Gate of God - ตอนที่ 712 เจ้าแม่หนี่วา
เทียนซิงไม่เข้าใจว่าทำไม ฉือ กูเหยียน ถึงใช้วิธีการสลับที่แบบฉับพลัน เขายิ่งสับสนมากยิ่งขึ้นเมื่อนางบอกว่าเขาถูกหลอกแล้ว
จนกระทั่งเขาเห็นฉือ กูเหยียน กระอักเลือดออกมาและกระเด็นไปบนท้องฟ้า นางพุ่งขึ้นไปหา ฟาง เจิ้งจือ ที่ถูก เทียนซิง ต่อยกระเด็นขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง…
ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของนาง
”แม้หลังจากที่ข้าทำให้เจ้าบาดเจ็บเจ้าก็ยังคงเลือกที่จะเข้ามาขวางเพื่อรับการโจมตีแทน ฟาง เจิ้งจือ งั้นรึ?!” นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอิจฉา ฟาง เจิ้งจือ
ทั้งไร้ยางอายทั้งอายุสั้น แต่นางถึงกลับเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อปกป้อง ต่อให้ตายไป ฟาง เจิ้งจือ จะมีอะไรต้องเสียใจอีก?
นี่คือสิ่งที่เทียนซิง คิด
แต่อย่างไรก็ตามด้วยความรวดเร็ว ดวงตาของ เทียนซิง เบิกกว้าง
เพราทันใดนนั้นร่างของฟาง เจิ้งจือ ก็ส่งแสงสีทองออกมา
มันต่างจากก่อนหน้านี้เพราะนี่คือข้อความศักดิ์สิทธิ์ สัญลักษณ์สีทองจำนวนมากหมุนวนไปทั่วตัวของ ฟาง เจิ้งจือ
เทียนซิงตกตะลึง
และสิ่งที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคือลำแสงสีทองที่ส่องลงมาจากสวรรค์ได้ตกกระทบเข้ากับร่างของฟาง เจิ้งจือ แต่มันไม่มีท่าทีจะหยุด หลังจากแสงนั้นโอบล้อม ฟาง เจิ้งจือ เสร็จ มันก็ค่อยๆไหลผ่านไปหา ฉือ กูเหยียน ที่กำลังพุ่งเข้ามาหา ฟาง เจิ้งจือ ด้วยเช่นกัน
”ตูม!”
สวรรค์และโลกถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ลำแสงสีท่องพุ่งผ่านทั้งฉือ กูเหยียน และ ฟาง เจิ้งจือ มาที่พื้น
ราวกับสะพานที่เชื่อมสวรรค์และโลกเข้าไว้ด้วยกัน ท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่วเสียงเพลงอันไพเราะและแปลกประหลาดก็ดังขึ้นมาอย่างลึกลับ
ทุกคนต่างยืนนิ่ง
นี่เป็นการมาถึงของคำพยากรณ์สวรรค์และเป็นการชี้ให้เห็นถึงผู้ที่ถูกเลือก
”มันเกิดขึ้นได้ยังไง?เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง… “เทียนซิง ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
และไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ทุกคนก็ไม่เชื่อเช่นกัน
มู่ฉิงเฟิง เองก็เช่นกัน ตอนนี้เขายืนอยู่ห่างจาก เทียนซิง ประมาณสิบก้าว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความตื่นเต้น รวมถึงความรู้สึกอีกหลากหลาย
เขาตกใจแต่ก็งุนงง เพราะไม่ใช่ ฉือ กูเหยียน เท่านั้นที่อยู่ในลำแสงสีทอง
เหตุใดฟาง เจิ้งจือ ถึงอยู่ในนั้นด้วย?
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?
