Gate of God - ตอนที่ 499-500
ตอนที่ 499 ฤดูหนาวมาเยือน
สามสัปดาห์ต่อมา…
ฤดูหนาวของอาณาจักรเซี่ยได้มาถึง
หิมะปกคลุมเมืองโบราณจนทั้งเมืองกลายเป็นสีขาว
สายลมพัดแรง
ชาวเมืองมากมายยืนอยู่หน้าประตูเข้าวังพวกเขาสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้นและยืนรอด้านหน้า
รัฐมนตรีฝ่ายซ้ายยู่ ยี่ปิง ยืนอยู่ด้านหน้า เหล่าเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ด้านข้างผู้เข้าร่วมทุกคนต่างมองไปที่พวกเขา
หิมะโปรยปรายต่อเนื่องเกล็ดนำแข็งเกราะติดไหล่บ่า แต่พวกเขาก็ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
พวกเขาทั้งหมดกำลังรอ…
พวกเขากำลังรอผลการทดสอบระดับสภา!
ตามปกติแล้วเพียงแค่ผลการทดสอบด้านปัญญายังไม่เพียงพอ ผลการทดสอบการต่อสู้จะเป็นที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม…
นี่เป็นกรณียกเว้น
ไม่มีใครรู้ผลการทดสอบระดับสภาไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นที่หนึ่ง
จากนั้นประตูก็เปิดออก
สายลมอันอบอุ่นพัดออกมาจากด้านในขณะเดียวกันเหล่าเจ้าหน้าที่และผู้เข้าร่วมต่างอยู่ในความเครียด พวกเขาเหยียดหลังและลดระดับศีรษะ อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งหมดมองไปที่ประตู
ไม่มีแม้แต่รัฐมนตรีกรมหรือหัวหน้าโรงเรียนหลวงนั่นหมายความว่าองค์จักรพรรดิหรือไม่ก็รัฐมนตรีฝ่ายซ้ายจะเป็นผู้ประกาศผลการทดสอบ
อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปิดประตูก็ตามยังไม่มีวี่แววของจักรพรรดิหลิน มู่ไป่
ขณะนั้นเองทหารในชุดเกราะสีทองทั้งแปดคนยืนอยู่ที่ประตู
พวกเขาแต่ละคนถือศิลาไว้ในมือด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมมันคือศิลาผลลัพธ์
”พวกเขาจะประกาศผลงั้นหรือ?”
ผู้เข้าร่วมและเจ้าหน้าที่ต่างมองไปที่พวกเขาแต่ก็ไม่พูดอะไรอย่างไรก็ตามเกิดความคิดเดียวกันในใจ
หอพิพากษาเป็นสถานที่จักรพรรดิจัดพิธีขึ้นครองบัลลังก์
และเป็นสถานที่ประกาศผลการทดสอบระดับสภาหลังจากประกาศผลทุกครั้งจะมีศิลาที่จารึกชื่อของผู้เข้าร่วมเอาไว้ในด้วยทองคำ
นี่คือความสำคัญของการทดสอบระดับสภา
อย่างไรก็ตาม…
ตามปกติแล้วผลการทดสอบระดับสภาจะถูกประกาศออกมาก่อนที่ศิลาจะถูกเปิดเผยต่อผู้คนอย่างไรก็ตามดูเหมือนครั้งนี้จะต่างออกไป
แผ่นศิลากำลังถูกนำออกมา
ทั้งเจ้าหน้าที่และผู้เข้าร่วมพูดสายลมที่เย็นเยือกทำให้พวกเขาเสียวสันหลัง
เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นของทหารทั้งแปดคนดังขึ้นหิมะปกคลุมหนาทั่วพื้น
แต่พวกเขาก็ไม่ลังเล
พวกเขาหยุดชะงักพวกเขาหยุดที่ประตูหอและวางศิลาลงบนพื้น
”ประกาศ!”
เสียงดังกระหึ่มดังออกมาจากด้านในหอพิพากษาทุกคนสามารถได้ยินมัน
ข้อความถูกถ่ายทอดไปตลอดทางจนถึงทางเข้า
”ประกาศ!”
