Gate of God - ตอนที่ 611 ราชาอสูรรุ่นเยาว์
”ถ้าเจ้าตอบถูกต้องข้าจะไม่ฟาดมัน!”ซู ฉิง ผู้ที่กำลังสั่นสะท้านได้ยินและจ้องไปที่ ฟาง เจิ้งจือ
แม้เขาจะรู้ว่าฟาง เจิ้งจือ ทำอะไรอยู่
แต่เขาก็ตระหนักถึงสถานะตัวเองในตอนนี้ราวกับหญิงสาวที่เมาอยู่แล้วถูกกดด้วยชายร่างยักษ์
แม้ว่าจะต่อต้านไปก็ไร้ประโยชน์”ไม่ อย่านะ! ช่วยข้าด้วย! ปล่อยข้าไปเถอะ …”
การร้องขอความช่วยเหลือนั้นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
แต่นอกจากกรีดร้องนางจะทำอะไรได้อีก?หรือจะให้นางสมยอม? “ใช่ มันดีมาก กอดข้า ทำข้าแรงๆ” งั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นซู ฉิง จึงทำได้เพียงแค่ตะโกน และต้องตะโกนจนกว่าศัตรูจะยอมปล่อยเขา
”หนึ่ง!”
เมื่อฟาง เจิ้งจือ พุดเช่นนั้น ความคิดมากมายก็ผุดขึ้นในหัวของ ซู ฉิง จากนั้นเขาก็กัดฟันแน่นแล้วตะโกนว่า “เจ้าทำไปเพราะมีเป้าหมาย?”
”ถูกต้อง!”ฟางเจิ้งจือ พอใจกับคำตอบของ ซู ฉิง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้น “แต่เวลาหมดแล้ว!”
อะไรกัน…?
หมดเวลา?
เขาถูกรังแก
เขาถูกรังแกอย่างแท้จริงความโกรธอัดแน่นในใจของ ซู ฉิง
”หนอย…”เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นก็มอง ฟาง เจิ้งจือ วางประตูชีวิตไว้ที่สี่ค่ายกลโบราณ “ไม่!”
ในตอนนั้นเองซู ฉิง ตกอยู่ในความสิ้นหวัง
ฟางเจิ้งจือ ฟาดประตูทองแดงใส่สี่ค่ายกลโบราณ
แผ่นทองแดงที่ติดอยู่ที่ประตูเมืองสั่นไวในทันทีก่อนที่จะเกิดรอยร้าวที่ค่อยๆขยายตัวไปทั่วมันกระจายตัวเร็วขึ้นเรื่อยๆ…
ก่อนที่เสียงระเบิดจะดังขึ้น
”ตูม!”
แสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นเศษซากทองแดงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาราวกับกลุ่มดาวตก มันพุ่งเข้าใส่กองทัพคนเถื่อนจนได้รับบาดเจ็บ
มันเป็นฉากที่น่าตกตะลึงและน่าเศร้า
”ฟางเจิ้งจือ ข้าจะฆ่าเจ้า!”ซู ฉิง พูดพร้อมกำมือแน่น ตาของเขาแดงก่ำ
…
ภายในวัง
การต่อสู้ยังคงดุเดือดทั้งเหล่าทหารป้องกันเมือง ทหารแดนใต้และทหารองครักษ์
แววตาของเฉียน วู่ กลายเป็นสีแดงเลือด เขารู้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมสงครามนี้ได้ แต่เขาก็ยังมีความหวัง
จนกระทั่ง…
เขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่น
มันดังมาจากทางประตูเมืองมันรุนแรงจนเสียงมาถึงพระราชวัง
”เป็นไปได้ยังไง?”เฉียนวู่ มองไปทางเสาแสงที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาไม่คิดว่าทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้
เขาวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบมาเป็นเวลานาน
แผนการทุกอย่างไร้ที่ติทั้งการจัดการพระราชวัง และเข้าควบคุมประตูทั้งสี่ทิศ ทุกอย่างผ่านกระบวนการคิดมาอย่างรอบคอบ
และชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อม
แล้วเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?
แววตาที่เย็นชาของเฉียน วู่ จับจ้องไปที่จักรพรรดิ แน่นอนว่าเขาสามารถเลือกที่จะต่อสู้จนกว่าสงครามจบ
แต่ถ้าเขาสู้ต่อผลจะเป็นยังไง?
ไม่มีใครรู้!
