Gate of God - ตอนที่ 557-558
ตอนที่ 557 ประกาศอีกครั้ง
”ฝ่าบาทท่านจำสิ่งที่ท่านพูดเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ตอนที่ประกาศทำเนียบทองคำได้หรือไม่?” เหยียน ซิว พูดออกมาตรงๆโดยไม่ลังเล
”หนึ่งปีที่แล้ว… ” องค์จักรพรรดิคิดถึงสิ่งที่ เหยียน ซิว พูด
”ข้าจำได้!”ก่อนที่เขาจะตอบออกมา
”ฝ่าบาทท่านเคยพูดว่า ฟาง เจิ้งจือ มายืนอยู่หน้าท่านและบอกว่าเจาไม่ได้ฆ่า ฉาน หลิง ท่านจะนำชื่อเขาไปไว้บนทำเนียบทองคำ ข้าไม่ได้จำผิดไปใช่ไหม?” เหยียน ซิว พูด
”เจ้าจำไม่ผิดหรอก”องค์จักรพรรดิพูดและส่ายหัว
”ถ้าเป็นเช่นนั้นองค์จักรพรรดได้โปรดทำตามคำที่ให้สัญญาไว้ด้วย!” เหยียน ซิว พูดขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างอ้าปากค้าง
แน่นอนว่าทุกคนจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ตอนที่มีการประกาศอันดับ
ในวันนั้นเหยียน ซิว ถามว่าทำไมถึงไม่มีชื่อ ฟาง เจิ้งจือ นอกจากองค์จักรพรรดิจะปฏิเสธ เขายังโกรธมากอีกด้วย
จากนั้นเหยียน ซิว ก็ออกจาเมืองไป พร้อมกับการปฏิเสธเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์
ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่ได้เหยียบเข้ามาในเมืองหลวงอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ พร้อมกับการที่เขานำเรื่องเก่าขึ้นมาพูด…
การกระทำของเขามันต่างจากการทาทายองค์จักรพรรดิยังไงกัน?
ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นเวลาเกือบสองปีแล้วนับตั้งแต่การสอบครั้งนั้นเขาสามารถรอถึงตอนนั้นก็ได้ ทำไมต้องยกเรื่องการสอบรอบเก่าขึ้นมาพูดอีก?
เพื่อความเป็นธรรม?
แน่นอนว่ามันสมเหตุสมผลแต่การพูดถึงเรื่องนี้ของ เหยียน ซิว ดูร้ายกาจกว่าการยกเรื่องคดีที่เกิดขึ้นมาพูดเสียอีก เพราะสิ่งนี้มันเกี่ยวข้องกับตัวองค์จักรพรรดิเอง!
การแสดงออกขององค์จักรพรรดิเปลี่ยนไปขณะที่เขากวาดสายตาไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ตกใจอยู่
เขาต้องคิดให้เร็ว
ปีที่ผ่านมาเขาได้ประกาศออกไปด้วยตัวเองถ้าเขาเปลี่ยนแปลงอะไร
มันก็เป็นเหมือนการตบหน้าตัวเอง
แม้ตัวเขาจะรู้สึกอับอายแต่ก็เป็นเขาที่ประกาศออกไปจริงๆ
เขาจะกลับคำพูดของเขาได้ยังไง?
หลังจากครุ่นคิดสักครู่เขาก็จับจ้องที่ฟาง เจิ้งจือ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ก่อนจะกระแอมออกมา
”ฟางเจิ้งจือ เจ้าคิดยังไง?”
