Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ - ตอนที่ 988
GGS:บทที่ 988 งานวิจัย
“กลายเป็นว่าสถาบันแห่งใหม่นี้ตั้งอยู่ในสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯอีกทีหนึ่งสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาในขณะที่หวังจ้าว กำลังเดินตามเฉิงหนาน และซูจิ้ง เข้าไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของซูจิ้ง
“ใช่แล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือเป็นพื้นที่เก็บผลงานวิจัยน่ะ” ซูจิ้งเองนั้นเขาไม่ได้มีความคิดที่จะวิจัยเรื่องอื่นเลยแต่อย่างใด
แต่เขาต้องการสถานที่ที่มั่นคงและปลอดภัยในการเก็บงานวิจัยของเขามากกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ต้องจะเป็นไปหาที่ตั้งที่อื่น แล้วมานั่งวางระบบป้องกันใหม่แต่อย่างใด
“ทางนี้” ซูจิ้งพูดออกมา
“ทำไมนายไม่พาฉันไปดูส่วนวิจัยปฏิสสารล่ะ ฉันยังไม่เคยเห็นเลยนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยทางทีสงสัย
“ก็มันยังไม่ไปถึงไหนเลยน่ะสิ แถมขั้นตอนยังโคตรน่าเบื่อ แถมยังมีเรื่องรังสีอีก ฉันกลัวนายจะพลาดท่าโดนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“อ้อ งั้นไม่เป็นไรดีกว่า” เพียงได้ยินเรื่องรังสี หวังจ้าวก็หมดความสนใจในเรื่องปฏิสสารในทันที พวกเขานั้นได้เข้ามาในห้องทดลองห้องหนึ่ง หากมองจากภายนอกแล้วก็คงคิดว่าเป็นตึกสำนักงานธรรมดา
แต่เมื่หวังจ้าวได้เข้าไปก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจอย่างมาก เพราะบรรยากาศข้างในนั้นมันช่างดูหรูหราและล้ำยุค
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่เป็นเพราะการตกแต่งแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะเครื่องมือที่มันดูล้ำสมัยชนิดที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ในห้องมีนักวิจัยหลายๆคนกำลังทำงานโดยใช้อุปกรณ์กันอย่างขะมักเขม้นและไม่ได้สนใจการมาถึงของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ถึงจะมีบางคนเห็นบ้างแล้วแต่ก็ทำเพียงพยักหน้าให้กันเท่านั้นแล้วก็หันไปตั้งใจทำงานต่อไปโดยไม่ได้มีท่าทีจะเข้ามาทักทายอย่างกระตือรือร้นอย่างที่อื่นเขาทำกัน
“ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญของจริงเลยแหะ ตอนนี้พวกเขากำลังวิจัยอะไรกันอยู่ล่ะ” หวังจ้าวได้ถามออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงหนานก็ทำเพียงแต่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าคนพวกนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญ แต่เป็นระดับหัวกะทิของประเทศเลยทีเดียว
ขนาดเธอเองก็ยังไม่รู้เลยว่าซูจิ้งนั้นไปทำอีท่าไหนถึงได้สามารถดึงตัวคนพวกนี้มาร่วมงานด้วยได้ แต่ที่แน่ๆคือเธอรู้ดีว่าซูจิ้งต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ให้คนพวกนี้มาร่วมงาน
นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ซูจิ้งจะเป็นบุคคลที่เปรียบได้ดั่งพระเจ้า แต่คนพวกนี้เองก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆเช่นเดียวกัน คนประเภทนี้ไม่มีทางที่จะยอมทำงานให้ซูจิ้งโดยไม่ขัดข้องอะไรอย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องของสิ่งที่เขากำลังวิจัยกันอยู่นั้น ตอนแรกที่เธอเห็นเองก็ตกใจอย่างมาก และไม่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกเลยว่าซูจิ้งนั้นได้ของสิ่งนี้มาจากไหนกันแน่
