Gate of God - ตอนที่ 428
ค่ำคืนในดินแดนภูเขาทางใต้นั้นเต็มไปด้วยเสียงสัตว์ร้ายและหมอกหนา แสงจันทร์ส่องแสงอ่อนๆ ทำให้ใบไม้เปล่งแสงสีเงินจางๆ
แต่…
มันไม่ส่องแสงผ่านหลังคา
ร่างสีดำขนาดใหญ่พุ่งผ่านท้องฟ้า บนบังแสงจันทร์เกิดเป็นเงาขนาดใหญ่บนพื้น
“พวกเขาจะต้องตายด้วยมือข้า! เจ้าพวกภูเขาทางใต้ สารเลว! พี่เหยียน ตอนนี้พวกเราควรจะไปไหนต่อดี?” ปิง หยาง หงุดหงิดมาก นางเสีย ฟาง เจิ้งจือ ไป
มันไม่ใช่ความผิดของนางทั้งหมด
ดินแดนภูเขาทางใต้เป็นที่แบบไหน?
มันเต็มไปด้วยต้นไม้อันสูงตระหง่านและป่าอันหนาบทึบ แม้มองจากด้าบนก็ไม่สามารถมองได้ชัดเจน
ทำให้การติดตามนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก
นอกจากนี้ ปิง หยาง ไม่ได้เกิดที่นี่
หลังจากที่หมาป่าเขาเงินทั้งห้าร้อยตัวพุ่งออกมาจากหุบเขา พวกเขาได้แบ่งกลุ่นออกเป็นสิบ
กลุ่มและกระจายออกไปทั่วป่า
ปิง หยาง ตกตะลึง
นางไม่สามารถรู้ได้เลยว่ากลุ่มไหนมี ฟาง เจิ้งจือ อยู่ นางจึงทำได้เพียงแค่หน้ามุ่ยและหันหลังกลับ
“เมืองภูเขาเซียน!” ฉือ กูเหยียน ยืนขึ้น นางมองไปยังยอดเขาที่อยู่ห่างไกล ชายกระโปรงของนางพัดไปตามสายลม
“ฟังดูเข้าท่า ข้าได้ยินว่ามันเป็นเมืองหลวงของดินแดนภูเขาทางใต้ ต้องมีเรื่องสนุกมากมายให้ข้าทำแน่นอน! แต่ทำไมถ้าเราจะไปที่นั่น พวกเราถึงไม่ไปกับ หนานกง เฮา ล่ะ?“ปิง หยาง ถามอย่างตื่นเต้น
“เจ้าอยากอยู่กับ หนานกง เฮา งั้นรึ?“
“ไม่แน่นอน เขาอาจจะแข็งแกร่งแต่เขาน่าเบื่อมาก นอกจากนี้เขาไม่ฟังองค์จักรพรรดิ! เขาปฏิเสธตำแหน่งเจ้าหน้าที่! ข้าไม่อยากจะอยู่ร่วมกับคนแบบเขา”
“ก็จริง”
“พี่เหยียน ไม่ไปกับพวกเขาเพราะข้างั้นหรือ?“
“ข้าไม่ได้พูดเช่นนั้น”
“ช่างเถอะ ข้ารู้ว่าพี่เหยียน จะดูแลข้าเป็นอย่างดีที่สุด เอ่อใช่ พี่เหยียน ได้บอกว่า หนานกง เฮา เองก็อยู่ในระดับอภินิหารขั้นสูงสุดแล้ว แล้วใครมีพลังมากกว่ากัน?” ดวงตาของ ปิง หยาง เป็นประกายขณะที่มองออกไปด้านหน้า
“ใครมีพลังมากกว่ากัน?” ฉือ กูเหยียน เงียบราวกับกำลังใช้ความคิด…
…
วั้นที่สองหมอกเริ่มจางลงเล็กน้อย
ที่ป่าระหว่างเมืองภูเขาเซียนและถิ่นฐานวานรน้ำแข็ง มีกองทัพหนึ่งนั่งพักอยู่ตามต้นไม้
มีกระโจมขนาดมหึมาอยู่กลางค่าย
ที่กระโจมเต็มไปด้วยรอกแกะสลักต่างๆมากมาย
ข้างในกระโจมมีทหารสวมชุดเกราะยืนอยู่สองแถว พวกเขามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้วยความกังวลและรีบร้อน
หญิงนางนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้หนังสัตว์ขนาดใหญ่ ผิวของนางเป็นประกายสีขาว
หน้าท้องของนานเรียบเนียน ขาของนางก็งดงามเช่นกัน
แต่นางกลับดูอันตราย
“ ฝ่าบาท เถิง ซือเซิง กลับมาแล้ว เขากำลังรออยู่ด้านหน้ากระโจม!” ทันใดนั้นทหารคนหนึ่งได้เดินเข้ามา