”ในเมื่อมันเป็นของข้าทำไมข้าต้องปฏิเสธมันด้วย? แน่นอนต่อให้มันไม่ได้เป็นของข้า แต่มีคนจะมอบมันให้ข้าก็ไม่ใส่ใจที่จะรับมันไว้” ฟาง เจิ้งจือ พูดอย่างไม่ใส่ใจ
”เจ้าไม่คิดว่ามันมากเกินไปงั้นหรือ?”องค์จักรพรรดิโต้กลับ ก่อนจะโบกมือให้ ฟาง เจิ้งจือ
”ทำไมมันถึงมากเกินไปล่ะ?”ฟาง เจิ้งจือ ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
”เจ้าหน้าที่ฟางฝ่าบาทอยากให้ท่านเข้ามาใกล้ๆ!” ขันทีเหว่ยพูดขึ้นมาเมื่อไม่เห็น ฟาง เจิ้งจือ เคลื่อนไหว
”เข้าไปใกล้?โอ้… ” ฟาง เจิ้งจือ มองรอบๆ ก่อนจะเข้าไปยืนข้างๆองค์จักรพรรดิ ” ฝ่าบาท ข้าจะช่วยเหลือท่านได้ยังไง?”
องค์จักรพรรดิมองฟาง เจิ้งจือ พร้อมกับส่ายหัวด้วยความหงุดหงิด ถึงแม้ว่า ฟาง เจิ้งจือ จะฉลาด แต่เขาก็มีนิสัยที่น่ารำคาญไม่น้อย
”เกี่ยวกับเรื่องทำเนียบทองคำเจ้าควรคิดให้ดีกว่านี้ ตอนนี้เจ้าไร้พลัง อันดับในการทดสอบก็ไม่มีความหมายอีกแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?” องค์จักรพรรดิพูดขึ้นมา แน่นอนคำพูดของเขามีเพียง ฟาง เจิ้งจือ ที่ได้ยินเท่านั้น
”มันจะไร้ประโยชน์อย่างได้ไร?ข้าคิดว่ามันมีประโยชน์มาก!” ฟาง เจิ้งจือ ตอบทันที
”มันจะใช้อะไรได?เพื่อเป็นเกียรติ? หรือชื่อเสียง? หากเจ้าต้องการสิ่งเหล่านี้ ข้าสามารถชดเชยให้เจ้าได้มากกว่านั้น ถ้าเจ้าไม่ชอบเป็นเจ้าหน้าที่ เจ้าอยากได้เงินไหมล่ะ?” เขาพูดอย่างตรงไปตรงมา เขารู้นิสัยของ ฟาง เจิ้งจือ ดี
”ไม่ข้ามีเงินมากพอแล้ว!” ฟาง เจิ้งจือ ส่ายหัว
”เท่าไหร่กัน?”องค์จักรพรรดิแปลกใจเล็กน้อยมันเป็นความรู้สึกที่แปลก เมื่อคนโลภบอกว่ามีเงินมากพอแล้ว
”เหมืองทองที่ใหญ่ที่สุดสิบเหมืองในดินแดนภูเขาทางใต้”ฟาง เจิ้งจือ พูดก่อนจะชี้ไปที่ ฉาน ยู่ พร้อมกับหยิบสัญญาออกมา
“โอ้…” องค์จักรพรรดิประหลาดใจ
เมื่อดูที่ตราประทับสีแดงและลายเซ็นของฉาน ยู่ ในสัญญาในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไม ฟาง เจิ้งจือ ถึงไม่สามารถกลับมาที่เมืองหลวงได้
เขายึดเหมืองทองคำสิบแห่งในแดนใต้
ถ้าเป็นคนอื่นก็คงถูกฆ่าตายตั้งแต่จบสงครามแล้ว
”ฝ่าบาทถ้าท่านไม่ลำบากอะไรโปรดทำตามสัญญาของท่าน” ฟาง เจิ้งจือ กล่าวขึ้นมา
”เดี๋ยวก่อนเจ้าช่วยบอกหน่อยได้ไหมว่าทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้าใส่ชื่อเจ้าไว้ในทำเนียบทองคำ?”องค์จักรพรรดิอยากรู้เป้าหมายของ ฟาง เจิ้งจือ
”มันเป็นข้อตกลง”ฟาง เจิ้งจือ ตอบ
”ข้อตกลง?”
”ใช้ข้อตกลงที่ข้าได้ให้ไว้นานแล้ว”
”เจ้าบอกได้ไหมว่าเป็นข้อตกลงอะไร?”