”ประกาศ!่
”…”
เสียงสะท้อนดังไปจนถึงปากทางเข้าวัง
เมืองที่ปกติคึกคักไปด้วยกิจกรรมแต่ตอนนี้
ทุกๆคนตั้งแต่พ่อค้าไปจนถึงเหล่าทหารต่างหยุดนิ่งในสิ่งที่กำลังทำ
ชื่อสีทองถูกเปิดเผยมีเพียงสิบรายชื่อที่อยู่บนศิลา
”ข้ามีชื่ออยู่บนศิลา!”เสียงที่ตื่นเต้นดังขึ้น
”ข้าด้วย!”ผู้เข้าร่วมคนอื่นต่างส่งเสียงการมีชื่อบนศิลาถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง
จากนั้นมีเสียงที่สามจากนั้นเสียงที่สี่ …
”หนานกงเฮา เป็นอันดับหนึ่ง”
”แน่นอน!หนานกง เฮา พยายามอย่างมากในดินแดนภูเขาทางใต้ และได้ลงนามในสนธิสัญญาความสันติเป็นเวลาสิบปี มันแน่นอนอยู่แล้วที่เขาจะได้เป็นอันดับแรก”
”ก็ใช่แต่ว่า …ทำไม เหยียน ซิว ถึงได้อันดับสาม?”
ผู้เข้าร่วมมองดูแถวบนสุดของศิลาชื่อของหนานกง เฮา ถูกจารึกไว้อย่างชัดเจน
”ไม่ใช่นั่นมีเพียงแค่เก้าชื่อเท่านั้น!”
”เก้า?!”
”ดูสิชื่อของหนานกง เฮา ไม่ได้อยู่ตรงกลาง!”
”ไม่ได้อยู่ตรงกลาง?!”
”ใช่ต้องมีชื่อใครอยู่ข้างๆเขาด้วยแน่นอน..”
”เจ้ากำลังพูดว่าฟาง เจิ้งจือ… ”
เมื่อผู้เข้าสอบเห็นการจัดอันดับชื่อของหนานกง เฮา และล่างลงมาเป็น เหยียน ซิว พวกเขาก็เห็นความผิดปกติได้ทันที อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาพูดถึง ฟาง เจิ้งจือ พวกเขาทั้งหมดก็เงียบลง
”ผลลัพธ์ออกมาแล้วผู้ที่ได้สามอันดับแรกจะมีโอกาสสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ได้ หนานกง เฮา เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่?”เสียงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งดังขึ้น ไม่มีใครสนใจเสียงพูดคุยด้านล่าง
”ข้าจะเข้าร่วม!”ร่างสีขาวโดดเด่นจากฝูงคนดวงตาของเขาเป็นประกาย
”ใช่แล้วมันเป็นเกียรติอย่างมากต่อตระกูลหนานกงและอาณาจักรเซี่ย ที่จะให้ท่านเป็นตัวแทนของพวกเราในการคัดเลือก!”ร่างหนึ่งตอบกลับ
ผู้เข้าร่วมทุกคนต่างอิจฉาในโอกาสนั้นศาลาเต๋าสวรรค์ที่คือสถานที่ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการฝึกฝน
”นายน้อยหนานกงต้องผ่านแน่นอน!”
”มันเป็นสิ่งที่เจ้าควรได้รับที่จริงเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกได้ตั้งแต่สี่ปีที่ผ่านมาแล้ว มันคงเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับเจ้าในตอนนี้”
”ขอแสดงความยินดีด้วย!”
ผู้เข้าสอบต่างยินดีกับหนานกง เฮา
หนานกงเฮา โค้งคำนับให้พวกเขา ก่อนจะหันหน้ากลับไปหาฝูงชนด้วยความสงบเช่นเคย
ก่อนที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจะถามออกมา
”เหยียนซิว เจ้าต้องการเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสรรค์หรือไม่?”
”ทำไมบนแผ่นหินถึงไม่มีชื่อของฟาง เจิ้งจือ! ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคน หน้าตาของเขาซีดเซียว เห็นได้ชัดว่าเขายังคงไม่ฟืนตัวจากอาการบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตามเขายังเดินตัวตรงได้อย่างไม่มีปัญหาชายเสื้อของเขาพัดไปตามสายลม
ชื่อของเขา…
เหยียนซิว!
