Gate of God - ตอนที่ 892 กลางวงล้อม
แสงสีแดงเลือดปรากฎในดวงตารอบล้อมด้วยสีดำสนิทราวกับห้วงนรกเป็นแววตาที่น่าขนลุก
โจมตี! หลังจากสิ้นเสียงร้องคำรามจิตสังหารกระจายออกไปโดยรอบราวกับคลื่นมหาสมุทร เศษหินก้อนเล็กก้อนน้อยลอยขึ้นในอากาศ
เหยียนซิวเคลื่อนไหวเขาพุ่งเข้าหาพวกอสูรด้วยความรวดเร็วเหมือนกับหมาป่าที่วิ่งหาฝูงแกะ
อย่างไรก็ตาม…
ในตอนที่เหยียนซิวพุ่งชนอสูรร่างของมันกระเด็นออกไปไกลด้วยกรงเล็บสีดำที่โผล่ขึ้นจากพื้นดิน
ในขณะเดียวกันเหยียนซิวพุ่งทะยานต่อไปอย่างรวดเร็วโจมตีที่หัวของอสูรด้วยพัดในมือ ตูม!
อสูรในร่างมนุษย์กลับสู่ร่างเดิมของมันในทันทีเป็นอสูรที่มีเขาสองข้างเหมือนกระทิง
ก่อนที่มันจะกระอักเลือดออกมาพร้อมกับไข่มักสีขาวมันเร็วเกินไป!
มันเกิดขึ้นเร็วมากแม้แต่พวกอสูรโดยรอบก็ไม่สามารถตอบสนองได้ทัน เมื่อไข่มุกอสูรหลุดออกมา เหยียนซิวบี้มันทิ้งในทันที
อ้าก! อสูรที่มีรูปร่างคล้ายกะทิงไม่ทันได้ตอบโต้แต่อย่างใดหลังจากที่ส่งเสียงร้องเขาก็ล้มลงกับพื้นและตายลงในทันที
…
…
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่เหล่าศิษย์จากสำนักต่างๆเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ฟางเจิ้งจือก็แทบจะไม่สามารถตอบสนองได้ทัน
โอ้แข็งแกร่งขนาดนี้? ฟางเจิ้งจือไม่คิดว่าเหยียนซิวจะแข็งแกร่งขึ้น แต่พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย พวกอสูรโดยรอบต่างพากันโกรธแค้นต่อสิ่งที่เหยียนซิวทำ
โฮก!
ตายซะเจ้ามนุษย์!
โจมตี!
เหล่าอสูรต่างเผยร่างที่แท้จริงเมื่อได้เห็นการฆ่าอย่างทารุณมันทำให้พวกเขาแค้นใจอย่างมาก
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเหยียนซิวจะไม่สนใจแม้แต่น้อย
เหยียนซิวเคลื่อนไหวอีกครั้งก่อนจะพุ่งเข้าหาอสูรอีกตัวราวกับนักล่าที่สำคัญไปกว่านั้นคือพวกอสูรที่กลายร่าง แทบจะเท่ากับภูเขาลูกย่อมๆ
โฮก!กรงเล็บขนาดยักษ์ฟาดลงมาพร้อมกับแรงลมกระโชกแรง บดบังดวงอาทิตย์เกือบทั้งหด เห็นได้ชัดว่าเขาคือราชาอสูร
ตูม!กำปั้นของเหยียนซิวพุ่งเข้าหากรงเล็บที่แหลมคมของราชาอสูร ลมพัดกระจายออกไปทั่วทิศทาง เสียดสีชั้นบรรยากาศจนเกิดเสียงอื้ออึงในอากาศ
และผลที่เกิดขึ้น…
แน่นอนว่าราชาอสูรกระเด็นออกไปด้วยแรงระเบิด
แข็งแกร่งมาก!
เขาสามารถต่อสู้กับราชาอสูรได้!
นอกจากนี้เขายังเป็นฝ่ายชนะ!
เหล่าศิษย์จากทุกสำนักต่างพากันตื่นเต้นที่เห็นเหยียนซิวพุ่งเข้าไปท่ามกลางเหล่าอสูร
ในประวัติศาสตร์มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ต่อสู้กับพวกอสูร นอกจากนี้นี่ยังเป็นการต่อสู้กับราชาอสูร
ในที่สุดก็หลอมรวมอย่างสมบูรณ์? เมื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้น เต๋าฮุนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก แววตาของเขาเบิกกว้างอย่างเป็นประกาย
หลอมรวมอย่างสมบูรณ์? เฉียนยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยนางสังเกตุร่างของเหยียนซิว นี่คือร่างเดิมของปีศาจอาชูร่าในตำนานที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์งั้นหรือ?
