Gate of God - ตอนที่ 1028 บ้าไปแล้ว!
ตอนที่ 1028 บ้าไปแล้ว!
มันใหญ่มหึมา!
ถ้าตอนที่ตัวตนระดับเทพเจ้าออกมาจากประตูจะมาพร้อมกับหินยักษ์สิ่งที่ปรากฎตรงหน้านี้เรียกได้ว่าภูเขาขนาดย่อมๆ
อย่างน้อยก็มีขนาดสูงมากกว่าสามสิบเมตร
หรือบางทีมันอาจจะเป็นเศษอุกกาบาตที่ลอยอยู่ในประตูเทพเจ้าที่บังเอิญหลุดออกมาตอนที่เฉียนยู่และฉือกูเหยียนโจมตีใส่ประตู?
ขณะที่ไป่ฉือกำลังสงสัยภูเขาสีดำได้ตกลงมาตรงกลางลานบนภูเขาสวรรค์พอดี
ตูม!ภูเขาสวรรค์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
แกรก..แกรก…รอยแตกกระจายขยายไปทั่วลานประลอง
ใหญ่มาก! ราชาอสูรตกตะลึงกับฉากตรงหน้า
ความจริงมีโซ่ที่ขาดแล้วมากมายห้อยอยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ
โซ่พวกนั้นถูกทำให้ขาดด้วยแรงดึงมหาศาล?!
มันเป็นครั้งแรกที่เหล่าราชาอสูรได้เห็น’โซ่’เหล่านี้แม้พวกเขาจะเคยเห็นโซ่พวกนั้นจากในประตูขณะที่หินสีดำตกลงมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นมันใกล้ๆ
มันคืออะไรกัน?
นอกจากไป่ฉือและเหล่าอสูรแล้วแม้แต่ฉือกูเหยียนและเฉียนยู่ก็หยุดเคลื่อนไหว
เฉียนยู่ดูเหนื่อยอ่อนเพราะใช้พลังไปมากเพื่อควบคุมดินแดนหลิงหยุนนางจะเต็มใจยอมรับว่าแผนการถูกขัดขวางได้เช่นไร?
ทำไมภูเขาสีดำถึงปรากฎขึ้นอย่างกระทันหัน?
เฉียนยู่ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
ด้านฉือกูเหยียนนางดูหนักใจมากเพราะอะไรบางอย่าง ตั้งแต่ภูเขาสีดำตกลงมาฉือกูเหยียนได้กวาดสายตาสำรวจทุกรายละเอียดทุกตำแหน่งไปจนถึงโซ่ที่ขาด
จนกระทั่ง…
เสียงแตกดังขึ้นมาจากภูเขาสีดำโซ่สีดำบางเส้นหล่นลงมาบนพื้น
มันกำลังจะแตกใช่ไหม?!
ข้างในมีอะไรอยู่กันแน่?
เหล่าอสูรและศิษย์ศาลาหลิงหยุนต่างเห็นรอยแตกที่เกิดขึ้น
แกรก!
แกรก!
…
รอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนปกคลุมไปทั่ว
ท่านป้ารีบหนีกันเถอะ! ทันใดนั้นการแสดงออกของฉือกูเหยียนได้เปลี่ยนไป
มันไม่เคยปรากฎบนใบหน้ามาก่อนใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลถึงความอันตรายบางอย่าง
หนี?!
เฉียนยู่แปลกใจกับสิ่งที่ฉือกูเหยียนพูดมากทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตัวตนระดับเทพเจ้าโผล่ออกมาถึงสองคนแต่ฉือกูเหยียนกลับไม่มีท่าทีเช่นนี้แม้แต่น้อย
มีอะไรอยู่ด้านในภูเขาสีดำกันแน่?!
…
ในปราสาทหินณ ศาลาเต๋าสวรรค์
โลกที่กลับหัวน้ำตกไหลจากล่างขึ้นสู่บน ต้นไม้ที่ปลายยอดอยู่ด้านล่างและรากอยู่ด้านบน
มันเป็นฉากที่ทั้งแปลกและสวยงาม
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตอนนี้กลับดูตึงเครียด
ฝ่ายมนุษย์กับอสูรและปีศาจต่างนิ่งชะงักไม่มีฝ่ายไหนเริ่มโจมตี โจวฉีมองฟางเจิ้งจือขณะรอให้เขาตอบ
ในขณะเดียวกันฟางเจิ้งจือกำลังขมวดคิ้วอย่างหนักข้อตกลงที่โจวฉีให้ดูเหมือนจะยุติธรรม แต่ความจริงของทั้งสองฝ่ายมีพลังไม่เท่ากัน
มนุษย์มีเพียงฟางเจิ้งจือที่สามารถสู้ได้แต่ถ้าเขาปฏิเสธการแข่งขันจะเป็นเช่นไรถ้าสงครามเกิดขึ้น เขาจะสามารถปกป้องเหยียนซิวและปิงหยางได้งั้นหรือ?