”เหยียนซิว ข้าถามเจ้านะ?!” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตะโกนขึ้นมา
”ข้าถามว่าทำไมถึงไม่มีชื่อของฟาง เจิ้งจือ ที่แผ่นหิน?!” เหยียน ซิว เพิกเฉยต่อเสียงของเจ้าหน้าที่ เขาทอดสายตาไปด้านในของหอพิพากษา
”เหยียนซิว ที่นี่คือหอพิพากษา ระวังกริยามารยาทด้วย!” เสียงของรัฐมนตรีกรมกฎหมายดังขึ้น เขาจะไม่ยอมทนพฤติกรรมเช่นนี้
”ทำไมไม่มีชื่อของฟาง เจิ้งจือ?!” เหยียน ซิว ถามด้วยความมุ่งมั่น
”เหยียนซิว!” เสียงของรัฐมนตรีฝ่ายซ้าย ยู่ ยี่ปิง ดังขึ้น เสื้อสีแดงของเขาพัดไปตามสายลม
”ตามกฎของการทดสอบการทดสอบต่อสู้ได้จบลงก่อนที่จะมีสงครามแดนใต้ ตอนนั้น ฟาง เจิ้งจือ ควบคุมทหารไว้เกือบห้าหมื่น ผู้เข้าสอบตอนนั้นเหลือแค่ หนานกง เฮา และ ฟาง เจิ้งจือ เขาควรมีชื่อบนแผ่นหินนั่น!” เหยียน ซิว พูดออกมา
”คนทรยศสมควรที่จะถูกจัดอันดับงั้นรึ?”
”เขาล่วงละเมิดองค์หญิงแดนใต้!นั่นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้!เขาจะยังเหลือเกียรติอะไรอีก? นอกจากนี้เขายังก่อกบฎโดยการฆ่า ฉาน หลิง และทำร้ายองค์รัชทายาท ดีแล้วที่องค์จักรพรรดิไม่สั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรเขา เจ้าต้องการอะไรอีก?”
”เหยียนซิว เจ้าต่างจาก ฟาง เจิ้งจือ เจ้ามาจากตระกูลชั้นสูง ตอนนี้เจ้าควรใช้โอกาสเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ ไม่ใช่มาพูดเพื่อช่วยเหลือพวกกบฎ!”
เจ้าหน้าที่ทั้งหมดต่างไม่พอใจ
”เหอะ!ข้าถามเพียงแค่ว่าทำไมถึงไม่มีชื่อ ฟาง เจิ้งจือ อยู่บนนั้น!” เหยียน ซิว กำหมัดแน่น
”เหยียนซิว เจ้า… ” เจ้าหน้าที่ทุกคนไม่สามารถหาคำเพื่ออธิบายความโกรธของพวกเขาได้
พวกเขาไม่เคยคิดว่าเหยียน ซิว จะกล้ามีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่ทั้งหมด
เพียงแค่เพราะ
ฟางเจิ้งจือ
”เอี้ยด!”ทันใดนั้นประตูหอพิพากษาได้เปิดออก
เสียงฝีเท้าเหยีบย่ำพื้นหิมะดังขึ้นมา
ผู้เข้าสอบและเจ้าหน้าที่ต่างคุกเข่าลงทันที
”ทรงพระเจริญ!”พวกเขาพูดออกมาอย่างพร้อมเพียง
องค์จักรพรรดิมองไปยังเด็กหนุ่มคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่
”เจ้าถามว่าทำไมไม่มีชื่อฟาง เจิ้งจือ บนแผ่นหิน?” องค์จักรพรรดิพูดด้วยความสงบ แต่น้ำเสียงของเขาแฝงไปด้วยอันตราย
”ใช่!”เสียงของ เหยียน ซิว ก็เย็นเยียบพอกัน
”เอาล่ะข้าได้เหลือที่ไว้ให้ชื่อเขา ตราบใดที่เขาพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ชื่อของเขาจะปรากฎขึ้นบนนั้น เป็นคำตอบที่พอใจหรือไม่?” ” องค์จักรพรรดิขมวดคิ้ว
”ฝ่าบาทโปรดใจเย็น!”