ความจริงแล้วเต๋าอาชูร่าเป็นแค่เต๋าแห่งความดีและความชั่วร้ายในหกวิชาเต๋าสวรรค์ แต่ผู้คนละทิ้งเต๋าอาชูร่าแห่งความชั่วร้าย และเลือกใช้แต่เต๋าอาชูร่าแห่งความดี เต๋าแห่งอาชูร่าจึงไม่สมบูรณ์! อย่างไรก็ตาม เหยียนซิวไม่ได้ทำเช่นนั้น ตลอดเวลานับพันปีเขาเป็นคนเดียวที่สามารถรวมเต๋าอาชูร่าแห่งความดีและความชั่วร้ายเข้าด้วยกันได้อย่างสมบูรณ์
อาชูร่าแห่งความดีและความชั่วร้าย?
เฉียนยู่ท่านไม่ได้คิดว่าฟางเจิ้งจือเป็นคนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมงั้นหรือ? แต่ตอนนี้เหยียนซิวกลายเป็นอาชูร่าที่แท้จริงแล้ว แม้แต่ข้าก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ ท่านยังอยากให้ข้าและหอคอยหลิงหยุนเป็นศัตรูเพียงเพราะฟางเจิ้งจืออีกงั้นเหรอ? เต๋าฮุนพูดอย่างประทับใจ
ฮ่าฮ่า… เฉียนยู่ยิ้มและค่อยๆชี้นิ้วไปยังท้องฟ้า ดวงจันทร์สีเงินปรากฎขึ้นที่ปลายนิ้ว ผิดแล้ว เหตุผลที่ข้ามาหยุดท่านนั้นไม่ใช่เพราะฟางเจิ้งจือ แต่เพราะข้าคิดว่าท่าน…ช่างน่ารำคาญ!
เฉียนยู่ท่าน … ท่าน..! เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เต๋าฮุนก็ไม่พูดมากนัก เขากางแขนออกและพุ่งไปที่เฉียนยู่ในทันที
ในขณะเดียวกันบนท้องฟ้ามู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือที่ถูกอสูรสองตนขัดขวางอยู่ ก็สังเกตุเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านล่าง ทั้งเหยียนซิวและหยุนชิงวูที่ปรากฎตัว
หยุนชิงวูคนตระกูล …หยุนงั้นรึ?
ดูเหมือนว่าฟางเจิ้งจือจะรู้จักกับหยุนชิงวูนอกจากนั้น นางยังถูกเรียกว่านายน้อย หรือว่านางเป็นปีศาจ?
ปีศาจ?เผ่าปีศาจกับพวกอสูรควรจะมีความขัดแย้งต่อกันมาตั้งแต่สงครามใหญ่เมื่อสิบปีก่อน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้ร่วมมือกัน?
เฒ่ามู่ท่านคิดว่าหยุชิงวูเป็นลูกสาวของจักรพรรดิหยุนแห่งเผ่าปีศาจและจักรพรรดินีไป่ฉือแห่งเผ่าอสูรเมื่อยี่สิบปีก่อนรึ? เรื่องนั้นข้าได้ยินมาว่าเด็กสาวถูกเผ่าปีศาจทอดทิ้งและขับไล่ออกจากเมืองเงาเลือด ถ้าหากเจ้าคิดถูกล่ะก็ พวกเราคงกำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว!
ที่จริงจักรพรรดิปีศาจและจักรพรรดินีอสูรไม่ได้มีความใคร่รักต่อกันพวกเขาแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามหลังสงครามครั้งใหญ่เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่ได้มีความสนใจต่อกันอีก เหลือเพียงเด็กสาวคนนั้นที่จะสามารถนำพาทั้งสองเผ่าพันธุ์ร่วมมือกันได้อีกครั้ง!
ไม่!เด็กสาวเพียงคนเดียวคงไม่สามารถนำสองเผ่าพันธุ์ได้ เว่นแต่ว่า …พวกเขามีความสนใจเรื่องเดียวกันอีกครั้ง!
