังรอเวลาตายไปทั้งแบบนี้
แต่ชายหนุ่มคนนี้อยู่ๆก็ได้ก้าวเข้ามาและเสนอเงินให้พวกพวกเขาคนละหนึ่งแสนหยวนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเขา และบอกว่ามีวิธีการรักษา มีหรือที่เขาจะกล้าปฏิเสธ ต่อให้มีอะไรผิดพลาดจนตายไปในตอนนี้เขาก็ไม่ต้องมีอะไรห่วงอยู่แล้ว
เมื่อตรวจสอบร่างกายในเบื้องต้นเสร็จสิ้น ซูจิ้งได้นำสัญญาออกมาให้เซ็น โดยสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาเกี่ยวกับการไม่กล่าวโทษหากมีอะไรผิดพลาด หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็ได้เริ่มต้นการรักษาในทันที
ตอนนี้บริเวณพื้นที่ในโรงพยาบาลกังเฟิงส่วนนอกเหนือจากพื้นที่คลีนิกพิเศษนั้น ได้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาจับตามองคลีนิกพิเศษของซูจิ้งนี้เนื่องจากมีข่าวว่าซูจิ้งกำลังจะทดลองการรักษาผู้ป่วยโรคALS แน่นอยว่านอกจากจะเป็นที่สนใจแล้วยังมีอีกหลายคนที่ยังสบสันกับการกระทำของซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า พระเจ้า นี่เขาบ้าไปแล้วสินะ” หมอหลายๆคนในโรงพยาบาลฮัวกังจองหยุนต่างก็รู้สึกซูจิ้งจะได้ใจเกินไปแล้วในสิ่งที่เขานั้นกำลังกระทำอยู่ และตอนนี้พวกเขาได้เตรียมการเคลื่อนไหวต่อสิ่งที่ซูจิ้งทำกันอย่างลับๆ
พวกเขามั่นใจอย่างมากว่ากับโรคที่เป็นหนึ่งในห้าโรคร้ายระดับโลกที่ไม่มีทางรักษาหายนี้ซูจิ้งจะไปมีทางรักษาให้หายได้อย่างไร
“หลิวเว่ย เขาไม่มีทางรักษาโรคALSนั่นได้จริงๆหรอกใช่รึเปล่า โรคนั่นยังไงก็ไม่มีทางรักษาได้อยู่แล้ว” หมอคนหนึ่งหันไปถามหลิวเว่ย และนั่นทำให้หมอคนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆกันหันหน้าไปมองเป็นตาเดียว
“หึหึหึ ไม่รู้สินะ” หลิวเว่ยทำเพียงตอบมาสั้นๆพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อย ตัวเขาเองนั้นก็ไม่ได้รู้จักซูจิ้งดีมากมายอะไรนัก
แต่เขารู้เพียงว่าหากซูจิ้งสามารถรักษาโรคALSนี้ได้ล่ะก็ แน่นอนว่าจะต้องทำให้วงการแพทย์ต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะโรคALSนี้มันอยู่คนละระดับกับโรคอื่นๆที่ซูจิ้งเคยรักษามา
ด้วยการที่โรคนี้นั้นยากต่อการที่จะรักษาให้หายได้ นี่ทำให้เขารู้สึกได้เลยว่าซูจิ้งได้เตรียมไว้อย่างดีแล้วแน่นอน
“โคตรกล้า” หวังกังหยุนที่เห็นข่าวนี้ก็ได้อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นในทันทีที่เห็นข่าวนี้ ในขณะเดียวกันเขาเองก็เป็นกังวลแทนซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน
เขากลัวว่าชื่อเสียงของซูจิ้งที่สั่งสมมาอาจจะต้องเสียหายจากเคสรักษาในครั้งนี้ ยังไงซะในตอนนี้ซูจิ้งในฐานะหมอเทวดาก็ยังอยู่ในช่วงมรสุม
หากว่าเขาทำอะไรผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว สิ่งดีงามที่เขาได้ทำสั่งสมมาแน่นอนว่าจะล้มคืนไปในทันทีที่ผิดพลาด
หากถามเขาในตอนนี้นั้นแน่นอนว่าเขาต้องการให้ซูจิ้งดำเนินการรักษาอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าซูจิ้งจะรักษาสำเร็จหรือไม่ แน่นอนว่าย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการแพทย์ได้อย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่าฮ่า แกฆ่าตัวเองแท้ๆ” ทันทีที่ฉิวจิงเห็นข่าวนี้ก็ได้สบถออกมาพร้อมหัวเราะด้วยเสียงอันเต็มพลัง ตอนนี้เหล่าคนที่สนับสนุนและเป็นศัตรูของซูจิ้งต่างก็เริ่มรวมตัวกันเพราะเรื่องนี้
ไม่ว่าเขาจะออกมาแถลงข่าวหรือเพิกเฉยต่อสาธารณะชน ตอนนี้ยังไงซะผลที่ออกมาก็คือการฆ่าตัวตายชัดๆ นั่นก็เพราะไม่มีทางซูจิ้งจะสามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษานี้ได้ หากจะรักษาได้ก็คงจะเป็นเพียงแค่ในความฝันเท่านั้น
เมื่อใดที่เขาพลาด แน่นอนว่าจะเป็นโอกาสที่จะบังคับให้ซูจิ้งลดราคาคลีนิพิเศษลง นี่คือสิ่งที่ฉิวจิงคิดอยู่จนเต็มหัวสมอง