…
ที่บ้านพักสักแห่งในเมืองเหยียน
แสงจันทร์ที่กำลังสาดส่องเผยร่างของหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างต้นไม้ ชุดคลุมของนางขาวราวกับหิมะแรกของฤดูกาล
”นายน้อยหัวหน้าดินแดนหยินส่งข้ามามอบสิ่งนี้ให้ท่าน!”ร่างสีดำเดินเข้ามาและคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงสาว
เขาถือบางอย่างที่คล้ายกับกระจกมีอักขระที่ซับซ้อนแกะสลักเอาไว้ด้านบน มันดูงวดงามไม่น้อย
แต่ถ้าพูดถึงกระจกของสิ่งนี้ไม่สะท้อนรูปร่างเหมือนกระจกทั่วไปหรือถ้าพูดให้ถูกคือมันมืดมิด
”อืม”หญิงสาวพยักหน้าขณะที่นางยื่นมือออกไปรับกระจก นิ้วของนางเรียวเล็กเป็นอย่างมาก
”ฟู่…!”
เสียงเล็กๆดังออกมา
ทันใดนั้นเองกระจกที่มืดสนิทก็สว่างขึ้นราวกับแสงจันทร์ที่ส่องสะท้อนทะเลสาบบนกระจกค่อยๆเผยให้เห็นภาพบางอย่าง
ภูเขา,ทะเล ,ดอกบัว
จากนั้นภาพก็ค่อยๆกลายเป็นทรายลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วก่อตัวเป็นรูปร่างของเมืองโบราณ
แล้วก็กลายเป็นป่าทึบ…
แล้วก็หายไปหน้ากระจกกลับคืนสู่ความมืด
”ศิลาเต๋าสวรรค์ทั้งสิบสามก้อนอยู่ที่นั่น?”หญิงสาวที่ถือกระจกนางกระตุกคิ้วเล็กน้อย
”หัวหน้าหยินพบว่ามันอยู่ที่บ้านพักของราชาหลี่ฉิน ทั้งสิบสามก้อน” ร่างสีดำตอบกลับ
”อืมดูเหมือนว่า ซิง หยวนกัว ยังไม่พบชิ้นที่หายไปตอนเกิดเหตุการณ์ภูเขาคังหลิง!”นางพยักหน้า
”หรือว่ามันจะอยู่กับฟาง เจิ้งจือ จริงๆ?”
”ประตูเมืองใช้การได้หรือยัง?”หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเขานางมองไปทางประตูเมืองด้วยแววตาที่สดใส
”ขอรับหัวหน้าหยินบอกว่าอาณาจักรเซี่ยตั้งรับได้รวดเร็วกว่าที่คิดในตอนนี้ศิลาเต๋าสวรรค์ถูกพวกเราเอามาหมดแล้ว เขาขอให้นายน้อยรีบออกไปและเขาจะจัดการที่เหลือเอง!”
”ไปกันเถอะ”
”รับทราบ!”
…
ณประตูทิศตะวันออกของเมืองเหยียน
ฟางเจิ้งจือ เผยรอยยิ้มให้ ซู ฉิง เขาตระหนักดีถึงความรู้สึกของ ซู ฉิง ในขณะนี้ …
แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในตอนนี้คือราชาอสูร…
ราชาเซี่ยโหลว
”ไม่หนีแล้วหรือ?”ราชาเซี่ยโหลวเอ่ยถาม
”แน่นอนข้าจะหนี” ฟาง เจิ้งจือ ตอบอย่างจริงใจ
”ไปที่ไหนล่ะ?”ราชาเซี่ยโหลวมองไปทางประตูเมืองที่แตกสลายเศษซากทองแดงเกลื่อนเต็มพื้น
”นอกเมืองหลวง”ฟาง เจิ้งจือ ตอบกลับ
”ดูเหมือนเจ้าเตรียมใจที่จะกระโดดลงไปแต่คิดหรือว่าเจ้าจะทำได้?”ราชาเซี่ยโหลวยิ้มเยาะ
”มาลองดูกันดีกว่า”ฟาง เจิ้งจือ ยิ้มกลับ
”เอาล่ะเราจะได้เห็นกัน” ราชาเซี่ยโหลวพยักหน้าอีกครั้ง
”เอาล่ะข้าจะโดดล่ะนะ”
”ได้”
”ข้าจะโดดจริงๆแล้วนะ!”
”เชิญ!”
