Gate of God - ตอนที่ 453
ใบหน้าที่เที่ยวย่นสามารถมองเห็นได้ภายใต้เสื้อคลุมสีดํา เขายกหัวขึ้นและมองไปที่ท้องฟ้า
ท้องฟ้าที่ตอนนี้กลายเป็นสีแดง
พระอาทิตย์ตกดิน
อาจเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดของวัน
มันยังหมายถึงการสิ้นสุดของการเดินทางได้อีกด้วย
คังหยาง
มันเป็นชื่อที่แปลกและมีความหมายไม่ดีเท่าไรนัก ความโหดเหี้ยม ความตาย ความเจ็บปวด ความชั่วร้าย
มันไม่ใช่นามสกุลของเขา
แต่เป็นชื่อ
เขาได้รับชื่อนี้ตั้งแต่เขาเกิด คังหยาง ไม่เคยบอกนามสกุลเขากับคนอื่น น้อยคนนักที่จะรู้
แน่นอนมีไม่กี่คนที่สนใจจะถามว่าทําไมเขาถึงชื่อนี้
คําตอบนั้นชัดเจนเกินไป
ดวงอาทิตย์เริ่มต่ำกว่าขอบฟ้าและท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงเล็กน้อย แสงสีแดงยังคงสะท้อนเข้ากับใบหน้าของเขา
ในเวลาเดียวกันมันก็ส่องกระทบเข้ากับตาเขา
ดวงตาเป็นจุดที่แสดงความหมายของชื่อเขา ไร้แสงไร้ความหวัง
เขาเป็นปีศาจที่ไม่เคยเห็นแสงสว่างมาตั้งแต่เกิด เขาถูกทิ้งเพราะไร้ความสามารถ
ไม่เหมือนกับปีศาจที่ถูกทอดทิ้งส่วนใหญ่
คังหยาง ไม่เคยโทษโลกที่ไม่ยุติธรรม เขาไม่เคยตกอยู่ในความแค้น เขาสนแต่การก้าวเดินไปข้างหน้า
หลังจากถูกทอดทิ้งเขาเรียนรู้ที่จะพึ่งหาตัวเอง เขาเรียนรู้ เพิกเฉยต่อคําเยาะเย้ย เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
ในที่สุดทุกคนก็ลืมนามสกุลของเขา
คนที่รู้จักนามสกุลของเขามักล่วงลับไปแล้ว ตายตามธรรมชาติ
ไม่มีใครรู้ว่าเขาอายุเท่าไร แต่เขามีอายุแทบมากที่สุดตั้งแต่เคยมีเผ่าปีศาจมา
เขาเป็นเหมือนต้นไม้โบราณ
เขาอยู่ที่นั่นเพื่อรอวันที่เผ่าปีศาจจะรุ่งโรจน์ เขาได้ผ่านช่วงเวลาที่แย่ที่สุดมาแล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเข้าร่วมกองทัพและช่วยพัฒนาพวกปีศาจแต่อย่างใด ที่เขาทั้งหมดคือตื่นขึ้นมามองด้วยอาทิตย์ขึ้นและดูดวงดาวตอนกลางตึกก่อนจะหลับไป
บางคนอาจพบว่าชีวิตนี้น่าเบื่อ
อย่างไรก็ตาม คังหยาง ไม่คิดที่จะเปลี่ยน เขาเชื่อว่ามันสิ่งที่ชีวิตควรจะเป็น
ทุกอย่างเปลี่ยนไปในวันหนึ่ง
นั่นคือวันที่เด็กหญิงอายุห้าขวบปรากฏตัวต่อหน้าเขา
นั่นเป็นวันที่เด็กหญิงคนนี้บอกกับคังหยางว่านางเป็นธิดาของเจ้าปีศาจ แต่นางกลับถูกเนรเทศมาไกล
คังหยาง ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากฟังเรื่องราวของนาง
เด็กหญิงเองก็ไม่ถามอะไรเช่นกัน ก่อนที่นางจะจากไป นางได้มอบหนังสือให้เขามากมายเป็นหนังสือกลยุทธ์ต่างๆของปีศาจ
เขายังจํามันได้ ว่านางพูดอะไรกับเขา
” ท่านลุง นี้สําหรับให้ท่านอ่าน!”
อ่าน?
เขาจะอ่านอย่างไรเมื่อเขามองไม่เห็น?