”แน่นอน”
”เชิญพูด”
”ข้าจะพูดมันแน่นอนหลังจากที่ท่านใส่ชื่อข้าในทำเนียบทองคำ”
องค์จักรพรรดิหลินมู่ไป่ ตะลึง ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า หลิน เทียนหลง รู้สึกอย่างไรเมื่อถูก ฟาง เจิ้งจือ หลอก
”เจ้าพูดตอนนี้ไม่ได้หรือ?””
”ไม่!
”ได้เอาล่ะอย่างน้อยช่วยบอกได้ไหมว่าเจ้าไปทำข้อตกลงไว้ตอนไหน?” องค์จักรพรรดินึกถึงเรื่องที่เป็นไปได้
ข้อตกลงที่ฟาง เจิ้งจือ ทำไว้ที่กองตรวจการศักดิ์สิทธิ์
ตอนนั้น…
ฟางเจิ้งจือ ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงที่กองตรวจการศักดิ์สิทธิ์และได้ทำข้อตกลงกับ ฉือ กูเหยียน
มันเป็นเรื่องที่นานแล้วแต่ไม่มีใครคิดว่ามันจะเป็นจริง แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ฟาง เจิ้งจือ ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ถ้าเป็นเรื่องนี้ องค์จักรพรรดิต้องคิดหนักแน่นอน
”เมื่อไหร่?อืม…หลังการทดสอบระดับจักรพรรดิ” ฟาง เจิ้งจือ นึก
”หลังจากการทดสอบระดับจักรพรรดิ?”องค์จักรพรรดิตกใจ และเริ่มนึดถึงความเป็นไปได้อื่นๆ มันหลังจากที่ ฟาง เจิ้งจือ ได้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสี่แล้ว ตอนนั้นเขาน่าจะกลับไปที่หมู่บ้านภูเขาทางเหนือแล้ว?”เจ้าตกลงเอาไว้ที่หมู่บ้านภูเขาทางเหนือใช่หรือไม่?”
”ใช่”ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้า
อันที่จริงข้อตกลงของเขากับฉือ กูเหยียน เกิดขึ้นที่หมู่บ้านภูเขาทางเหนือ
”ข้าเข้าใจ!เจ้ายังคงยืนกรานให้ข้าใส่ชื่อเจ้าลงไปในทำเนียบทองคำ?” องค์จักรพรรดิพยักหน้า มันคงเป็นเรื่องปกติที่คนธรรมดาอย่าง ฟาง เจิ้งจือ อาจจะสัญญาบางอย่างเอาไว้กับพ่อแม่หรือญาติพี่น้องของเขา
”แน่นอน”ฟาง เจิ้งจือ ยืนยัน
”ไม่ต่อรองอะไรแล้วใช่ไหม?”
”ไม่!”
”ได้!แต่เจ้าคิดจะให้เหล่าเจ้าหน้าที่ของข้าต้องนอนอยู่บนพื้นอีกนานไหม?” องค์จักรพรรดิพูดก่อนจะมองไปยังเหล่าเจ้าหน้าที่ที่นอนอยู่บนพื้นเพราะพิษ
ด้วยสถาการณ์แบบนี้ถ้าเขาเดาไม่ออกว่าการย่างเนื้อของฉาน ยู่ เกี่ยวข้องกับ ฟาง เจิ้งจือ เขาคงไม่สมกับเป็นองค์จักรพรรดิอีกต่อไปแล้ว
“โอ้…มียาแก้พิษเหลืออยู่ไม่มากและมันก็ค่อนข้างแพง” ฟาง เจิ้งจือ ดูอับอายเล็กน้อย
”อย่าต่อรองข้าอีกทำให้พวกเขาตื่นเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่ได้มีเหมืองทองอยู่สิบแห่งแล้วไม่ใช่หรือ?” องค์จักรพรรดิโต้กลับ
”ได้ๆ”ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้า
”เตรียมรถม้าไปที่หอพิพากษา!”เสียงขององค์จักรพรรดิดังก้องไปทั่ว
”รับทราบ!ขันทีเหว่ยตอบทันที “เตรียมรถม้า!”