เจ้าหน้าที่ทุกคนตะลึงเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้
เหยียนซิว ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขามองไปที่องค์จักรพรรดิและหันไปมองที่ว่างเว้นไว้ด้านข้างชื่อของ หนานกง เฮา
”เหยียนซิว องค์จักรพรรดิทรงถามเจ้า เจ้าต้องตอบคำถามของพวกเราแล้ว เจ้าจะเข้าร่วมการคัดเลือกหรือไม่?” เสียงของขันทีเว่ย ดังขึ้น
”ข้าจะเข้าร่วมเมื่อชื่อของฟาง เจิ้งจือ ปรากกฎบนนั้น!” เหยียน ซิว คุกเข่าลง
อย่างไรก็ตามเขายืนขึ้นอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็หันหลังเดินไปที่ทางออกโดยไม่ลังเล
”เรื่องนี้…”
”เขาบ้าไปแล้ว!”
”ฝ่าบาทพวกเราควร… ”
เจ้าหน้าที่ต่างหันไปมององค์จักรพรรดิ
”ปล่อยเขาไป!”องค์จักรพรรดิโบกมือก่อนจะเดินกลับเข้าไปในหอพิพากษา
…
…..
ฤดูใบไม้ผลิหนึ่งปีต่อมา
ณที่พักหนึ่งอันเงียบสงบในอาณาจักรเซี่ย…
ดอกไม้กำลังเบ่งบานและมีกลิ่นหอม
หญิงสาวนางหนึ่งกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน,ผิวขาวของนางเปล่งประกายสะท้อนแสงของดวงอาทิตย์ คิ้วของเรียวบาง แต่คมเข้ม
กลางหน้าผากของนางมีรอยสีแดงราวกับจุดสีแดงท่ามกลางทะเลสีขาว นางเป็นคนที่งดงามมาก
นางมองไปที่ทะเลสาบขณะเดินเล่นไปรอบๆ
ทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกบัวแต่มีเพียงไม่กี่ดอกที่เบ่งบาน
”ทำไมพวกเขายังไม่ออกมาอีกหรือจะติดอยู่ที่ประตู?” เสียงของนางดังขึ้นเจือไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
เพจหลัก: Gate of god TH
ตอนที่ 500 เดินเล่น
…
เมืองเงาเลือดช่างเป็นชื่อที่เหมาะสมมาก มันได้ชื่อนี้เพราะรูปแบบเมือง
โดยทั่วไปเมืองจะมีประตูสี่ด้านและเชื่อโยงทั่วเมืองด้วยกำแพง
อย่างไรก็ตามเมืองนี้ต่างออกไป
มันเป็นป้อมปราการที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล ใครก็ตามที่เห็นมันควรจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง
แต่…
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมืองเขาดูแตกต่างจากที่นี่เป็นอย่างมาก เขาสวมชุดแขนยาวสีน้ำเงิน
เขาดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ความเป็นจริงใครเห็นที่นี่ย่อมรู้สึกตกตะลึงทั้งนั้นป้อมปราการโบราณนี้ครอบคลุ่มทั่วทั้งภูเขา
เป็นวงกลม…
กำแพงตั้งอยู่บริเวณตีนเขาล้อมรอบทั้งภูเขาและเมืองเอาไว้
ถัดออกไปประมาณหนึ่งกิโลมีกำแพงอีกอันล้อมอยู่ อย่างไรก็ตามกำแพงรอบนอกสูงกว่ากำแพงด้านในเกือบสองเมตร
แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด…
ยังมีกำแพงถัดออกมาอีกเรื่อยๆแต่ละชั้นที่ห่างออกไป กำแพงจะเพิ่มความสูงขึ้นสองเมตร
”ยิ่งใหญ่มาก!”เด็กหนุ่มคนนั้นมองพร้อมอ้าปากค้าง
ไม่แปลกใจที่เรียกเมืองนี้ว่าเมืองเงาเลือด