ความสนใจร่วมกันอีกครั้ง?…มันคืออะไร? โม่ฉานฉือมีสีหน้าที่สงสัย เมื่อคิดถึงสถานการณ์ในปัจจุบัน เขานึกไม่ออกเลยว่าจะมีผลประโยชน์ใดที่จะทำให้เผ่าพันธุ์ทั้งสองกลับมาร่วมมือกัน
ถ้าข้าเดาถูกความสนใจที่ว่าต้องเกี่ยวข้องกับแผนการของตระกูลหนานกง! มู่ฉิงเฟิงเหลือบมองบนท้องฟ้าและมีดาบยาวปรากฎขึ้นในมือของเขา
ดาบยาวที่ดูธรรมดาๆแต่มีลวดลายแปลกๆบนคมดาบ
ลวดลายที่ดูเหมือนนกมันปล่อยออร่าสีแดงออกมา มันให้ความรู้สึกเหมือนนกตัวนั้นมีชีวิต
เฒ่ามู่ข้าไม่เห็นท่านใช้ดาบเล่มนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว! ดวงตาของโม่ฉานฉือหรี่เล็กเมื่อมองไปที่คมดาบ
เอาไว้ค่อยคุยกันไปกันเถอะ!
แน่นอน! โม่ฉานฉือพยักหน้า เขาวางมือข้างหนึ่งไว้บนเอว ทันใดนั้นค้อนยักษ์สีดำก็ปรากฎขึ้น
ด้วยมือเล็กที่ดูอ่อนแอมันช่างน่าขันที่เห็นโม่ฉานฉือถือค้อนยักษ์เช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีศิษย์คนไหนล้อเลียนเขาแม้แต่น้อย กลับกันทาที่ของเหล่าศิษย์เต็มไปด้วยความหนักแน่น พวกเขาไม่เคยเห็นโม่ฉานฉือใช้ค้อนนั้นอีกเลยหลังจากจบสงครามใหญ่เมื่อสิบกว่าปีก่อน
แน่นอนว่าทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในสายตาของฟางเจิ้งจือเลย
นั่นเพราะฟางเจิ้งจือกำลังเผชิญวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขาไม่สามารถทิ้งเหยียนซิวแล้วหนีไปตัวคนเดียวได้
ดังนั้น…
นั่นหมายความว่าเขาต้องต่อสู้เคียงข้างเหยียนซิวโดยใช้พลังของคนสองคนต่อกรกับอสูรนับร้อย
เขาพุ่งเข้ามาจุดไหนกันเนี่ย?
แต่ฟางเจิ้งจือไม่กลัวความตายเขาไม่รู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย
ต้องรอดไปได้แน่นอน!
อย่างไรก็ตามการต่อสู้ทางกายภาพกับอสูรนับร้อย ไม่เหมาะกับเขาเท่าไหร่นัก เขามักต่อสู้ด้วยมันสมองอันแหลมคม แต่ดูเหมือนครั้งนี้เขาจะไม่มีทางเลือกแล้ว
บุกเข้าไป! ฟางเจิ้งจือไม่รออีกต่อไป เหยียนซิวฆ่าอสูรไปสองสามตนแล้ว
ตูม!
ตูม!
หลังจากฟางเจิ้งจือโจมตีด้วยดาบของเขาศพก็ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ไข่มุกอสูรลอยพ้นอยู่บนอากาศ
สิ่งที่เกิดขึ้นดึงดูดความสนใจของพวกอสูรมากขึ้น
ราชาอสูร!
ราชาอสูรสามตน!
นอกจากนั้นมีอสูรอีกนับไม่ถ้วนที่ปรากฎตัวโดยรอบแววตาของพวกอสูรเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
สามกระบวนท่าต่อการฆ่าอสูรหนึ่งตน…ราชาอสูร อย่างน้อยต้องใช้มากกว่ายี่สิบกระบวนท่า …ถ้าแบ่งจำนวนให้เท่าๆกัน เหยียนซิวต้องจัดการอสูรสองถึงสามร้อนตัว และข้าเองก็เช่นกัน ต้องใช้วิชาโจมตีแปดถึงเก้าพันกระบวนท่า? และข้าก็ต้องไม่บาดเจ็บด้วยสินะ… ฟางเจิ้งจืออยากจะพูดว่า ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วย?
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดเพราะไม่มีเวลาให้ทำอย่างนั้นอสูรที่รายล้อมพุ่งหาเขาราวกับคลื่นที่ถาโถม
โจมตี!