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างสงสัยองค์จักรพรรดิจะประกาศทำเนียบทองคำใหม่งั้นหรือ? ม
ขณะที่องค์จักรพรรดิเดินไปประตูวังเหยียน ซิว และ ฟาง เจิ้งจือ ก็กำลังให้ยาแก้พิษกับเหล่าเจ้าหน้าที่
เมื่อเจ้าหน้าที่คนอื่นๆเห็นพวกเขาลังเลที่จะออกไปช่วย
เพราะ
จากระยะไกลพวกเขาเห็นสายตาอันน่าเกลียดน่ากลัวของ หลิน เทียนหลง
ฟางเจิ้งจือ ไม่ได้สนใจเขาแค่ส่งยาแก้พิษให้ ฟาง เจิ้งจือ เพิ่ม
”เหยียนซิว หลังจากชื่อของข้าถูกประกาศในทำเนียบทองคำ ไปเข้าร่วมการทดสอบคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์กัน ตอนนั้นข้าหวังว่าเจ้าคงไม่เป็นภาระของข้านะ!” ฟาง เจิ้งจือ กล่าวขึ้น
”ตึง!”
เจ้าหน้าที่รอบๆแทบหน้าทิ่มพื้นเมื่อได้ยิน
คนที่ไร้พลังกลับบอกคนที่มีพลังอันสูงส่งว่าเป็นภาระบ้าบอสิ้นดี
แต่เดี๋ยวก่อน!
เขาจะเข้าร่วมการทดสอบของศาลาเต๋าสวรรค์งั้นหรือ?!
เพจหลัก: Gate of god TH
ตอนที่ 558 การคัดเลือกศาลาเต๋าสวรรค์
“เขาบ้าไปแล้ว! เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนคิดว่าคนไร้พลังจะเข้าร่วมการขัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ได้เยี่ยงไร?
เขาคิดว่าจะผ่านไปได้?
แน่นอนว่าโอกาสแทบเป็นศูนย์!
การทดสอบนั้นถูกจัดขึ้นทุกๆสองปีโดยศาลาเต๋าสวรรค์เองไม่มีข้อยกเว้นสำหรับใครทั้งนั้น มีผู้ที่ได้สามอันดับแรกจากการทดสอบระดับสภาเท่านั้นถึงจะได้เข้าร่วมการคัดเลือก
ในแต่ละครั้งจึงมีผู้สมัครไม่น้อยกว่าร้อยคน
ในวันนี้ผู้ที่แข็งแกร่งจากทั่วมุมโลกจากปรากฎตัวขึ้น
แต่ฟาง เจิ้งจือ ล่ะ?
เขาเป็นคนที่ไร้พลังจะสามารถเอาชีวิตรอดได้ยังไงกัน?
เจ้าหน้าที่ล้วนตกตะลึง
แม้แต่องค์จักรพรรดิที่กำลังเดินไปประตูวังก็หยุดเมื่อได้ยินเรื่องนี้
”เขาคิดจะเข้าร่วมการคัดเลือกศาลาเต๋าสวรรค์งั้นหรือ?”องค์จักรพรรดิหันไปมอง ฟาง เจิ้งจือ ที่กำลังพูดคุยกับ เหยียน ซิว อยู่
เหยียนซิว แค่ตอบกลับเรียบๆเท่านั้น “ข้าแข็งแกร่ง!”
”เยี่ยมมากเมื่อถึงตอนนั้นข้าจะขอเอาที่หนึ่งไป ส่วนที่สองข้าจะยกให้เจ้า!” ฟาง เจิ้งจือ ยิ้มอย่างสดใส
”โอ้!”
”จะมีใครไร้ยางอายได้ขนาดนี้ไหม?”