เขามองไปยังธงสีแดงที่อยู่ตรงกลางต้นไม้แต่ละต้นเขารู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางทะเลสีแดง
แน่นอนสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือเขายืนอยู่บนแผนเป็น
มันทอดยาวจากกำแพงชั้นนอกสุดมาถึงชั้นใจกลาง
เขาสับสนเล็กน้อยเมื่อมองไปยังรอยนี้
มันได้รับการซ่อมแซมอย่างชัดเจนแต่ …
เหมือนทำเสร็จแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้นมันไม่ยากที่จะซ่อมให้เสร็จ
แต่รอยแตกยังคงปรากฎให้เห็นอยู่
มันเป็นจุดดึงดูดความสนใจมาก
”คงเอาไว้เตือนใจสำหรับคนรุ่นใหม่…” เด็กหนุ่มคิดกับตัวเองเขาสามารถยืนยันบางสิ่งได้
คือเมืองนี้ตั้งอยู่บนภูเขามันไม่ได้สูงแต่ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ มีประตูสี่บานที่ผนังชั้นนอกสุด
ชั้นที่สองก็มีสี่ประตู
อย่างไรก็ตาม
มันไม่ได้ตรงกับประตูในชั้นแรกมันทำให้คนที่จะเข้าเมืองเสียเวลามาก
มันไม่สะดวกอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามมันเป็นการป้องกันที่ยอดเยี่ยม!
การป้องกันเมืองนั้นมีสองส่วนอย่างแรกแบ่งแยกตามเผ่าพันธ์ุ เผ่าพันธุ์ที่ต่างกันจะเข้าประตูในทางที่ต่างกัน
แน่นอนว่าพวกเขาแบ่งแยกโดยชนชั้นด้วย
อย่างที่สองคือจะมีเวทมนต์ฝังอยู่ที่กำแพงกันผู้บุกรุก
มันทำให้การเข้าเมืองเป็นไปได้ยากไม่เพียงแต่ต้องทำตามกฏเท่านั้น ยังต้องผ่านทหารยามแต่ละประตูไปให้ได้ด้วย
ไม่น่าแปลกใจเลย…
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการเข้าไปผ่านรอยแตก
ขณะที่เขากำลังคิดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้วยความตกใจ
”หยุดหันมาช้าๆ!”
ทหารปีศาจตกใจมากที่เห็นเด็กหนุ่มอยู่บนกำแพงเพื่อชมทิวทัศน์
เขามาจากที่ไหน?มาเที่ยวเล่นงั้นรึ?
เขาไม่รู้กฏของเมืองเงาเลือดหรือ?
ทหารปีศาจจับหอกแน่นเขาไม่ได้โจมตีทันที เพราะชายผู้นั้นดูผ่อนคลายมาก ราวกับเขาอยู่บ้าน
มันทำให้พวกปีศาจระมัดระวังเป็นพิเศษ
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ
ปีศาจคลายมือที่กำหอกแน่นทันที
เขาเห็นว่าที่หน้าผากของเด็กหนุ่มมีดวงตาปีศาจอยู่นั่นหมายความว่าเขาเป็นปีศาจอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม…
ดวงตาปีศาจของเขาแปลกมาก
เดี๋ยวก่อน…
สีม่วง… ดวงตาปีศาจสีม่วง?!
ทหารปีศาจตกตะลึงเขาอยู่ที่นี่มามากกว่าสิบปี และได้เจอเรื่องประหลาดมามากมาย
อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยเจอเรื่องที่ทำให้เขาอยากจะอาเจียนเป็นเลือดเท่าวันนี้มาก่อน
”ผู้บุกรกผู้บุกรุก! รีบจับตัวเขาซะ!” ทหารปีศาจพูดติดอ่าง เขารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นผู้บุกรุก
เพราะว่าไม่มีดวงตาปีศาจสีม่วง
ดังนั้นผู้บุกรุกรายนี้…
เป็นเพียงแค่คนโง่เท่านั้น!