”ข้าจะโดดเดี๋ยวนี้แล้ว!”เมื่อฟาง เจิ้งจือ พูดจบเขาก็หันมองรอบๆและวิ่งไปที่ริมกำแพง
ราชาเซี่ยโหลวเองก็ตามเขาไป
เขาเข้าไปถึงด้านหลังของฟาง เจิ้งจือ ราวกับผี จากนั้นก็ยื่นมือไปที่หัวของ ฟาง เจิ้งจือ
แล้วก็เป็นอย่างที่ราชาเซี่ยโหลวพูด….ไอรีนโนเวล.
ฟางเจิ้งจือ ไม่สามารถกระโดดลงไปได้เพราะราชาเซี่ยโหลวเร็วเกินไป
ในตอนนั้นเองฟาง เจิ้งงจือ ทิ้งประตูชีวิตจากมือของเขา หรือพูดให้ถูกคือมันหลุดออกจากมือเขา
ประตูชีวิตขวางราชาอสูรเอาไว้
”… ” ราชาอสูรเหยียดยิ้ม เขาไม่แปลกใจกับการเคลื่อนไหวของ ฟาง เจิ้งจือ คิดว่าเขาจะคาดไม่ถึงงั้นหรือ?
เขาไปปรากฎตัวด้านหน้าฟาง เจิ้งจือ ทันที
”เอาล่ะตอนนี้เจ้าจะทำอะไรได้อีกไหม?”ราชาเซี่ยโหลวเผยยิ้มออกมา เขายกฝ่ามือขึ้นอีกครั้งพร้อมจะโจมตีใส่ ฟาง เจิ้งจือ
แต่…
ในตอนที่กำลังโจมตีเขาก็ตระหนักถึงบางอย่าง สีหน้าของ ฟาง เจิ้งจือ ไม่มีความหวาดกลัวอยู่เลย
ในทางตรงกันข้ามเขาสงบมาก
ราวกับว่าเขาไม่เห็นฝ่ามือของราชาเซี่ยโหลว
”ทำไมกัน!”แววตาของราชาเซี่ยโหลวเปลี่ยนไปเขารีบยั้งการโจมตีของตัวเองทันที
”ตูม!”
กำแพงเมืองสั่นไหวจากแสงสีแดงที่ส่องสว่างอยู่ด้านหลังราชาเซี่ยโหลวมันเป็นสีแดงเลือด
คลื่นระเบิดขนาดใหญ่แผ่ออกไปด้านนอก
กองทัพคนเถื่อนที่อยู่บนกำแพงต่างโดนแรงระเบิดกระเด็นตกลงมา
ซูฉิง เองก็โดนแรงระเบิดเช่นกัน
มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ด้านหลังของราชาเซี่ยโหลวมีร่างๆหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น
สี่ค่ายกลโบราณถูกทำลายแล้ว
การปิดล้อมด้านบนกำแพงเองก็ถูกทำลายเช่นกันเมื่อประตูเมืองเปิดออก พวกเขาก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก
ร่างสีดำนับไม่ถ้วนนั่งอยู่บนหลังม้าพวกเขาทุกคนสะพายธนูไว้บนหลัง เหน็บมีดสั้นไว้ที่เอว…
กองทหารเมฆา
ชื่อนี้ผุดขึ้นในหัวของกองทัพคนเถื่อน
เขาแต่งตัวเหมือนกับกองทหารเมฆา
เหล่ากองทัพคนเถื่อนต่างรู้ดีว่าเขาเป็นใครเหยียนเฉียนหลี่ ผู้นำแห่งเหลียงตะวันตก
”เขากล้าต่อกรกับรชาอสูรงั้นหรือ?”
”เกิดอะไรขึ้น?”
”แม้จะเป็นเหยียน เฉียนหลี่ ก็ยังเป็นไปได้ยาก!”