“เขากลับมาแล้ว? ดีให้เขาเข้ามา “ฉาน ยู่ บิดขี้เกียจเล็กน้อย
“รับทราบ ฝ่าบาท!“ทหารคนนั้นเดินออกไป
หลังจากนั้น เถิง ซือเซิง ก็เดินเข้ามา จากนั้นเขาก็คุกเข่าลง
“ยินดีที่ได้พบฝ่าบาท!“
“เจ้าพาเขากลับมาแล้วงั้นหรือ?” องค์หญิง ฉาน ยู่ ไม่ได้หันหน้าไปมองแม้แต่น้อย นางเลือกที่จะอ่านหนังสือเงียบๆ
“แน่นอน!” เถิง ซือเซิง ตอบ
“ดีมาก พาเขาเข้ามา”
“องค์หญิง… ฟาง เจิ้งจือ บาดเจ็บอย่างหนักจากการต่อสู้ อาการของเขาในตอนนี้ ข้าเกรงว่า ..”
“อาการหนักมากงั้นรึ? บาดเจ็บสาหัส? … ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายหรือไม่?“มือขององค์หญิงสั่นไหวเล็กน้อยขณะที่ยกหน้าขึ้นมา
“ข้า… ไม่คิดอย่างนั้น!” เถิง ซือเซิง ส่ายหัว
“อืม ก็ดี ให้ หลิง มู่ ไปดูอาการ!” องค์หญิง ฉาน ยู่ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เถิง ซือเซิง ท่านได้นำดาบของ ฟาง เจิ้งจือ กลับมาด้วยหรือไม่? ทำไมไม่เอามันออกมา?” แม่ทัพทั้งสองคนพูดขึ้นมาทันที
“ดาบนั่น … ข้า… ยกโทษให้ข้าด้วย สถานการณ์ตอนนั้นตึงเครียดมาก ดาบนั่นปักอยู่ที่หน้าผา ข้าไม่สามารถนำมันกลับมาได้!” ท่าทีของ เถิง ซือเซิง เปลี่ยนไปทันที
“มันอยู่บนหน้าผาที่ เฟิง ซู่?” องค์หญิงขมวดคิ้วขณะที่นางหันไปมอง เถิง ซือเซิง
เถิง ซือเซิง เป็นทหารที่ซื่อสัตย์ เขาได้ติดตามนางมาถึงห้าปี นางไม่คิดจะสงสัยในตัวเขาอย่างแน่นอน
เมื่อ เถิง ซือเซิง เห็นสีหน้าขององค์หญิง เขาจึงเริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมดทันที
“อะไรนะ!? เจ้าบอกว่า ฟาง เจิ้งจือ มีเต๋าทั้งหมด 388 เต๋าในมิติพิเศษ?” แม่ทัพคนหนึ่งเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้
“ใช่! นีคือสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดออกมาเอง ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน แตคิดว่าเป็นเรื่องจริง!” เถิง ซือเซิง ยืนยันอีกครั้ง
แล้วจากนั้น…
เรื่องตกใจอีกเรื่องหนึ่งก็ถูกพูดออกมา
“เขาฆ่าปีศาจระดับจุติไปงั้นรึ?! เขาเนี่ยนะ?! เป็นไปได้ยังไง?“
“เจ้าบอกว่าเขาจัดการปีศาจทุกตัวที่ขวางทางเขาไปยังหน้าผา เฟิง ซู่? และเขาเกือบฆ่านายน้อยของเหล่าปีศาจได้? เป็นไปไม่ได้! เขาเข้าไปใกล้ขนาดนั้นได้ยังไงกัน? นางไม่มีใครคอยป้องกันอยู่เลยหรือ?“
“ระดับอภินิหาร!“
“เจ้าบอกว่า ฟาง เจิ้งจือ เข้าสู๋ระดับอภินิหารแล้วงั้นรึ?!“
“ท่านเถิง นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ เด็กชายคนนี้อายุเท่าไรเอง? เข้าถึงระดับอภินิหารได้ตอนอายุสิบหกปี! มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ดินแดนภูเขาทางใต้!“
แม่ทัพทั้งหมดไม่อยากจะเชื่อว่า บาดแผลของ ฟาง เจิ้งจือ สามารถรักษาตัวเองได้หลังโดน หยุน ชิงวู แทง
มนุษย์อายุ 16 ปี อยู่ในระดับอภินิหาร?!