”หน้าของเขาหนากว่ากำแพงเมืองเสียอีกเขาคิดว่าการทดสอบของศาลาเต๋าสวรรค์เป็นเรื่องเล่นๆหรือไงกัน?”
เจ้าหน้าที่พูดไม่ออก
พวกเขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมาเพราะตอนนี้เรื่องที่ใหญ่ที่สุดคือ องค์รัชทายาท หลิน เทียนหลง
พวกเขาทำได้แค่หัวเราะออกมาเท่านั้น
”เจ้าหน้าที่ฟางใช่ว่าข้าจะไม่สนับสนุนทาน แต่…ฮ่าฮ่า!” เหวิน เต๋าเปา เองก็เช่นกัน
สองชั่วโมงต่อมา…
เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างยืนรอที่หอพิพากษาท่าทีของพวกเขาต่างจากของ ฉาน ยู่ อย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะรัฐมนตรีกรมพิธีการกรมแรงงาน และรัฐมนตรีกรมเมือง
พวกเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรมพวกเขาถูกวางยาพิษจากเนื้อแกะ แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว พวกเขาจะกล้าทำอะไร?
หลินเทียนหลง มองอย่างขมขื่น เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่เขายังคงไม่เคลื่อนที่ไปไหน
เหตุผลนั้นง่ายมาก
เขาต้องการจำช่วงเวลาที่ภาคภูมิใจของฟาง เจิ้งจือ ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
กลับกันการแสดงออกของราชาต้วนนั้นดีกว่ามากการรื้อคดีขึ้นมาใหม่ทำให้เขาได้ประโยชน์อย่างมาก
”ฟางเจิ้งจือ จงฟัง!” เสียงของขันทีเหว่ยดังขึ้น
”รับทราบ!”ฟาง เจิ้งจือ พยักหน้า เขาเดินไปที่ทางเข้าพอพิพากษาและทำการเคารพขันที่เหว่ยและองค์จักรพรรดิ
ฟางเจิ้งจือ ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นทางการเท่าไร ทำให้ขันทีเหว่ยไม่พอใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพราะองค์จักรพรรดิไม่ได้มีท่าทีอะไร
”ฟางเจิ้งจือ ได้อันดับที่หนึ่งในการทดสอบระดับสภารอบที่แล้ว และแน่นอนชื่อของเขาต้องปรากฎอยู่บนทำเนียบทองคำ!” เสียงของขันทีเหว่ยดังขึ้นอีกครั้ง
องค์จักรพรรดิเดินไปยังแผ่นหินสีทองที่วางอยู่ใกล้ประตูทางเข้าหอช้าๆเขาขยับนิ้วมือไม่กี่ครั้งชื่อก็ปรากฎขึ้นบนแผ่นหินนั้น
”ฟางเจิ้งจือ!”
ถัดจากชื่อของหนานกง เฮา
เมื่อเห็นชื่อนั้นเหล่าเจ้าหน้าที่ต่างมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป
เขาทำมันจริงๆ!
ฟางเจิ้งจือ จากชาวบ้านๆธรรมดาๆมาได้ไกลถึงเพียงนี้…อันดับหนึ่งทั้งการทดสอบด้านปัญญาและการต่อสู้…
นี่คือตำนานที่ไม่มีใครสามารถเอาชนะได้เพราะตำแหน่งของเขาตอนนี้ถือว่าสูงที่สุดในการทดสอบแล้ว ไม่มีใครเอาชนะได้
ผู้คนที่ยืนอยู่รอบๆเต็มไปด้วยความตื่นเต้นก่อนที่เหล่าทหารองค์รักษ์จะตะโกนประกาศออกไปนอกพระราชวัง
”ฟางเจิ้งจือ อันดับที่หนึ่งในการทดสอบระดับสภาด้านการต่อสู้!”
”ฟางเจิ้งจือ อันดับที่หนึ่งในการทดสอบระดับสภาด้านการต่อสู้!”