แต่เธอรู้เพียงว่าหากของสิ่งนี้สามารถวิจัยได้สำเร็จล่ะก็จะต้องสร้างโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
“ตอนนี้หลักๆแล้วเรากำลังวิจัยในสองเรื่องน่ะ ลองไปดูชิ้นแรกก่อน” ซูจิ้งพูดก่อนที่จะนำหวังจ้าวเข้าไปในห้องหนึ่ง ในนั้นมีลิงอุรังอุตังอยุ่
มือขวาของมันนั้นดูมันวาวเรากับเหล็ก และกำลังถูกนักวิจัยมะรุมมะตุ้มคอยยื่นกล้วยล่อไว้ในที่สูงๆหลอกล่อให้อุรังอุตังตัวนี้เอาไว้ และอุรังอุตังเองก็พยายามที่จะปีนป่ายไปเอากล้วยนั้น
ตอนแหลกหวังจ้าวก็ดูไม่ออกหรอกว่าตอนนี้ซูจิ้งกำลังวิจัยเรื่องอะไรกันแน่ แต่ในทันทีที่อุรังอุตังตัวนี้เริ่มปีนป่ายนั้น
นั่นก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าแขนของมันข้างหนึ่งไม่ใช่แค่มันดูดำวาวราวกับเหล็กเท่านั้น แต่มันคือโลหะทั้งแขน
และแขนนี้ต้องทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากนั่นก็เพราะแขนข้างนี้มันช่างยืดหยุ่นได้ดีเกินกว่าจะเป็นแขนเทียมทั่วไป
ขยับได้แม้แต่ไปนิ้วที่พลิ้วไหวดูเป็นธรรมชาติราวกับแขนจริงๆเห็นได้ชัดในตอนที่อุรังอุตังตัวนี้ปีนป่าย
“พระเจ้า นี่คือแขนเทียมจริงๆเหรอ” หวังจ้าวอุทานออกมา
“มันเรียกว่าระบบประสาทเทียมน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ระบบประสาทเทียมนี่มันก้าวหน้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตกใจ ถึงแม้เขาจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าระบบประสาทเทียมคืออะไรก็ตาม
แต่ยังซะเขานั้นก็ยังมีสามัญสำนึกอยู่ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าหากมีสิ่งนี้อยู่จริงล่ะก็ต้องเป็นข่าวใหญ่ขึ้นมาอย่างแน่นอน
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องระบบประสาทเทียมนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด สถาบันวิจัยของสถาบันป้องกันประเทศของสหรัฐได้วิจัยเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว
แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่ามันนานมากแค่ไหน แต่ในตอนนี้ระบบประสาทดังกล่าวยังอยู่ในระดับต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมด้วยมืออยู่เลย มันไม่เหมือนกับของซูจิ้ง
อย่างดีที่สุดที่เขาเคยเห็นก็เป็นระบบประสาทเทียมที่ใช้ระบบไฮดรอริกส์ร่วมกับอุปกรณ์ควบคุมที่ต่อเพื่อตรวจจับการขยับของกล้ามเนื้อบางส่วนเท่านั้น
ถ้าจะให้อธิบายออกมาก็คือเป้าหมายของการศึกษาวิจัยระบบประสาทเทียมที่วาดหวังกันไว้นั้นช่างยากที่จะสำเร็จ
เพราะระบบประสาทที่คาดหวังกันนั้นไม่เพียงจะต้องเลียนแบบการเคลื่อนไหวได้จนถึงปลายนิ้วเท่านั้น
แต่ระบบประสาทเทียมที่คาดหวังยังต้องรับรู้ความรู้สึกจากปลายนิ้วส่งกลับไปยังสมองได้อีกด้วยย
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจะต้องเป็นแขนเทียมที่แม้แต่หลับตาก็ยังต้องรู้สึกในสิ่งที่สัมผัสและบังคับให้มือข้างนั้นจับต้องสิ่งของได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งต้องรับรู้ถึงสภาพ รูปร่าง รูปทรง อุณหภูมิ อย่างครบถ้วน
อย่างไรก็ตอบ เท่าที่เขารู้มานั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเองระบบอวัยวะเทียมนี้ที่เขาได้ยินข่าวมานั้น
มีนักวิจัยที่ชื่อไมก้าได้สร้างความร่วมมือระหว่างสถาบันลอเซนน่าแห่งสวิสเซอร์แลนด์และทีมวิจัยจากอิตาลี พวกเขาได้สามารถสร้างอวัยวะเทียมขึ้นมาได้จริง แต่ผลลัพธ์ยังห่างไกลจากที่หวังมากนัก