มันเป็นสิ่งที่เขากังวลมากที่สุด
ด้วยเหตุผลบางอย่างฟางเจิ้งจือรู้สึกว่าโจวฉีเข้าใจเขาดีเกินไป รวมไปถึง’จุดอ่อน’ของเขา
ฟางเจิ้งจือไม่มีทางเลือกอะไรแม้แต่น้อย
ท่านคิดเช่นไร? แทนที่จะตอบโจวฉี ฟางเจิ้งจือหันไปหามู่ฉิงเฟิงและคนอื่นๆ
สู้กับพวกมันสิ! โม่ฉานฉือตอบอย่างตรงไปตรงมา
นอกจากนี้กลุ่มพันธมิตรสวรรค์คนอื่นๆก็เห็นด้วย
ถ้าเราทำตามข้อตกลงของโจวฉีเท่ากับพวกเราไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อยข้าต้องการจะต่อสู้กับพวกมันและฆ่าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อให้พวกเราจะต้องตายก็ตาม!
ใช่สู้กับพวกมัน!
สู้!
ศิษย์บางคนกล่าวขึ้นมา
พวกเราจะสู้ได้เช่นไรอีกฝายมีตัวตนระดับเทพเจ้าถึงห้าคน มีทั้งสัตว์ ราชาอสูร…
พวกเราไม่มีทางชนะมันเป็นการรนหาที่ตาย!
ข้ายังไม่อยากตาย…
ศิษย์อีกฝ่ายมีความคิดเห็นต่างออกไป
กองทัพของอสูรและปีศาจแข็งแกร่งเกินไป
ฟางเจิ้งจือเจ้าเป็นคนตัดสินเรื่องนี้ ทันใดนั้นมู่ฉิงเฟิงที่เงียบมานานได้กล่าวขึ้น เขามองไปที่ฟางเจิ้งจือด้วยความมั่นใจเป็นครั้งแรก
เจ้าเด็กเหลือขอชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในมือของเจ้า เจ้าต้องเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง โม่ฉานฉือพยักหน้า
เหล่าศิษย์ต่างเงียบ
พวกเขาไม่เคยรู้สึกเป็นมิตรกับฟางเจิ้งจือทุกคนรู้ว่าฟางเจิ้งจือไร้ยางอายมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตามพวกเขาต้องยอมรับว่าฟางเจิ้งจือเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเขา
ข้าต้องเป็นคนตัดสินใจงั้นรึ? ฟางเจิ้งจือถามอีกครั้ง
ใช่! โม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงพยักหน้าพร้อมกัน
ได้ข้าตกลงเรื่องการแข่งขัน ฟางเจิ้งจือพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เขารู้ดีว่าถ้าแพ้ในการแข่งขันนี้เท่ากับจุดจบของมนุษยชาติ แต่พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เขาเลือกที่จะเดิมพัน
…
เขาตกลง?!
เหล่าศิษย์เบิกตากว้างและถอนหายใจเมื่อได้ยินฟางเจิ้งจือกล่าวออกมา
อย่างไรก็ตามไม่มีทางที่พวกเขาจะชนะถ้าทำตามกฎของโจวฉี
พวกเราจะทำตามกฎที่เจ้าตั้งขึ้นแต่ว่า… โม่ฉานฉือต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่เขากลับเงียบไป
จากกฎของโจวฉีหนึ่งคนสามารถสู้ได้หนึ่งครั้ง ในเมื่อเจ้าบาดเจ็บหนักก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะเป็นคนสู้รอบแรกเอง! มู่ฉิงเฟิงกล่าวออกมา
ตาเฒ่ามู่…
ท่านมู่! …
เหล่าศิษย์ต่างตกอยู่ในความเศร้าเมื่อได้ยินมู่ฉิงเฟิงอาสาสู้คนแรก
พวกเขาเห็นความมุ่งมั่นในสายตาของมู่ฉิงเฟิง
อย่างไรก็ตามโจวฉีต้องไม่ออกมาสู้ในรอบแรกแน่นอน
ดังนั้นผู้ที่มีโอกาสชนะมากที่สุดในรอบแรกคือมู่ฉิงเฟิงที่อยู่ในระดับเซียนขั้นสูงสุด
ไม่ท่านออกไปในรอบที่สอง ฟางเจิ้งจือรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับความหุนหันพลันแล่นของมู่ชิงเฟิง
รอบที่สอง? มู่ฉิงเฟิงตกตะลึง จากนั้นเขาก็หันไปหาเหยียนซิว เจ้าต้องการให้เหยียนซิวสู้ในรอบแรกงั้นหรือ? แม้เขาจะแข็งแกร่ง แต่ข้าคิดว่าข้ามีประสบการณ์มากกว่าเหยียนซิว!