หรือมันเป็นโชคชะตา? …
ฟางเจิ้งจือ เองก็สับสนเช่นกัน
เขาไม่ได้สังเกตุเห็นแสงที่ส่องออกมารอบๆตัวเขาสิ่งที่เขารู้คือเขาถูกชกขึ้นมาบนท้องฟ้า
แต่ในขณะที่เขากำลังลอยขึ้นไป…
เขาก็เห็นฉือ กูเหยียน พุ่งเข้ามาหาเขา
ชุดสีชมพูเปื้อนเลือดขัดกับดวงตาอันสดใสที่เขาจำได้ดีฟาง เจิ้งจือ กางแขนรับนางเข้ามาในอ้อมแขน
จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยออร่าอันอบอุ่น
ร่างของฉือ กูเหยียน ที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาก็เปล่งแสงสีทองออกมาเช่นกัน อักษรสีทองมากมายปรากฎขึ้นมาบนตัวนาง
”เกิดอะไรขึ้น?”ฟาง เจิ้งจือ มีปัญหาในการเข้าในสถานการณ์ในตอนนี้เล็กน้อย เขามีเวลาทำความเข้าใจน้อยเกินไป
ในความเป็นจริงเมื่อเขาเห็นตัวอักษรและสัญญลักษณ์สีทองปรากฎขึ้นบนตัวฉือ กูเหยียนเขารู้สึกแปลกประหลาด
ราวกับว่าทุกอย่างได้หยุดนิ่งลง
จากนั้นทุกอย่างก็หายไป
ไม่มีตัวอักษรสีทองหรือแสงสีทองอยู่อีกแม้แต่ ฉือ กูเหยียน ก็หายไป มันกลายเป็นดินแดนแห่งความเงียบสงัด
”ข้าอยู่ที่ไหน?”ฟาง เจิ้งจือ เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อน ตอนที่เขาเข้าไปในกลืนกินโลก
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในกลืนกินโลกแน่นอนมันราวกับเขาอยู่ในอวกาศที่ไร้ขอบเขต
มีดาวนับไม่ถ้วนส่องแสงอยู่รอบตัวเขา
นอกจากนั้นยังมีเหล่าอุกาบาตลอยอยู่รอบๆฟาง เจิ้งจือ สามารถเห็นพวกมันได้ชัดเจน
เขาอยู่ที่ไหน?
หรือเขาจะอยู่ในอวกาศจริงๆ?
แต่ฟาง เจิ้งจือ ไม่เคยได้ยินว่าในอวกาศจะมีโซ่แบบนั้น
นอกจากนี้ยังมีพวกมันจำนวนมาก
พวกมันไม่สะท้อนแสงและเป็นสีดำสนิทโซ่ยักษ์จำนวนมากถูกเชื่อมโยงไปมาระหว่างดวงดาว
พวกมันมีรูปแบบที่ซับซ้อน
สิ่งที่น่าแปลกที่สุดคือมีก้อนหินขนาดใหญ่อยู่บนโซ่เหล่านั้น
ไม่
ไม่ได้มีหินเพียงก้อนเดียว
ฟางเจิ้งจือ ไม่รู้ว่ามันมีกี่ก้อน อย่างไรก็ตามเขาเห็นหินดำอีกก้อนหนึ่งอยู่บนโซ่ เมื่อเขามองออกไปไกล
ห่างออกไปเล็กน้อยเขาสามารถเห็นหินอีกก้อนที่จุดตัดของโซ่สีดำ
มันปล่อยบรรยกาศอันเก่าแก่และน่าสะพรึงกลัวออกมา
”แกรก!”ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างหูฟาง เจิ้งจือ
เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงมีเสียงในอวกาศ
แต่เขาสามารถสัมผัสมันได้ราวกับเสียงนั้นมาจากหินก้อนสีดำที่อยู่ใกล้ๆเขา เขาหันไปมองทันที
จากนั้นเขาเห็นรอยแตกในหินนั้น
ไม่ได้มีรอยแตกเพียงอันเดียว
มีทั้งหมดเจ็ดรอยแตก
ฟางเจิ้งจือ สังเกตุเห็นว่ารอยแตกนั้นขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
”ตูม!”
