Gate of God - ตอนที่ 779 เต๋าฮุน
ขณะที่ทั้งห้าสำนักอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันแต่พวกเขานั้นมีบทบาทต่างกันออกไป
ศาลาเต๋าสวรรค์นั้นเชี่ยวชาญด้านวิชาดาบศาลาหยินหยางเชี่ยวชาญด้านการปรุงยา ด้านเก้าขุนเขาเชี่ยวชาญด้านการคิดค้นค่ายกล…
ชื่อ’เต๋าฮุน’นั้นไม่ได้หมายถึงผู้นำของศาลาหยินหยางเท่านั้น มันยังหมายถึงผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของการปรุงยา
อย่างไรก็ตามสำหรับฟาง เจิ้งจือ ศาลาหยินหยาง นั้นเป็นที่ต้องห้ามสำหรับเขา มู่ ฉิงเฟิง ไม่ต้องรอให้ ฟาง เจิ้งจือ ตอบ เขาก็รู้คำตอบดี
แม้ว่าฟาง เจิ้งจือ จะสามารถเดินทางไปถึงที่นั่นได้ ทำไม เต๋าฮุน ต้องช่วย เหยียน ซิว ด้วย? ว่านเล่ยนั้นเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของศาลาหยินหยางที่ตายด้วยน้ำมือของ ฟาง เจิ้งจือ และ ฉือ กูเหยียน ตอนนี้ ฟาง เจิ้งจือ และผู้อาวุโสเก้าของศาลาหยินหยางยังมาตายด้วยมือ ฟาง เจิ้งจือ อีก…
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้เต๋าฮุนยังคิดที่จะช่วย ฟาง เจิ้งจือ อีกงั้นหรือ?
หากเขาทำเช่นนั้นพวกเขาคงไม่เรียกตัวเองว่าศาลาหยินหยางอีก
ขมขู่พวกเขา?
มันยิ่งเป็นไปไม่ได้!
นั่นเป็นเพราะเต๋าฮุนนั้นแข็งแกร่งกว่าเทียนซิงเสียอีกดังนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้
ฟางเจิ้งจือ ไม่ได้พูดอะไร เขากำมือแน่นพร้อมร่างกายที่สั่นสะท้าน
อย่างไรก็ตามเมื่อเซียนสวรรค์พักพิงเห็นแบบนี้เขาก็รีบพูดออกมาทันที เต๋าฮุนนั้นเก่งในการปรุงยากว่าข้านิดหน่อยจริงๆ แต่ข้าก็ไม่ได้อยากจะอวดหรอกนะ ถ้าเต๋าฮุนทำได้ข้าก็ทำได้เช่นกัน!
ทำได้?
เขากำลังอวดอยู่ชัดๆ?
เขาจะทำได้จริงงั้นหรือ?
เมื่อเหล่าศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์ได้ยินสิ่งที่เซียนสวรรค์พักพิงพูดพวกเขาแปลกใจทันทีสำหรับผู้ที่กล้าบอกว่าตัวเองเก่งน้อยกว่าผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งด้านการปรุงยา เห็นได้ชัดว่าคนที่กล้าพูดมันออกมาไร้ยางอายแค่ไหน ทุกคนต่างพูดไม่ออก
แม้แต่มู่ ฉิงเฟิง ก็หันไปมองเซียนสวรรค์พักพิงหลังจากได้ยิน
แน่นอนว่ามู่ ฉิงเฟิง รู้ว่าเซียนสวรรค์พักพิงนั้นคิดอะไรอยู่
เขาต้องการที่จะโน้มน้าวฟาง เจิ้งจือ เพื่อให้ทุกอย่างไม่แย่ไปกว่านี้ เขาต้องรักษาขุมกำลังของนิกายเงาเอาไว้ ถือว่าพวกเขามีจุดประสงค์เหมือนกัน
มู่ฉิงเฟิง จึงพยักหน้าช้าๆ ใช่ฝีมือของเซียนสวรรค์พักพิงก็ถือว่าเก่งกาจ เจ้าสามารถลองได้ ข้าเพียงวิเคราะห์อาการของเหยียนซิวเพียงผิวเผินเท่านั้น อาจจะมีโอกาสช่วยเขาอยู่ก็ได! มู่ ฉิงเฟิง กล่าวพร้อมหันไปมอง ฉือ กูเหยียน
ฉือกูเหยียน รู้ว่า มู่ ฉิงเฟิง คิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของ มู่ ฉิงเฟิง เขาสามารถบอกได้ว่าใครนั้นเป็นหรือตายในทันที ความจริงย่อมเป็นความจริง…
นางอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
ฉือกูเหยียน ไม่สามารถโกหก ฟาง เจิ้งจือ ได้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้นางจะปล่อยให้เขาฆ่าใครต่อไปไม่ได้