คังหยาง ไม่ตอบและไม่ได้ถามนางว่าทําไมถึงทิ้งหนังสือให้คนตาบอด เขาแค่วางมันไว้ตรงมุมหนึ่ง
หนึ่งปีต่อมา
ชื่อของเด็กสาวโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นมีปีศาจมากกว่าหนึ่งพันตนคอยติดตามนาง นางทําให้หมู่บ้านกลายเป็นเมืองที่เป็นระเบียบ
คังหยาง ยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เขากลับไปที่ห้องและหยิบหนังสือขึ้นมา เขานึกถึงสิ่งที่นางได้บอกกับเขา
” ท่านลุง หนังสือสําหรับให้ท่านอ่าน!”
อ่าน?
เขาจะอ่านได้ยังไง?
คังหยาง หัวเราะเยาะตัวเองแต่เขาก็ไม่เสียใจ
เขาสามารถมองผ่านหลายๆสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทําได้ เขารู้ดีว่าโลกนี้โหดร้ายแค่ไหน และสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของนาง
” เจ้ายังเด็กและไร้เดียงสานัก ” คังหยางไม่เข้าใจว่าทําไมเขาถึงเปิดหนังสือในมือขึ้นมา
บางทีเขาอาจจะอยากอ่าน หรืออยากจะยืนยันความไร้เดียงสาของนาง
อย่างไรก็ตาม
เมื่อเขาเปิดหนังสือในมือของเขา
รอยยิ้มของเขาแข็งค้าง
เขาสามารถรู้ได้ว่าหนังสือนี้ต่างออกไป เพราะมันเป็นหนังสือที่เขาอ่านได้จากการสัมผัส ทุกคําภาพและคําพูดล้วนชัดเจน
เขาสัมผัสได้ถึงหนังสือและทุกอย่างที่อยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็หยิบเล่มที่สอง เล่มที่สาม..
เขาหยุดหลังจากอ่านหนังสือแต่ละเล่มจบ
คังหยางทําบางสิ่งที่ปีศาจไม่เคยคาดคิด เขาเดินออกจากบ้านและไปที่บ้านของเด็กหญิง
มีปีศาจอยู่มากกว่า 1,000 คน
“เจ้าเต็มใจเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?” เสียงของคังหยางดังสะท้อนไปทั่ว มันนุ่มนวลสงบนิ่งราวกับสายน้ำ
มันทําให้ปีศาจมากมายรอบๆต้องหัวเราะออกมา
ปีศาจทั้งหมดไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยิน เป็นแค่ปีศาจพิการแต่อยากเป็นอาจารย์ให้นางงั้นรึ?
“คังหยางเจ้ารู้หรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
“คังหยาง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?!”
เสียงมากมายแสดงความดูถูกอย่างชัดเจน แต่คังหยางยื่นเงียบๆ
เขายังคงจ้องมองนาง ก่อนที่นางจะคุกเข่าลง
“อาจารย์!”
คัง หยาง ยังจําเสียงอันไพเราะของนางได้ เสียงของนางเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเคยได้ยินมา
ผ่านมา 4 ปีแล้ว
นางกลับไปที่เมืองเงาเลือด
มีปีศาจตนหนึ่งอยู่ข้างๆนาง เป็นปีศาจตาบอดชื่อว่าคังหยาง ชื่อที่ทําให้เหล่าปีศาจหวาดกลัว
เขาไม่มีนามสกุล
เขามีเพียงชื่อ!
” พระอาทิตย์กําลังตกดิน?” คังหยางหันไปมองท้องฟ้าสีแดง
ไม่มีใครเข้าใจว่า คังหยางจะเงยหน้าขึ้นทําไมในเมื่อเขาตาบอด
…
มีเงาหนึ่งพุ่งผ่านสนามรบ
ร่างนั้นพุ่งลงมาจากท้องฟ้า
มันดึงดูดความสนใจของคนหลายๆคน
เขาเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดสีน้ำเงินแขนยาว
ฟาง เจิ้งจือ รู้วิธีบินได้ยังไง?