ทุกอย่างหายไปอีกครั้งทั้งอวกาศ ดวงดาวและอุกาบาต ทุกอย่างได้หายไป
ในสายตาของฟาง เจิ้งจือ ตอนนี้เขาเห็นเพียงสีทองเท่านั้น
ในอ้อมกอดของเขาฉือ กูเหยียน ลืมตาขึ้น
ฟางเจิ้งจือ รู้สึกราวกับตัวเองประสาทหลอน เขาสามารถมองเห็นดวงดาว ห้วงอวกาศ ในดวงตาของ ฉือ กูเหยียน ทั้งหมดเหมือนกับที่เขาได้เห็นมาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามมันมีสีสันที่ต่างกน Aileen-novel
”ข้าเห็นภาพหลอนงั้นรึ?”ฟาง เจิ้งจือ ไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่า ฉือ กูเหยียน แข็งแกร่งขึ้นมาก
โดยเฉพาะหางงูยาวของนางเกล็ดสีชมพูเริ่มส่องแสงออกมาต่างไปจากเดิม
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แล้วทำไมฉือ กูเหยียน ถึงเป็นแบบนี้?
ฟางเจิ้งจือ ตัวสั่นในทันทีเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แน่นอนว่าเขารู้จักเจ้าแม่หนี่วา แต่เขาไม่ได้นึกถึงความเป็นไปได้นี้แม้แต่น้อย
เพราะเรื่องนี้นั้นเป็นตำนานจากโลกเก่าของเขา
ณจุดเริ่มต้นทุกอย่างนั้นว่างเปล่า หญิงสาวคนหนึ่งที่มีหางเหมือนงู หรือก็คือเจ้าแม่หนี่วา ได้เป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ขึ้น…
แต่มันไม่ควรจะเป็นเพียงตำนานหรอกหรือ?ทำไมดูมันเหมือนจะมีจริงในโลกนี้?
ถ้าฉือ กูเหยียน เป็นเจ้าแม่หนี่วา แล้วเขาควรเป็นอะไรงั้นรึ? ราชาของมวลมนุษย์? หรือคนใช้ของเจ้าแม่หนี่วา?
ไม่มีทาง!
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องในตำนานที่นานมาแล้วเท่านั้น
ดังนั้นไม่น่าเป็นไปได้ที่ฉือ กูเหยียน จะเป็นเจ้าแม่หนี่วา
แต่ทำไมเมื่อพลังนางตื่นขึ้นถึงปรากฎหางออกมากัน?
สายเลือด…ข้าเข้าใจแล้ว!
ฉือกูเหยียน ไม่ใช่เจ้าแม่หนี่วา แต่นางสีบเชื้อสายมาจากเจ้าแม่หนี่วา!
ดาราจักรรวมถึงโซ่และหินสีดำ…
ฟางเจิ้งจือ ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาสัมผัสได้ว่าเรื่องเหล่านี้ต้องมีความเชื่อมโยงกัน
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรมากกว่านี้
เพราะมีใครบางคนกำลังพุ่งมาที่พวกเขาเป็นร่างสีขาวที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง
สีขาว?
ตอนแรกเขาคิดวาเทียนซิง จะเป็นคนที่พุ่งเข้ามา แต่เขาสวมชุดสีดำนี่?
หรือจะเป็นมู่ ฉิงเฟิง?
ไม่
ร่างที่พุ่งเข้ามานั้นดูเด็กมากที่สำคัญเขาถือดาบที่โปร่งใสราวกับแก้ว
หนานกงเฮา!