”…”
เสียงดังสะท้อนออกไปไกลเรื่อยๆ
ผู้คนในเมืองหลวงต่างได้รับกระดาษแผ่นหนึ่งที่กระจายไปทั่วเมืองพวกเขาตกใจกับข่าวที่ได้รับเป็นอย่างมาก
”เกิดอะไรขึ้น?”
”ไม่ใช่ว่าการทดสอบระดับสภานั้นยังไม่เริ่มหรอกหรือ?”
”วันนี้ฟาง เจิ้งจือ ได้ปรากฎตัวขึ้นที่ประตูวังและพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ผิด! องค์จักรพรรดินำชื่อเขาไปใส่ไว้ในทำเนียบทองคำอีกครั้ง!”
”จริงรึ?คดีนั้นเกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทเชียวนะ!”
”มันเป็นความจริงเรื่องนี้ได้กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้ว คดีดินแดนภูเขาทางใต้ถูกรื้อขึ้นมาใหม่ ฟาง เจิ้งจือ จึงถูกขานชื่อในทำเนียบทองคำอีกครั้ง!”
สำหรับพวกเขาทุกคนมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
ท่ามกลางเรื่องที่พวกเขาถกเถียงกันมีเรื่องที่ ฟาง เจิ้งจือ จะเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ด้วย
ทุกคนต่างหัวเราะเยาะออกมาเมื่อได้ยิน
”เขาจะเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์?ฮ่าฮ่า…จะเป็นไปได้ยังไง? เขาคงคิดว่าการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ง่ายมากกระมั้ง?”
”ฟางเจิ้งจือ ก็เป็นคนแบบนั้นอยู่แล้วนี่!”
”ฮ่าฮ่าฮ่า…”
แม้ผู้คนจะไม่เชื่อว่าฟาง เจิ้งจือ จะเข้าร่วมการคัดเลือกของศาลาเต๋าสวรรค์ แต่ไม่มีใครสงสัยที่เขาได้ที่หนึ่งในการทดสอบระดับสภาด้านการต่อสู้ ผลงานของเขาทุกคนล้วนรู้ดี
ความจริงแล้ววีรกรรมของฟาง เจิ้งจือ ในสงครามแดนใต้นั้นได้แพร่กระจายไปไกลถึงเมืองหลวง อาณาจักรเซี่ย
ถึงแม้จะมีการพูดถึงทำเนียบทองคำอยู่บ้าง
แต่มันเทียบไม่ได้กับก่อนหน้านี้เพราะการพูดถึงในครั้งนี้มันเกี่ยวข้องกับคดีใหญ่ของดินแดนภูเขาทางใต้
…
ทางตะวันออกของวังณ ที่พักขององค์รัชทายาท
”เพล้ง!”ถ้วยหยกสีขาวถูกปาลงพื้น
หมอประจำตัวทั้งสองต่างตกใจและคุกเข่าลงด้านหลังพวกเขามีเจ้าหน้าที่มากกว่าสิบคน
”ออกไปซะ!”องค์รัชทายาทหลิน เทียนหลง ตะคอกไล่
”ขะ…ขอรับ”หมอทั้งสองคนเดินออกจากห้องในทันที พวกเขาตื่นตระหนกอย่างมาก ทั้งคู่ต่างสับสนงุนงง
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่ต่างมองหน้ากันจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เดินออกมายืนกลางห้อง
”ฝ่าบาททางออกเดียวคือผลักความผิดไปให้ ซู ฉิง!”
”ใช่แล้วฟาง เจิ้งจือ ไม่ได้พูดถึงหลักฐานการก่ออาชญากรรมของ ซู ฉิง ใช่ไหมดังนั้น เราควรทำตามแผนของเขา เมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะไม่สามารถพูดอะไรได้”เจ้าหน้าที่อีกคนพูด
”ถูกต้อง!ผู้ที่มีความทะเยอทะยานจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ และนักรบทุกคนย่อมมีจุดอ่อนฝ่าบาท ท่านไม่จำเป็นต้องปกป้อง ซู ฉิง อีกต่อไป”
”เป็นเรื่องดีมากที่องค์จักรพรรดิยังคงอยากปกป้องท่านตราบใดที่ไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัดเจน ท่านจะยังสามารถรักษาตำแหน่งเอาไว้ได้ ในอนาคตข้างหน้า ฝ่าบาทยังคงมีสิทธิ์ในบัลลังก์!”