ยิ่งไปกว่านั้น ฟาง เจิ้งจือ สามารถฆ่าปีศาจที่อยู่ในระดับจุติได้โดยใช้ดาบไร้ร่องรอย ในการต่อสู้มีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง
วิชาและโชคนั้นไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
แต่…
การที่สามารถเข้าถึงระดับอภินิหารได้เองก็ไม่มีทางเป็นเพราะโชคช่วยเช่นเดียวกัน ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่ไหนบันทึกไว้ว่ามีผู้สามารถเข้าสู่ระดับอภินิหารได้ทั้งๆที่อายุน้อยขนาดนี้ ไม่มีในทั้งดินแดนปีศาจ ดินแดนภูเขาทางใต้ และอาณาจักรเซี่ย
เขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!
อย่างไรก็ตามเมื่อเขานึกถึงการกระทำของ ฟาง เจิ้งจือ ในค่าย พวกเขาถึงกับส่ายหัว
เขาเป็นอัจฉริยะ
แต่เขาไร้ยางอาย
…
แม่ทัพยังไม่ทันคิดเสร็จ พวกเขายังไม่ได้ทันตัดสินใจอะไร
“เขาอยู่ที่ไหน?” ดวงตาขององค์หญิงเป็นประกายเล็กน้อย
นางไม่ยินดีกับเรื่องนี้เท่าไรนัก
นางเป็นใคร
นางเป็นอัจฉริยะของรุ่น นางจะยอมรับไม่กี่คนเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่านาง หนึ่งในนั้นคือ ฉือ กูเหยียน…
หรือ หนาน กงเฮา…
แต่เมื่อนางได้ยินว่า ฟาง เจิ้งจือ…
นางไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้
คนที่ไร้ยางอายแบบนี้จะมาแซงหน้านางไปได้ยังไงกัน?
องค์หญิงเริ่มรู้สึกว่าความโกรธของนางค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อนึกถึงความไร้ยางอายของ ฟาง เจิ้งจือ
“ฝ่าบาทตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ ได้รับการป้องกันจากทหารหมาป่าเขาเงินอยู่” เถิง ซือเซิง ตอบกลับ
“อืมให้ หลิง มู่ ลองตรวจอาการเขา แล้วพาตัวมาที่กระโจมข้า” องค์หญิง ฉาน ยู่ สั่ง
“ฝ่าบาท ท่านทำแบบนี้ไม่ได้!” แม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยความกังวล
“มีอะไรผิดงั้นรึ? ทำไม?” สายตาขององค์หญิงกลายเป็นคมกริบทันที
“ฝ่าบาทข้าไม่ได้หมายความถึงอันตรายใดๆ … สิ่งที่ข้าหมายถึงคือ … หาก ฟาง เจิ้งจือ นึกถึงตอนที่ถูก หยุน ชิงวู แทงเขาแล้วเตะเขาลงจากหน้าผา เขาอาจจะอยากล้างแค้น รวมถึงตอนนี้เขาอยู่ในระดับอภินิหารแล้วด้วย ข้าเกรงว่าเขาจะจับท่านเป็นตัวประกัน…เพื่อต่อรองกับพวกปีศาจ…”
“รับทราบ ฝ่าบาท! แม่ทัพหลี่พูดสมเหตุสมผล มัดตัว ฟาง เจิ้งจือ ไว้ก่อนค่อยพามาที่กระโจม!“แม่ทพอีกคนพูดขึ้นมาทันที
“ใช่ ไม่อย่างนั้นเขาจะอันตรายเกินไป!“
แม่ทัพคนอื่นๆเริ่มพูดคุยกัน
แม้ว่ามันจะไม่เหมาะสมที่ให้ ฟาง เจิ้งจือ ไปไว้ในกระโจมขององค์หญิง…
แต่ถ้านางต้องการแบบนั้นจริงๆ…
จะมีใครหยุดนางได้
ด้วยสถานะของนาง ไมมีใครกล้าต่อว่านางที่เอาผู้ชายไปไว้ในกระโจมแน่นอน