นั่นคือความคิดแรกที่ปรากฎในใจของเขาจากนั้นเขาก็พบว่าตัวของเขาหมุนติ้ว ราวกับเขาถูกโจมตีจากด้านหลัง
เขาหันหลังกลับไป
มีชายชุดดำยืนอยู่เขามีดวงตาปีศาจสีแดงอยู่บนหน้าผาก
ที่สำคัญคือเขาถือกระบองโลหะสีดำไว้ในมือ
”ชายคนนี้กล้าดียังไง … ถึงกล้าหลอกว่าเป็นปีศาจระดับจุติ… “ทหารปีศาจโกรธขึ้นมาทันที
”จิวเจ้านับอะไรอยู่?”เด็กหนุ่มส่ายหัว ขณะที่เขาหันหนีจากปีศาจ
”นายน้อยเขาคือคนที่สามของวันนี้แล้วนะพวกเราออกมาจากประตูทิศเหนือ ท่านต้องการดำเนินการต่อหรือไม่?”คนรับใช้ตอบกลับ
ในฐานะคนรับใช้ที่ต่ำต้อย…
ในสองปีที่ผ่านมาซู จิวมีความสุขกับชีวิต เขาเดินทางออกจากเมืองฮวายอัน ไปยังแม่น้ำแห่งความสัตย์
ตอนนี้…
เขากำลังติดตามนายน้อยของเขาที่กำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่
เขาวาดดวงตาปีศาจสีแดงบนหน้าผากเพื่อหลอกตา
”ข้าดูสิ่งต่างๆด้านนอกจนเบื่อแล้วมันถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปข้างใน” เด็กหนุ่มหายใจแรงขณะหลับตา
”ตกลง”ซู จิว พยักหน้าและไม่ได้แปลกใจกับคำพูดของเขา ริมฝีปากของเขากระตุกราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง
”มีที่อื่นอีกไหม?”เด็กหนุ่มพูด
”นายน้อยเท่าที่ข้ารู้ไม่มีปีศาจที่มีดวงตาปีศาจสีม่วง… ”
”เจ้าคิดว่าสีนั้นเป็นปัญหางั้นหรือ””
”ไม่…ไม่เลยขอรับ!”
”ข้าไม่คิดว่าอย่างนั้นเจ้าไม่คิดว่าสีนี้เด่นกว่าสีอื่นงั้นรึ?”เด็กหนุ่มพยักหน้า
”ขอรับ…มันดึงดูดความสนใจทีเดียว … ” ซู จิว ผงกศีรษะขณะที่ปากของเขากระตุก เขาไม่กล้าที่จะพูดจนจบประโยค
ดึงดูดความสนใจ!
ทุกที่ที่พวกเขาไปพวกเขาจะถูกตราหน้าว่าเป็นสายสืบและผู้บุกรุก! นี่คือเมืองเงาเลือด!
พวกปีศาจไม่คิดจะสนใจ!
”เอาล่ะเข้าไปข้างในกัน” เด็กหนุ่มเริ่มก้าวเดินออกไป
”ขอรับนายน้อย!”ซูจิว เดินตามหลงเด็กหนุ่ม
…
…
ไป่ซิง ไม่คิดว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่ต่อหลังจบสงคราม อย่างไรก็ตามไม่มีอะไรเกิดขึ้นตั้งแต่เขากลับมาจากสงครามครั้งนั้น
เขายังคงเป็นหัวหน้าดินแดนดวงดาว
นอกจากนี้หยุน ชิงวู ยังเพิ่มรองหัวหน้าดินแดนให้เขาอีกสองสามคน
ไป่ซิง ไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้ แต่หหลังจากผ่านไปหนึ่งปีตำแหน่งหัวหน้าดินแดนของเขายังคงเดิม
ในฐานะหนึ่งในหัวหน้าดินแดนปีศาจจุดยืนของเขาอยู่สูงกว่าปีศาจทั่วไป
นอกจากการฝึกทหารไป่ ซิง ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในบ้านของเขา เพลิดเพลินไปกับเสียงเพลง ชมสวน นั่งดูสิ่งรอบๆตัว
เขาไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไร..