ถ้าผู้อาวุโสสองตายด้วยน้ำมือของฟาง เจิ้งจือ…
ไม่ว่ามู่ ฉิงเฟิง ต้องการไว้ชีวิต ฟาง เจิ้งจือ มากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถโน้มน้าวศิษย์ศาลาเต๋าสวรรค์ได้ผลลัพธ์จะเป็นไปไม่ได้ ผลลัพธ์อันเลวร้ายจะเกิดขึ้น 30วันเหยียน ซิว มีเวลา30วันเท่านั้น หลังจากเงียบไปสักพัก ในที่สุด ฉือ กูเหยียน ก็พูดขึ้นมา
แค่นั้นก็พอแล้วเชื่อข้าสิ ข้าทำได้! ใน30วันข้าสามารถคิดค้นยาขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิต เหยียน ซิว ได้ หรือถ้าไม่ได้ผลเรายังคิดวิธีอื่นได้ใช่ไหมล่ะ? หลังจากเซียนสวรรค์พักพิงได้ยินคำพูดของ ฉือ กูเหยียน เขาก็รีบพูดต่ออย่างรวดเร็ว
ฟางเจิ้งจือ ไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่กับที่ จิตสังหารปลดปล่อยออกมาจากร่างเขาเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเขาในตอนนี้ไม่มั่นคงเป็นอย่างมา
เซียนสวรรค์พักพิงยังคงหวาดกลัวกับสถานการณ์ในปัจจุบันเป็นอย่างมากเขารู้มันเป็นเรื่องยากที่จะหลอก ฟาง เจิ้งจือ ดังนั้นเขาจึงหันไปมอง เหยียน เฉียนหลี่ อย่างไม่มีทางเลือก
ชีวิตของคนนั้นถูกกำหนดโดยสวรรค์ไว้แล้วถ้า เหยียน ซิว ถูกกำหนดให้รอดเขาย่อมสามารถผ่านพ้นเรื่องนี้ไปได้ ถ้าไม่…เราก็ทำได้เพียงโทษตัวเขาเองที่ไม่แข็งแกร่งและมั่นคงพอที่จะควบคุมพลังตัวเอง! เหยียน เฉียนหลี่ พูดพร้อมกำหมัดแน่น เขาเองก็ไม่มีทางเลือก
หากเจ้ากลัวจะเสียเวลาถ้าตองเดินทางกลับข้าสามารถให้เจ้าพักที่นี่ได้ แต่มีเงื่อนไขเพียงแค่เจ้าห้ามสร้างปัญหาอีก มู่ ฉิงเฟิง พูดขึ้นอีกครั้ง
ขึ้นไปศาลาเต๋าสวรรค์หรือ? เซียนสวรรค์พักพิงเองก็กังวลเช่นกัน
เขาไม่คิดว่ามู่ ฉิงเฟิง จะเป็นคนใจกว้าง เห็นได้ชัดว่ามันผิดปกติ
ฉือกูเหยียน พูดอะไรกับ มู่ ฉิงเฟิง?
และมู่ ฉิงเฟิง ต้องการอะไรจาก ฟาง เจิ้งจือ?
ไม่จำเป็น! ในที่สุด ฟาง เจิ้งจือ ก็พูดออกมา จากนั้นเขาก็ไม่ได้มองไปที่ไหนอีก แต่เขากลับเดินไปหา เหยียน เฉียนหลี่ เขาแย่งตัวเหยียน ซิว มาจาก เหยียน เฉียนหลี่ และไม่ได้เดินไปไหน เขาอุ้มเหยียน ซิว อ้อมทะเลสาบและเดินจากไปไกล..
มู่ฉิงเฟิง ไม่ได้พยายามจะหยุดเขา
นี่เป็นเพราะเขาได้ทำในสิ่งที่สมควรทำไปแล้วที่เหลือคงขึ้นอยู่กับโชคชะตา… ที่สำคัญกว่านั้นเขามีเรื่องเร่งด่วนอื่น
ปราสาทสีดำ? มู่ ฉิงเฟิง มองไปที่มันพร้อมกับขมวดคิ้ว
…
เจ็ดวันต่อมาณ หุบเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เซียนสวรรค์พักพิงเดินออกมาจากบ้านไม้หลังหนึ่งเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกับหายใจอย่างหนัก
เขาได้พูดไปแล้ว
เช่นนั้นเขาต้องยอมรับผลที่ตามมาแม้ว่าเขาจะเชื่อว่าความสามารถในการปรุงยาของเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามอย่างที่ มู่ ฉิงเฟิง พูด พลังที่ชั่วร้ายของอาชูร่าได้เข้าไปสู่เลือดของ เหยียน ซิว แล้ว คนเดียวในโลกนี้ที่สามรถช่วยเขาได้น่าจะเป็นเต๋าฮุน
ท่านอาจารย์! ทันใดนั้นเสียงตะโกนได้ดังขึ้นข้างหูเขา จากนั้นร่างหนึ่งที่สวมชุดสีดำทั้งตัวก็วิ่งมาด้วยความแตกตื่น
เกิดอะไรขึ้น?!