ข้ายินดีที่จะแข่งในรอบแรก เหยียนซิวเพิกเฉยต่อคำพูดของมู่ฉิงเฟิง ไม่เหยียนซิวเจ้าจะสู้ในรอบที่สาม ฟางเจิ้งจือส่ายหัวอีกครั้ง
สาม? เหยียนซิวรู้สึกแปลกใจอย่างชัดเจน
นั่นเป็นเพราะพวกเขามีโอกาสน้อยมากที่จะสู้ไปถึงรอบที่สามมีโอกาสที่เผ่าอสูรและปีศาจชนะในสองแรกจนไม่จำเป็นที่จะต้องแข่งรอบที่สาม
เจ้าไร้ยางอายอย่าบอกนะว่าต้องการให้ข้าสู้ในรอบแรก? ข้ายอมรับว่าตัวเองนั้นดุร้ายเหมือนเสือ แต่ถ้าให้สู้ในรอบแรกมันก็เป็นความรับผิดชอบที่มากเกินไป ปิงหยางกระพริบตาอย่างใสซื่อ
เจ้า? ฟางเจิ้งจือมองปิงหยางด้วยความเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็ยืดนิ้วออกไปสามนิ้ว เจ้าสามารถสู้ในรอบที่สามได้เช่นกัน
หา? ปิงหยางอุทานด้วยความแปลกใจ
…
…?! ปิงหยางสามารถแข่งในรอบที่สามได้เช่นกัน?มันหมายความว่ายังไง?
ทุกคนต่างแปลกใจกับสิ่งที่ฟางเจิ้งจือกล่าวออกมา
เขาหมายความว่ายังไง?
ฟางเจิ้งจือขี้เกียจอธิบายและหันไปหาโจวฉี ข้าตกลงที่จะแข่งขันต่อสู้ อย่างไรก็ตามข้าเองก็มีเงื่อนไขเช่นกัน
แน่นอน โจวฉีพยักหน้า
เงื่อนไขของข้านั้นง่ายมากในแต่ละรอบ แต่ละฝ่ายต้องส่งคนลงมาทั้งหมดสี่คน! ฟางเจิ้งจือกล่าวขณะมองดูโจวฉีและตัวตนระดับเทพเจ้าอีกสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
อะไรนะ?!
ลงสี่คนในรอบเดียว?
แค่ตัวตนระดับเทพเจ้าเพียงคนเดียวพวกเราก็ไม่สามารถชนะได้แล้วแต่นี่สี่คน?!
ฟางเจิ้งจือเป็นบ้าไปแล้วงั้นรึ? …
เมื่อได้ยินสิ่งที่ฟางเจิ้งจือพูดเหล่าศิษย์รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า
ฟางเจิ้งจือบ้าไปแล้ว
ไม่มีใครสามารถทำใจเชื่อสิ่งที่ฟางเจิ้งจือพูดออกมาได้
แม้แต่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือ
สี่คนต่อรอบมันเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ
พวกเขายังจะมีโอกาสชนะอีกงั้นหรือ?
ฟางเจิ้งจือเจ้าคิดอะไรอยู่?
เจ้าไร้ยางอาย…เจ้าคิดจะฆ่าพวกเรางั้นหรือ?
มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือมองฟางเจิ้งจือด้วยความสับสน
พวกท่านไม่ได้เป็นคนบอกให้ข้าตัดสินใจงั้นหรือ?พวกท่านกำลังผิดหวังหรือไง? ฟางเจิ้งจือมองดูโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงอย่างไร้เดียงสา แน่นอนพวกเราต้องผิดหวัง! โม่ฉานฉือไม่คิดเลยว่าฟางเจิ้งจือจือที่ชาญฉลาดจะพูดอะไรเช่นนั้นออกไป
ผิดหวัง?น่าเศร้าที่มันสายเกินไปแล้ว ฟางเจิ้งจือยิ้มแล้วยักไหล่
…
โม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงพูดไม่ออก
โจวฉีเงียบไปหลังจากได้ยินบทสนทนา
เหมือนกับมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือเขาประหลาดใจ
ด้วยคำพูดแบบนี้จะส่งใครออกไปถึงสี่คนเมื่อถึงตาของมู่ฉิงเฟิงแล้วจะส่งใครมาช่วยอีกเมื่อถึงตาของฟางเจิ้งจือ
เดี๋ยวก่อน!
เงื่อนไขไม่น่าจะเป็น’ส่งมากที่สุดสี่คนต่อหนึ่งรอบการต่อสู้’แต่น่าจะเป็น’ส่งมากที่สุดสี่คนระหว่างการต่อสู้’!
แม้มันจะดูไม่ได้เป็นคำพูดที่ต่างกันแต่ถ้าพิจารณาดีๆมันมีข้อแตกต่างอันใหญ่หลวงอยู่ ……………………………………..