…
ทางตอนเหนือสายลมอันรุนแรงได้ปะทะเข้ากับแนวเขาขนาดใหญ่
ทะเลตอนเหนือโหมกระหน่ำไปด้วยคลื่นอันบ้าคลั่งภูเขาหยินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
ประโยคทั้งสองนี้สามารถอธิบายฤดูหนาวที่รุนแรงในอาณาจักรเซี่ยได้เป็นอย่างดี ในสุสานที่มีความกว้างประมาณห้ากิโลเมตรบนจารึกเหนือหลุมฝังศพนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
ที่แห่งนี้นั้นหนาวเย็นตลอดเวลา
ที่นี่คือสุสานตระกูลหนานกงตระกูลที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรเซี่ย
ไม่มีใครรู้ว่าทำไมตระกูลหนานกงถึงเลือกที่จะตั้งบ้านประจำตระกูลอยู่ที่นี่
แต่ความจริงก็เป็นดังที่เห็น…
ตระกูลหนานกงตั้งอยู่ในบริเวณนี้ราวกับพวกเขาได้ตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งหมดคนทั่วไปจะได้เห็นคนจากตระกูลหนานกง ในช่วงของการทดสอบกฎแห่งเต๋าเท่านั้น
รวมถึงคนของตระกูลหนานกงนั้นไม่มีใครเข้ารับตำแหน่างเป็นเจ้าหน้าที่ทั้งนั้น
แต่พวกเขาก็ยังคงได้รับการขนานามว่าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเซี่ยเทียบเท่าได้กับสิบสามกองตรวจการ หรือตระกูลเหยียนผู้ปกครองดินแดนเหลียงตะวันตก กระนั้นพวกเขาไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการปกครองหรือส่งส่วย หรืออยู่ภายใต้กฎของอาณาจักรเซี่ยแม้แต่น้อย
พวกเขาอยู่ที่นี่คอยเฝ้ามองสุสานขนาดใหญ่อย่างเงียบสงบตัดขาดจากโลกภายนอก
และในขณะนี้ในสุสานมีชายวัยกลางคนรูปร่างท้วมเล็กน้อยยืนอยู่
”นายท่าน!”ร่างหนึ่งได้ปรากฎตัวขึ้นจากหลังสุสาน ก่อนจะเดินเข้ามาหาชายวัยกลางคนแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
”อืม!”ดวงตาที่หลับอยู่ของชายวัยกลางคนค่อยๆเปิดขึ้น ขอบตาของเขาแดงก่ำบอกได้ถึงความเหนื่อยล้า แต่สีหน้าของเขากลับนิ่งสงบ
”นายท่านคำพยากรณ์ได้เดินทางมาถึงแล้ว!” ร่างที่เข้ามาใหม่กล่าว
”โอ้มันถึงเวลาแล้วหรือ?”ชายวัยกลางค่อยๆเงยหน้ามองท้องฟ้า ที่ไม่มีอะไรนอกจากหิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
แต่สายตาของเขากลับยังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับกำลังมองงานศิลปะอยู่
”ใช่แล้วเหล่าผู้อาวุโสได้ขอให้ท่านช่วยเป็นเจ้าภาพ ของต้อนรับได้เตรียมไว้แล้ว” ร่างนั้นพูดออกมา
”เข้าใจแล้วเจ้าไปได้แล้ว” ชายวัยกลางคนพยักหน้า
”รับทราบ!”ร่างนั้นพยักหน้า ก่อนจะหายตัวไปในทันที
จากนั้นชายวัยกลางคนหันไปอีกทิศทางหนึ่งก่อนจะพึมพีมขึ้นมา”เป็นเวลากี่ปีแล้วนะ มันนานจนข้าลืมที่จะนับ… มันนานมาก สุสานแห่งนี้เองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ … ”
จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
เขาก้าวไปข้างหน้าจากนั้นก็ได้ยินเสียงแตกมันเป็นรอยแตกของน้ำแข็ง บนพื้นสามารถเห็นได้ถึงพื้นสุสานที่ไร้หิมะ
มันแสดงให้เห็นว่าชายวัยกลางคนยืนอยู่ตรงนี้มานานแล้ว
นานจนบนพื้นหิมะเป็นรูปรอยเท้าสองข้าง และแน่นอนเมื่อเขาเดินจากไปไม่นานหิมะก็ค่อยๆปกคลุมรอยเท้านั้นจนกลายเป็นพื้นสีขาวเหมือนรอบๆอีกครั้ง
……………………………………..