ฟางเจิงจือ หายตัวไปแล้ว! วู่ จวี้เอ๋อ พูดด้วยน้ำเสียงอันหวาดกลัว
หายไป?!….เขา…เหยียน ซิว ล่ะ? เหยียน ซิว อยู่ไหน?
เขาก็หายไปด้วย!
ไม่จริงฟาง เจิ้งจือ ต้องพาเขาไปที่ศาลาหยินหยาง แน่นอน! เมื่อเซียนสวรรค์พักพิงได้ยินเรื่องทั้งหมดเขาก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ใช่แล้วพวกเราต้องหยุดเขา! วู่ จวี้เอ๋อเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
สายไปแล้วเจ้าเด็กนั่นมีพลังมากกว่าแต่ก่อน ถ้าเขาตัดสินใจแล้ว เราไม่มีทางหยุดเขาได้!
แต่ข้าไม่สามารถทนดูเขาตายไปแบบนี้ได้!
ถูกแล้วแต่ด้วยพลังของพวกเรา ต่อให้ไปที่ศาลาหยินหยางก็เปล่าประโยชน์!
อาจารย์!
เรื่องนี้…
อาจารย์!
เอาล่ะๆพวกเราลองไปที่ศาลาหยินหยางก่อนละกัน! เซียนสวรรค์พักพิงกัดฟัน จากนั้นเขาก็เดินไปที่บ้านไม้อีกหลัง ตาเฒ่าเหยียน ฟาง เจิ้งจือ พาหลานท่านไปแล้ว!
ตูม!
ประตูไม้ถูกกระแทกออกอย่างแรงจากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฎขึ้นที่ด้านหน้าเซียนสวรรค์พักพิง ดวงตาของเขาเป็นสีแดงเลือด ข้าจะนำไปก่อนหลังจากเจ้าเตรียมของเสร็จแล้วก็ตามข้ามา! หลังจาก เหยียน เฉียนหลี่ พูดจบเขาก็กระโจนขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะหายตัวไปในทันที
…
ครึ่งเดือนต่อมากลางดึก
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์มีภูเขาและป่าทึบนับไม่ถ้วนมีสัตว์ทุกชนิดเท่าที่จะมีได้ มันเป็นทั้งดินแดนที่อันตรายและเต็มไปด้วยสิ่งล้ำค่า
อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่กล้าเขามายังจุดศูนย์กลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
บริเวณนั้นมีบึงน้ำขนาดใหญ่ชุกชุมไปด้วยสัตว์ร้าย ควันหนาลอยปกคลุมตลอดทังวั้น เศษซากกระดูกกระจายไปทั่วพื้น เงาใหญ่ยักษ์ปรากฎตัวหลังหมอกควันเป็นบางครั้ง
พร้อมกับเสียงร้องคำรามดังก้องใครก็ตามที่เห็นพวกมันมักไม่มีชีวิตรอดกลับไป
ในขณะเดียวกันร่างของกลุ่มมนุษย์กลุ่มหนึ่งสามารถมองเห็นได้ใกล้ๆบึงน้ำขนาดใหญ่พวกเขาสวมชุดคลุมสีดำ
โฮก! เสียงคำรามของสัตว์ร้ายสะเทือนไปทั่วบึงน้ำ จากนั้นร่างที่มีขนาดใหญ่พอๆกับภูเขาลูกเล็กได้เดินออกมาจากควันหนา
มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีเขาวัวคู่หนึ่งร่างของมันปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำ ที่เท้าทั้งสี่ข้างของมันลุกไปด้วยไฟ
เมื่อมันปรากฎตัวมันพุ่งเข้าหาคนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็วพื้นดินสั่นสะเทือน
ในขณะนั้นเองอีกร่างได้โผล่ออกมาจากกลุ่มนั้นในมือของเขาถือมีดเล่มหนึ่ง มันถูกย้อมไปด้วยสีแดงเลือด
เขาฟันด้วยมีด
ราวกับเขี้ยวยักษ์ยามค่ำคืนมันตัดหัวของสัตว์ร้ายตัวนั้นอย่างไร้ความปราณี
ตึง! ร่างขนาดใหญ่ของมันทรุดลงกับพื้นในทันที
จากนั้นก็มีเงาดำเงาหนึ่งเดินออกมาจากหลังร่างของสัตว์ร้ายที่ล้มลง มันเป็นเงาของมนุษย์แต่มีเขาอยู่ที่หน้าผาก ดวงตาของเขามีสีฟ้าที่เยือกเย็นผิดปกติ
ภายใต้แสงจันทร์สามารถเห็นได้ว่าเขาสวมชุดคลุมสีดำอยู่ภายใต้เสื้อคลุมนั้นสามารถเห็นเกล็ดสีฟ้าจางๆได้บนผิวหนัง
อสูร!