แต่ต่อหน้าของหวังจ้าวในตอนนี้คือลิงอุรังอุตังที่ใส่อวัยวะเทียมที่สูงล้ำกว่าที่มีการคาดหวังไว้อย่างแน่นอน
หากเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าสิ่งนี้หลุดรอดออกไปยังโลกภายนอกล่ะก็ แน่นอนว่าต้องสร้างความประหลาดใจให้นักวิจัยทั่วโลกอย่างแน่นอน สิ่งนี้บอกเลยว่าล้ำหน้าเกินกว่าที่คนพวกนั้นจะตามทันได้
“แกรกๆๆๆๆๆ” ในขณะที่อุรังอุตังที่สวมใส่แขนเทียมกำลังปีนป่ายอยู่นั้น อยู่ๆแขนเทียมของมันก็ดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปในทันที มันดูราวกับคนเมาที่ขยับไปหาเป้าหมายได้แต่ไม่สามารถหยิบหรือจับอะไรได้เลยสักอย่าง
“….มันเป็นอะไรน่ะ” หวังจ้าวที่เห็นก็ได้ถามออกมา
“ระบบประสาทยังเชื่อมต่อได้ไม่เสถียรน่ะ จึงทำให้เวลาใช้งานก็จะมีปัญหาแบบนี้อยู่บ้าง แต่ว่าพวกเขาเพิ่งจบพบสาเหตุของปัญหาเมื่อไม่นานมานี้เอง อีกไม่นานก็คงจะใช้ได้จริงๆแล้วล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แค่เพียงเจ้านี่….” หวังจ้าวในตอนนี้ได้ตื่นเต้นอย่างที่สุดจนหลุดปากออกมาเพราะนี่เองก็เป็นสุดยอดแห่งโอกาสทางธุรกิจของบริษัท แต่ก่อนที่เขาจะพูดได้ยังไม่ถึงครึ่งประโยค ซูจิ้งก็ได้แทรกขึ้นมาก่อนว่า
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปสิ ตามมานี่ก่อน” ซูจิ้งขวางการแสดงท่าทีตกตะลึงของหวังจ้าวไว้แล้วพาเขาไปอีกห้องหนึ่ง
ในห้องนั้นมีนักวิจัยอยู่เพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้น และพวกเขาเหมือนจะนั่งสร้างโปรแกรมอะไรบางอย่างบนโต๊ะกันอยู่
“หัวหน้า” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่สวมแว่นหนาเตะเมื่อเห็นซูจิ้งก็ได้ออกมาต้อนรับ
“ผลลัพท์เป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งได้ถามออกมา
“นี่ครับ” ชายวัยกลางคนได้ส่งโทรศัพท์มือถือให้กับซูจิ้ง หวังจ้าวมองไม่เห็นยี่ห้อว่าโทรศัพท์นี้ยี่ห้ออะไร แถมรูปลักษณ์ภายนอกก็ยังดูธรรมดามากๆ
หลังจากซูจิ้งเปิดมันด้วยลายนิ้วมือแล้ว เขาก็ได้ยื่นโทรศัพท์ให้หวังจ้าวแล้วพูดขึ้นมาว่า “ลองเล่นดูสิ”
หลังจากหวังจ้าวรับโทรศัพท์นี้มา เขาก็ได้ลองเล่นนู่นเล่นนี่เหมือนตอนคนที่กำลังลองเครื่องใหม่ทั่วๆไป
ครั้งแรกที่ใช้นั้นเขารู้สึกได้ในทันทีว่าโทรศัพท์เครื่องนี้นั้นตอบสนองได้เร็วมาก รวดเร็วพอๆกับเครื่องแอปเปิ้ลได้เลย
เขายังลองทดสอบเครื่องโดยการเปิดหลายๆแอพฯพร้อมๆกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะทำอะไรมันไม่ได้เลยสักนิด ต่อให้เปิดเกมทิ้งไว้มากมายขนาดไหนก็ไม่มีท่าทีกระตุกหรือช้าเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะที่นี้ลองใช้ระบบจัดการด้วยเสียงดูสิ ตอนนี้ฉันเรียกเจ้านี่ว่า ฟรอก (กบ)น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฟรอกเหรอ?” หวังจ้าวที่ได้ยินดังนั้นก็อดพูดออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ แต่ในทันนั้นเอง โทรศัพท์ก็มีการตอบสนองโดยสร้างเสียงกริ่งมาหนึ่งทีก่อนที่จะมีเสียงผู้หญิงสาวพูดออกมาว่า “เจ้านายต้องการอะไรคะ”
“เหมือนศิริของแอปเปิ้ลสินะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ลองดูไปก่อนน่า” ซูจิ้งพูดออกมา
หวังเจ้าได้ยิงคำถามต่างๆไปเหมือนกับตอนที่เขาใช้โทรศัพท์ของแอปเปิ้ล เขาทำแม้แต่การจีบฟรอก(ระบบจัดการอัจฉริยะ)นี้ด้วยซ้ำ