ฆ่าฟางเจิ้งจือ!
แก้แค้นให้กับนายน้อย!
ในตอนที่เขาคำนวนกระบวนท่าในการโจมตีเขาลืมไปว่าเหล่าอสูรมีความโกรธแค้นเขามากกว่าที่มีต่อเหยียนซิว
เห็นได้ชัดว่าเหล่าอสูรพุ่งเข้ามาหาฟางเจิ้งจือมากกว่าเดิม
แน่นอนว่ามันไม่สำคัญอีกต่อไป
เข้ามาข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด! ฟางเจิ้งจือยกดาบไร้ร่องรอยขึ้น และผ่าร่างอสูรที่พุ่งเข้ามาเป็นสองท่อน เขาคำนวนระยะที่พวกอสูรจะโ๗มตีเข้ามาไว้แล้วเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าเขาสงบสติอารมณ์และรักษาความเยือกเย็นไว้ได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด
ฟางเจิ้งจือเชื่อในการตัดสินใจของเขา
อย่างไรก็ตามเขาสังเกตุว่ามีบางอย่างผิดปกติ ใต้เท้าของเขามีกรงเล็บแหลมคมปรากฎขึ้น
อะไร…ใต้ดิน? อสูรรึ? เอาล่ะ… อสูรจริงๆ! ฟางเจิ้งจือตระหนักถึงสิ่งที่เขาลืมคิดไป
ฝ่ายตรงข้ามคืออสูร!
ตำนานกล่าวว่าเหล่าอสูรมีพลังที่แปลกประหลาดเกือบทุกประเภทแน่นอนว่ารวมถึงความสามารถในการมุดดินด้วย
มันเป็นเรื่องจริง!
เขาไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าได้อีกต่อไปอสูรนับไม่ถ้วนบินขึ้นไปบนอากาศบดบังแสงอาทิตย์บนท้องฟ้าจนมืดมิด
นอกจากนี้อสูรยังถ่มน้ำลายใส่เขาอีก
ใครถูกฆ่าจะมาว่าข้าไม่ได้นะ! ร่างของฟางเจิ้งจือค่อยๆถูกปกคลุมด้วยเกราะสีดำ
ในขณะเดียวกันร่างของเขาก็มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าสามเมตรภายในพริบตา เปลวไฟสีดำลุกไหม้บนร่างกาย
ตูม!ฟางเจิ้งจือปล่อยหมัดเข้าที่หน้าของราชาอสูรตรงหน้าเขา จนใบหน้าของราชาอสูรบิดเบี้ยว
การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันทำให้เหล่าอสูรโดยรอบหยุดโจมตี
ฟางเจิ้งจือใช้โอกาสที่พวกอสูรหยุดโจมตียื่นมือออกไปจับอสูรที่ถ่มน้ำลายใส่เขาแล้วเหวี่ยงร่างของอสูรตนนั้นลงพื้นอย่างแรง
แครก!พื้นดินริ่มแตกออก อสูรมีปีกส่งเสียงคร่ำครวญ เลือดไหลที่เต็มปากของมัน
อย่างที่คิดไว้มันรู้สึกดีกว่ามากเลยที่มีร่างกายใหญ่กว่า!
ฟางเจิ้งจือยิ้มเยาะและมองไปรอบๆ
ก่อนหน้านี้เขาถูกห้อมล้อมโดยพวกอสูรนับร้อยและมองไม่เห็นแม้แต่ร่างของหยุนชิงวู ตอนนี้เขามองหาหยุนชิงวูอย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่โง่พอจะมาสู้กับอสูรนับร้อย
เจอแล้ว! ฟางเจิ้งจือเห็นหยุนชิงวูเกือบจะในทันที อย่างไรก็ตามเขารู้สึกประหลาดใจเพราะหยุนชิงวูย้อนกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่อยู่ด้านหลังเขาแล้ว
สิ่งที่แปลกที่สุดคือหยุนชิงวูไม่ได้ถูกปกป้องโดยกลุ่มอสูรแม้แต่น้อย
มีเพียงร่างเดียวที่ยืนอยู่ข้างหยุ่นชิงวูร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า
จนถึงตอนนี้ร่างนั้นก็ยังไม่เผยให้เห็นใบหน้า
ฟางเจิ้งจือรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆกับคนที่สวมชุดคลุมปกปิดใบหน้าดูเหมือนเขาจะแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆที่เคยพบกันมาก่อน