ก่อนที่เจ้าจะตายเจ้าสามารถบอกชื่อตัวเองหรือจะเลือกที่จะเงียบก็ได้! อสูรถามออกมา เสียงของเขาทั้งเย็นชาและเยือกเย็น
หนึ่งในสิบหัวหน้าของดินแดนปีศาจหยิงเต๋า! เงาดำพูดหลังจากได้ยินคำถามของอสูร จากนั้นเขาก็ค่อยๆถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหน้าของเขา
แน่นอนบนหน้าผากของเขามีดวงตาสีแดงเลือด
หัวหน้าดินแดนปีศาจ?เหอะ เหอะ…แล้วยังไง? ใครก็ตามที่กล้าเหยียบเท้าเข้ามาในบึงนี้ต้องตาย นอกจากนี้เจ้าได้ฆ่าม้าของข้า! อสูรตนนั้นมองไปที่หน้าผากของหยิงเต๋าก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเย็นชา
เผ่าอสูรคิดจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ไปตลอดไปงั้นรึ? หยินเต๋าไม่แปลกใจกับความคิดของอสูรตนนั้นเท่าไรนัก
เจ้าอยากตายงั้นรึ?
เจ้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินความตายของข้านำทางไป พวกเราต้องการพบจักรพรรดิไป่! หยิงเต๋าไม่คิดจะเสียเวลาอีก
คิดว่าตัวเองเป็นใคร?เจ้าเป็นเพียงหัวหน้าของสิบดินแดนปีศาจ ต่อให้ผู้อาวุโสของดนแดนปีศาจมาเองหรือจักรพรรดิหยุนมาเอง ก็ไม่สามารถสั่งข้าได้! อสูรตนนั้นมองไปที่หยิงเต๋าอีกครั้ง แน่นอนว่ามีอีกสิบร่างอยู่ด้านหลังหยิงเต๋า ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนั้นหยิงเต๋าคงตายไปนานแล้ว
อสูรอย่างเจ้ากล้าดูถูกจักรพรรดิปีศาจงั้นรึ? หยิงเต๋า ถามกลับไปอย่างเย็นชาเช่นกัน
เหอะเหอะ…ถ้าไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นปีศาจคิดว่าข้าจะพูดมากอย่างนี้งั้นรึ? ข้าให้เวลาเจ้าสิบวิไปให้พ้นสายตาข้า ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องตาย! ทันทีที่อสูรพูด ดวงตาหลายคู่ปรากฎให้เห็นจากบึงน้ำ บางครั้งมันเป็นสีแดง บางครั้งเป็นสีขาว และบางครั้งเป็นสีเขียว แต่ละดวงตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร
กล้าดียังไง?!เจ้ากล้าพูดอย่างนั้นกับข้างั้นรึ?
เจ้ามีเวลาอีกห้าวินาที!
เจ้า…
หยิงเต๋าถอยมาก่อน! ทันใดนั้นเสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหลังหยิงเต๋า จากนั้นร่างหนึ่งก็เดินออกมา
สองวินาที! อสูรตนนั้นยังคงพูดต่อไป
นามสกุลของข้าคือหยุน! หญิงคนนั้นพูด
เหอะเหอะ…แล้วยังไง?ข้าบอกแล้วไงว่าต่อให้เป็นจักรพรรดิหยุนมาเองที่นี่ก็ไมต้อนรับ! อย่าหาว่าข้าโหดร้ายละกัน อสูรพูดพร้อมกับหัวเราะอย่างชั่วร้าย
ในเวลาเดียวกันเงาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นรอบตัวเขาสัตว์ป่าที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาปรากฏตัวขึ้น บนสัตว์ร้ายแต่ละตัวสามารถมองเห็นร่างมนุษย์ได้
มีจำนวนหลายร้อยตน
อสูร!
เป็นเผ่าพันธุ์ที่หาได้ยากที่สุดในโลกอย่างไรก็ตามในบึงน้ำเหล่านี้กลับมีหลายร้อยตน
ข้าอายุยี่สิบปี หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้นโดยไม่มองอสูรนับร้อย นางมองไปที่บึงใหญ่ ราวกับว่านางพูดกับตัวเอง
ปีศาจอายุยี่สิบงั้นเหรอ?เจ้ายังเด็กนัก …แต่เจ้ายังคงต้องตาย! ใบหน้าของอสูรเต็มไปด้วยจิตสังหาร อย่างไรก็ตาม จู่ๆใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เดี๋ยวก่อน เจ้าบอกว่านามสกุล หยุน งั้นรึ? และตอนนี้อายุยี่สิบปี?!