กองทัพคนเถื่อนตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นกองทัพทลายภูผาก็เช่นกัน พวกเขารู้ดีว่า เหยียน เฉียนหลี่ นั้นแข็งแกร่ง แต่การต่อกรกับราชาอสูรก็ยังคงเป็นเรื่องยาก
แต่ความจริงที่เห็น…
เหยียนเฉียนหลี่ ยืนอยู่ต่อหน้าราชาเซี่ยโหลวอย่างไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย
”น่าสนใจ!ช่างน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆแล้ว เอาล่ะ ไหนๆเจ้าก็มาถึงที่นี่ทั้งที ทำให้ข้าสนุกมากกว่านี้อีกสิ!”ราชาเซี่ยโหลวหันมอง เหยียน เฉียนหลี่ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง
”ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ถ้ามีเรื่องสนุกก็คงจะดีกับข้าไม่น้อย!”เหยียน เฉียนหลี่ พูดด้วยเสียงแหบแห้ง
”ท่านเหยียนท่านมาช้ามาก!” เสียงของ ฟาง เจิ้งจือ ดังขึ้น
จากนั้นไม่นานร่างอีกสี่ร่างก็ตามมาถึงเช่นกัน
ราชาหลี่ฉิน,เหยียน ซิว, ฉาน ยู่ และ ปิง หยาง
”ท่านตา!”เหยียนซิว สังเกตุเห็น ฟาง เจิ้งจือ ที่ยืนอยู่ด้านหลังราชาเซี่ยโหลวและถอนหายใจด้วยความโล่งอกและทักทาย เหยียน เฉียนหลี่
”อืม”เหยียน เฉียนหลี่ พยักหน้า จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆก่อนจะพูดว่า “นั่นก็แค่ราชาอสูรรุ่นเยาว์ เมืองเหยียนถึงกับวุ่นวายขนาดนี้เลยหรือ?”
”ราชาอสูรรุ่นเยาว์?!”
”เหยียนเฉียนหลี่ พูดว่าเป็นแค่รุ่นเยาว์งั้นหรือ?”
ทั้งกองทัพทลายภูผากองทัพคนเถื่อน ต่างมองดูด้วยความตะลึง ราชาอสูรมีระดับด้วยงั้นหรือ?
ยังไงก็ตาม
แม้แต่เซียนก็ไม่สามารถเอาชนะราชาอสูรได้เพราะว่าพวกมันแข็งแกร่งกว่ามนุษย์
แต่เหยียน เฉียนหลี่ กลับพูดเช่นนั้น
แม้แต่ฟาง เจิ้งจือ ก็ตัวแข็งค้างไปชั่วครู่
”ท่านเหยียนพวกเรารู้ดีว่าท่านคือผู้ยิ่งใหญ่ แต่อย่าได้ประมาทเลย”ราชาหลี่ฉินผงะไปในทันทีและเขาพูดพร้อมกับส่ายหัวอย่างผิดหวัง
”ประมาท?นั่นก็เรื่องของเจ้า ข้าไม่สนใจ ถ้าเจ้าอยากรู้นัก ก็คอยดูให้ดีข้าจะจัดการอสูรตัวน้อยนี้เอง!”เหยียน เฉียนหลี่ ตอบกลับก่อนที่จะก้าวเข้าไปหาราชาเซี่ยโหลวแล้วถอดชุดคลุมออก
ผมสีเงินยาวประบ่าของเขา
ทุกคนต่างจับจ้องไปที่เหยียน เฉียนหลี่ เพราะเขาไม่ได้ออกมาจาก เหลียงตะวันตกนานมากแล้ว
เขาสวมหน้ากากอยู่
มันเป็นหน้ากากทองคำมีคมเขี้ยวสีเขียวและใบหน้าที่ดุร้าย
”หน้ากาก?!”
”เหยียนเฉียนหลี่ สวมหน้ากาก?”
”เกิดอะไรขึ้น?”
พวกเขาต่างมองไปที่หน้ากากด้วยความสงสัยพวกเขารู้ว่าการที่ เหยียน เฉียนหลี่ เดินทางมาที่เมืองหลวง เพื่อร่วมงานเลี้ยงที่ทะเลสาบสิบลี้
นั่นหมายความว่าเขาได้พบจักรพรรดิ
เขาสวมหน้ากากขณะพบองค์จักรพรรดิงั้นหรือ?
ทำไมเขาถึงสวมหน้ากาก?
มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในใจ
แต่เมื่อราชาหลี่ฉินเห็นเช่นนั้นท่าทีของเขากลับเต็มไปด้วยความตกตะลึงดวงตาของเขาเป็นประกาย
”ท่านเหยียนนี่ท่าน… ”
”ฮ่าฮ่าฮ่า… ” เหยียน เฉียนหลี่ หัวเราะ เขาไม่ได้ตอบราชาหลี่ฉินในทันที เขาเอามือจับหน้ากากและค่อยๆถอดมันออก
สิ่งที่เผยให้เห็นคือใบหน้าที่อ่อนเยาว์ขนคิ้วคมเข้ม ดวงตาที่สง่างาม และผิวพรรณที่เปล่งประกาย
ใบหน้าที่เห็นนั้นมีอายุไม่ถึงสามสิบปีด้วยซ้ำ!