”ฝ่าบาทท่านควรอดทนรอสักหน่อย ถึงตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ จะมาขวาง แต่เขาก็ยังเป็นแค่เจ้าหน้าที่ เมื่อฝ่าบาทกลายเป็นจักรพรรดิ พวกเขายังจะทำอะไรได้อีก?”
เจ้าหน้าที่แต่ละคนเริ่มออกความเห็นอย่างรอบคอบ
”เจ้ากำลังรออะไรอยู่?ส่งคนไปดินแดนทางเหนือทันที!”องค์รัชทายาทกล่าวพร้อมกำมือแน่น
”รับทราบ!”เจ้าหน้าที่น้อมรับคำสั่ง
”ฝ่าบาทท่านไม่สามารถทำเช่นนี้ได้!”เจ้าหน้าที่อีกคนพูดขัดขึ้นมา
”ทำไมกัน?พวกเราจะรอให้ ซู ฉิง กลับมางั้นหรือ?”หลิน เทียนหลง จ้องมองเจ้าหน้าที่ด้วยแววตาที่เย็นชา
”ไม่อย่างแน่นอนแต่ ซู ฉิง ไปฝึกฝนอยู่ที่ดินแดนทางเหนือเป็นเวลาหนึ่งปี ถ้าจู่ๆพวกเราก็โจมตี ซู ฉิง เขาจะเป็นปฏิปักษ์กับเรา”
”แล้วเจ้าจะให้ทำยังไง?”
”ข้าคิดว่าวิธีการที่ดีที่สุดคือหลอกล่อเขามาที่เมืองหลวงแล้วโจมตีเขาที่นั่นแม้ว่าการลอบสังหารจะล้มเหลว แต่ให้เขาอยู่ที่เมืองเหยียนดีกว่าดินแดนทางเหนือ!”
”จะล่อเขามายังไง?ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้ากองตรวจการทั้งห้าของแดนเหนือเรื่องที่ ฟาง เจิ้งจือ พูดในทำเนียบทองคำนั้นแพร่กระจายไปทั่ว การพลิกคว่ำคดีจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ แล้วเขาจะเข้าเมืองหลวงได้ยังไง?”
”เรื่องนั้น… ” เจ้าหน้าที่พูดไม่ออก
เจ้าหน้าที่ที่เหลือต่างก็ส่ายหัวมันเป็นเรื่องที่ยากเกินไปที่จะหลอกล่อ ซู ฉิง มาที่เมืองเหยียน ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีอะไรจะสามารถหลอกล่อ ซู ฉิง มาได้เลย
”เจ้าพวกโง่!”องค์รัชทายาทหลิน เทียนหลง ยังคงกำมือแน่น เมื่อเทียนกับรัฐมนตรีฝ่ายซ้าย ยู่ ยี่ปิง เจ้าหน้าที่พวกนี้ช่างไร้ปัญญานัก
มันทำให้เขาแทบเป็นบ้า
”ข้าอยากพบรัฐมนตรีฝ่ายซ้ายยู่ ยี่ปิง เรียกเขามาพบข้า!”หลิน เทียนหลง กัดฟันแน่นในขณะที่พูดออกไป ฟาง เจิ้งจือ เจ้าคิดว่าแค่ตัดแขนของข้าแล้วจะทำให้ข้าล้มเลิกไปง่ายๆงั้นหรือ?