แต่เขายังมีชีวิตที่มั่นคง
อย่างไรก็ตามมีบางอย่างที่ทำให้เขาต้องหยุดชะงัก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำลายกิจวัตรประจำวันของเขา
เขาเป็นเด็กหนุ่มในชุดสีน้ำเงินไป่ ซิง คุ้นเคยกับชุดนี้มาก เขาเคยฝันถึงมันเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม…
เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะมาปรากฎตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้านของเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนกลางวันเช่นนี้
นี่มันเป็นไปได้ยังไง?
ไป่ซิง ไม่สามารถเข้าใจได้
เมืองเงาเลือดถูกบุกรุกงั้นหรือ?
ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรแล้วเด็กหนุ่มคนนี้เดินเข้ามาถึงหน้าบ้านของเขาได้ยังไง!
ที่พักของเขาอยู่ภายในกำแพงชั้นที่สามของเมืองเงาเลือด
แม้อย่างนั้น…
คนภายนอกไม่ควรจะเข้ามาถึงนี่ได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือไอ้เด็กนี่นี้มีตาปีศาจอยู่บนหน้าผากของเขาดวงตาปีศาจนี้เป็นสีม่วง
อะไรกันวะเนี่ย?!
ไป่ซิง คิดว่าเขากำลังเจอผี เขารู้ดีว่าเด็กหนุ่มคนนี้สามารถรอดพ้นจากการตรวจจับมาได้ตลอดปีที่ผ่านมา
มันราวกับว่าเขาหายไปจากโลกนี้
เด็กหนุ่มที่หายตัวไปนานกว่าหนึ่งปีจู่ๆมาปรากฎตัวที่หน้าบ้านของเขาได้ยังไง นอกจากนี้ดวงตาปีศาจสีม่วงนั้นคืออะไร?
ไป่ซิง ขยี้ตาตัวเอง …
เมื่อเขาลืมตาอีกครั้งเขาก็ตระหนักว่าเด็กหนุ่มนั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเด็กนั้นกำลังอมยิ้ม
”ฟางเจิ้งจือ?!” หาได้ยากมากที่ ไป่ ซิง จะตกใจ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถซ่อนความรู้สึกได้เมื่อเห็นเด็กหนุ่มนี้
”อืมข้าเอง” เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างใจเย็น
”เจ้า…ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในเมืองเงาเลือด? และทำไมเจ้าถึงมาอยู่ในบ้านของข้า”ไป่ ซิง รู้ว่านั่นเป็นคำถามที่ดูโง่มาก…
เมื่อมนุษย์เข้ามาในบ้านของตัวเองยามควรจะจับตัวพวกเขาเอาไว้
อย่างไรก็ตาม
มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น…
เขายังคงสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นกับฟาง เจิ้งจือ ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา
แม้ว่ามันจะเป็นตัวเลือกที่อันตราย…
เขาตัดสินใจสละเวลาคุยกับฟาง เจิ้งจือ
”จะเชื่อข้าไหมล่ะถ้าข้าบอกว่าแค่มาเที่ยวเล่นเฉยๆ?” ฟาง เจิ้งจือ หัวเราะเบาๆ ก่อนจะนั่งลง
”เที่ยวเล่นที่นี่เนี่นนะ?” ดวงตาของ ไป่ ซิง เผยความไม่ไว้ใจออกมา
”ข้าอยากไปที่กลางเมืองเงาเลือดอย่างไรก็ตาม เมื่อข้าเห็นป้ายบอกทางเขียนว่า “บ้านไป่ ซิง” ข้าจึงตัดสินใจเดินเข้ามาทันที สงสัยว่าที่นี่เป็นบ้านของหัวหน้าดินแดนไป่ ซิง หรือเปล่า ข้าเลยลองมาดูสักหน่อย” ฟาง เจิ้งจือ ตอบ
”อืมข้าเข้าใจแล้ว” ไป่ ซิง พยักหน้า เขาบอกได้เลยว่า ฟาง เจิ้งจือ เดินผ่านประตูเข้ามา
อย่างไรก็ตาม
เขาทำได้ยังไง?ยามบ้านเขาตามบอดงั้นรึ? พวกเขาไม่เห็นดวงตาปีศาจสีม่วงที่หน้าผากเขาหรือ
เพจหลัก: Gate of god TH