ต่อให้เขาต้องการ แต่ด้วยความสามารถของเขา ดังนั้นความเป็นไปได้คือเขาสัตว์ที่บินได้มา
ไม่จําเป็นต้องสนใจว่าทําไม ฟาง เจิ้งจือ ถึงหาสัตว์แบบนี้มาได้
เพราะตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ เองกําลังสับสนกับเรื่องหนึ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าทําไมคนตาบอดซึ่งมองพระอาทิตย์ตก ทั้งๆที่เขามองไม่เห็น
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่คําถามสําคัญ
คําถามที่สําคัญยิ่งกว่าคือ
หยุน ชิงวู บ้าไปแล้วหรือ
ฟาง เจิ้งจือ นั้นเคารพสติปัญญาและความฉลาตของนางในฐานะศัตรู
ความได้เปรียบของนางที่ถิ่นฐานวานรน้ำแข็งยืนยันเรื่องนี้ได้ดี
แม้เขาจะคิดมาตลอดว่า หยุน ชิงวู ไม่ฉลาดเท่าเขา
แต่ตอนนี้
เขาผิดหวังอย่างที่สุด
คนส่วนใหญ่เรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขา
นางไม่ควรทําเรื่องผิดพลาดอีก
แม้แต่คนฉลาดก็ควรจะเรียนรู้จากความผิดพลาดตลอด
หากมีคนทําผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก
คนคนนั้นก็คงโง่จริงๆ
ฟาง เจิ้งจือ สงสัยว่าเขาคงสามารถจับตัว หยุน ชิงวู ได้อีกครั้ง
ตัวอย่างเช่นตอนที่ปีศาจกําลังจะชนะ เขาก็จะโฉบลงมาจากท้องฟ้าและจับตัว หยุน ชิงวู ไป เขาจะตะโกนว่า “ถ้าอยากให้นางมีชีวิตอยู่ ถอยทัพกลับไปที่เมืองเงาเลือด!”
มันเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของเขา
ฟาง เจิ้งจือ นึกถึงการต่อสู้ที่หุบเขา
น่าเสียดายที่เขาเป็นลมในระหว่างการต่อสู้ครั้งนั้น
จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากนัก เขารู้แค่ว่าเขาถูกแทงจาก หยุน ชิงวู และรู้ว่านางเป็นคนเตะเขาลงจากหน้าผา
มันเป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดมาก
เขาเรียนรู้เรื่องหนึ่ง ไม่ควรแสดงความเมตตา
ถ้าเขาทํามันได้อีกครั้ง เขาคงไม่ใจดีกับ หยุน ชิง อีก เขาจะสอนบทเรียนให้กับนางแน่นอน
ใช่ว่ามันจะสามารถเกิดขึ้นอีกครั้งได้ง่ายๆ
หยุน ชิงวู ไม่ควรทําความผิดพลาดแบบเดียวกัน นั่นหมายความว่าตอนนี้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะจับตัวนาง
นั่นคือสิ่งที่ ฟาง เจิ้งจือ คิด
แต่ความคิดนี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
เขาเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีใครอยู่ใกล้หยุนชิงวู นางไม่มีใครคอยคุ้มกัน!!
แน่นอนมีอยู่หนึ่ง
แต่เขาเป็นปีศาจที่ตาบอด
ฟาง เจิ้งจือ ไม่ใช่คนที่ประมาทคู่ต่อสู้ของเขา แต่คราวนี้ต่างกัน
เขามั่นใจว่าเขาจะจับ หยุน ชิงวู ได้
จนถึงตอนนี้ นางไม่รู้ว่ามีสัตว์ร้ายและคนหนึ่งบินอยู่บนหัวนาง
ฟาง เจิ้งจือ รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสที่ดีมาก
เขามาถึงในเวลาที่เหมาะสม
เขาจะทิ้งการต่อสู้ที่ยากลําบากให้คนอื่น สิ่งที่เขาต้องทําคือรักษาชีวิตของเขาให้รอดไปอีกหนึ่งวัน
แต่แน่นอน
นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
มีปัจจัยหลายอย่างที่ทําให้ตัดสินใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการต่อสู้
เวลาเป็นปัจจัยหนึ่งเช่นนั้น ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ปัจจัยที่สองคือที่ตั้ง เขาอยู่ในที่สูงและได้เปรียบ รวมถึงผู้คนที่อยู่ข้างๆนาง
ตาบอด!
ในฐานะผู้ที่อยู่ในระดับอภินิหาร เขาไม่กลัวปีศาจที่ตาบอด!
ถ้าเขาทิ้งโอกาสนี้ไป
เขาจะมาที่นี่ด้วยวิธีนี้ทําไม
ฟาง เจิ้งจือ กระโดดลงมาด้วยความมั่นใจและยินดี เขารู้สึกว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของเขา
นอกจากนี้ ซิง หยวนกัว, หนานกง เฮา, ซิง ฉิงซุย, ฉาน หลิง…ทุกคนต่างกําลังสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลก
เขาเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถช่วยทุกคนได้
ฟาง เจิ้งจือ ไม่คิดจะพลาดโอกาสนี้แน่นอน
“อย่าขยับ วางอาวุธของเจ้าลงซะ!” เสียงดังทะลุลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับร่างหนึ่งที่พุ่งลงมาหา หยุน ชิงวู