”เรื่องนั้น… ” เจ้าหน้าที่ลังเล
”เจ้ามีปัญหาอะไรไหม?”หลิน เทียนหลง เริ่มไม่พอใจ ในฐานะองค์รัชทายาทที่จะได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไป การที่ถูกขัดขวางไม่ให้พบคนที่ตัวเองอยากพบทำให้เขาโกรธมาก
”ฝ่าบาทท่านคงรู้อยู่แล้ว เหวิน ฉวน ตอนนี้กำลังทำงานให้ราชาต้วนอยู่ การที่จะเรียกคนออกมาจากคุกที่ เหวิน ฉวน รับผิดชอบอยู่นั้น… !” เจ้าหน้าที่ส่ายหัวปฏิเสธ
”แล้วยังไง?ข้าไม่สามารถเจอเขาได้งั้นหรือ?” หลิน เทียนหลง กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
เจ้าหน้าที่เงียบและก้มหัวลงมันยากเกินไปที่จะไปพบ ยู่ ยี่ปิง โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นนี้
กรมกฎหมาย!
มันเหมือนก้างปลาชิ้นใหญ่ที่ติดอยู่ในคอของพวกเขา
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมาในใจของเหล่าเจ้าหน้าที่ ทำไมเจ้าหน้าที่ ว่าน ฉง ถึงเป็นเป้าหมายคนแรกของ ฟาง เจิ้งจือ ในเมืองหลวง?
เป็นไปได้ไหมว่า…
ทั้งหมดนี้เป็นแผนของฟาง เจิ้งจือ?
ถ้ามันเป็นเรื่องจริงมันคงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก
ทั้งห้องต่างอยู่ภายใต้ความเงียบ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะเบาๆสองครั้งดังมาจากประตู ก่อนที่จะมีเสียงดังตามมา
”ฝ่าบาทเจ้าหน้าที่กรมกฎหมายสั่งให้ข้ามาส่งจดหมาย!”
”เหวินฉวน?!”
”ทำไมเขาถึงเขียนจดหมายมาให้พวกเรา?”
เหล่าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเชื่อเรื่องนี้ได้
”เข้ามา!”หลิน เทียนหลง พูดขึ้นมาทันที แม้ตัวเขาจะสงสัยเช่นกัน
เจ้าหน้าที่ทุกคนจ้องที่ประตูห้อง
เมื่อประตูเปิดออกมาคนรับใช้ในชุดดำก็เดินเข้ามาในห้องในมือของเขามีซองดำถูกผิดผนึกอยู่
เขาเดินไปที่กลางห้องคุกเข่าลง ก่อนจะยื่นจดหมายออกไป
เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรับจดหมายและส่งต่อให้หลิน เทียนหลง
เขาเปิดซองจดหมายอย่างรวดเร็วทันใดนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
”ฝ่าบาทเขาบอกว่ายังไงบ้าง?” เจ้าหน้าที่ถามอย่างระมัดระวัง
”เอาไปอ่านเอง”เขาส่งมันให้เจ้าหน้าที่
ดวงตาของเจ้าที่คนนั้นมองกวาดไปทั่วก่อนที่เขาจะอ้าปากค้าง
เมื่อเห็นเช่นนั้นเจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็เดินเข้ามาใกล้
เพราะ
เมื่อพวกเขาเห็นจดหมายพวกเขาก็มีท่าทีแบบเดียวกัน ราวกับพวกเขาพึ่งเห็นผี
เพราะเนื้อหามันชัดเจนมากเนื้อหาอันเรียบง่าย
มันเป็นเพียงประโยคเดียว!
”ซูฉิงเข้าสู่เมืองหลวงแล้ว!”
แต่ที่สำคัญกว่านั้นเห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่ลายมือของ เหวิน ฉวน เขาทำหน้าที่มานานหลายสิบปี พวกเขาจะไม่รู้จักลายมือของ เหวิน ฉวน ได้ยังไง?
แต่เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ประเด็นหลัก
ประเด็นหลักคือ…
ทำไมซู ฉิง ถึงเข้ามาที่เมืองหลวง? เข้าสู่เมืองหลวงในเวลาเช่นนี้? โดยที่ไม่แจ้งองค์รัชทายาทล่วงหน้าอีกด้วย?
เพจหลัก: Gate of god TH