แต่หลังจากที่เขาลองจีบดูก็พบว่าระบบนี้ไม่เหมือนกับระบบที่เรียกว่าศิริอีกต่อไป ตอนนี้หน้าตาของเขามีแต่ตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ระบบจัดการด้วยเสียงตัวนี้เหนือล้ำกว่าศิริมากนัก สำหรับศิรินั้น เขาเองก็คิดว่ามันนั้นเหนือล้ำมากแล้ว แต่ตอนคุยกับมันนั้นก็ยังให้ความรู้สึกเป็นเพียงโปรแกรมธรรมดาเท่านั้นเอง
แต่กับระบบจัดการด้วยเสียงที่ชื่อว่าฟรอกนี้ เขารู้สึกเหมิอนกับว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับคนๆหนึ่งเลย ไม่ว่าเขาจะพูดออกมาด้วยเสียงจีนแบบไหนก็ตาม ระบบจะทำการเทียบเคียงและตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่ผิดเพี้ยน
ไม่ว่าจะถามมันด้วยคำถามที่ยียวนกวนประสาทแค่ไหนมันก็ยังตอบโต้ได้อย่างฉับไว และไม่ว่าจะสั่งระบบนี้เร็วขนาดไหน มันก็ยังสามารถทำตามได้อย่างฉับไวและถูกต้อง
“โทรศัพท์นี่จะทำให้เจ้าตลาดพวกนั้นต้องไม่คิดไม่ตกอย่างแน่นอน” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“เครื่องนี้ยังเป็นแค่ตัวทดลองเท่านั้นล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะพูดต่อว่า
“ว่าไง นายยังคิดว่าการทุ่มทุนในสถาบันวิจัยของฉันนี่มันเป็นการผลาญเงินอยู่อีกรึเปล่า”
“ห้ะ ผลาญเงิน นายพูดอะไรออกมาเนี่ย ผลาญเผลิญอะไรก๊าน ฮ่าฮ่าฮ่า เอาน่า เรื่องนิดๆหน่อยๆเอง เซ้าซี้มากเดี๋ยวส่งไปสวรรค์หาย” หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยคำพูดเชิงหยอกเย้าแก้เขินออกมา และนี่ทำให้เขาตัดสินใจได้แล้วว่าต่อแต่นี้จะไม่ห้ามปรามซูจิ้งในการลงเงินในสถาบันวิจัยแหงนี้อีกต่อไป
ไม่ต้องสงสัยเลยว่างานวิจัยของซูจิ้งนี้ เขานั้นก้าวล้ำกว่าใครในโลกไปมากแล้ว ตราบใดที่เขายังคอยสนับสนุนซูจิ้งล่ะก็ แน่นอนว่าเขานั้นสามารถนั่งกินนอนกินไปได้จนวันตายได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างพอใจ เพียงแค่งานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้ก็ทำให้เขานั้นไม่ต้องกังวลเรื่องที่เขาเอาเงินมาผลาญไปกับสถาบันวิจัยแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว
แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าของผลงานได้อยู่ดี นั่นก็เพราะว่าเทคโนโลยีแขนเทียมที่อยู่ๆก็ก้าวล้ำกว่าใครนี้
เขานั้นได้มาจากขยะห้วงเวลาฯโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษที่เขานึกว่ามันเป็นเพียงหุ่นยนต์ธรรมดาเลยเอามาไว้ให้ศึกษา
แต่ด้วยการที่พวกเขานั้นไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมและเครื่องมือทางด้านนี้เลยจำเป็นที่จะต้องสร้างห้องวิจัยขึ้นมาอีกตึกหนึ่ง
ในส่วนของโทรศัพท์สุดล้ำเครื่องนี้ เขานั้นได้ใช้ชิปจากหุ่นยนต์ที่เขาได้จากขยะห้วงเวลาฯWall-Eที่เขาให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมดู
นี่ทำให้เขานั้นไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหุ่นนี่จะจากเขาไปอีก แต่เขาก็กลัวว่าคนอื่นที่เห็นจะตกใจเกินไปจึงเลือกจะเอามาแค่ชิปบางส่วนเท่านั้น
ด้วยการที่ระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่างๆที่ติดตั้งเอาไว้ในหุ่นนี่มันก้าวล้ำโลกตอนนี้ไปไกลมากจนเขารู้สึกเสียดายที่จะให้อยู่ในหุ่นยนต์ทำความสามารถตัวนี้เฉยๆ
เขาก็เลยลองดึงโค๊ดคำสั่งต่างๆออกมาแล้วให้นักวิจัยของเขายัดใส่ในโทรศัพท์ก็เท่านั้นเอง