Gate of God - ตอนที่ 902 สั่งเสีย
เวลาดูเหมือนจะหยุดลง
ดวงตาของจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อนางรอเวลานี้มานานมากแล้ว
อย่างไรก็ตามนางต้องเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ดาบของฟางเจิ้งจือปักลงที่อกของหนานกงเฮา
ไม่! ไป่ฉือส่งเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธออกมา
ในขณะเดียวกันดวงตาของไป่ฉือกลายเป็นสีเขียวเข้มเต็มไปด้วยความลึกลับและเยือกเย็น
นางกำลังกลายร่างเป็นอสูร!
คืนสู่ร่างอสูร?!
ทุกคนรู้ถึงความหยิ่งยะโสของจักรพรรดินีอสูรดีไม่อยากจะเชื่อเลยว่านางจะคืนร่างอสูรต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้!จิ้งจอกขาวเก้าหาง ข้าไม่เคยเห็นร่างที่แท้จริงของมันเลย!
ฉากนี้ทำให้เหล่าศิษย์ทุกสำนักตกตะลึงอย่างไรก็ตามพวกเขาก็หวาดกลัวเช่นกัน
นั่นเพราะวิกฤตร้ายแรงกำลังจะจบลงด้วยความตายของหนานกงเฮาแต่ฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นสิ่งที่หาดูได้ยากมาก
ในทางกลับกัน…
โม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงกำลังสั่นเทา
หลายสิบปีที่ผ่านมากมนุษย์เผ่าอสูรและเผ่าปีศาจรบกันในสงครามใหญ่ ผู้คนล้มตายมากมายเพราะศิลาเซียน
แม้แต่ในสงครามครั้งนั้นไป่ฉือก็ไม่ได้คืนร่างอสูร
มันจึงเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากสำหรับมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือ
ถ้าหนานกงเฮาไม่ตายพวกเขามีทางเลือกแค่สู้จนตัวตายเพื่ออนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ อย่างไรก็ตามหนานกงเฮาตายแล้ว…
แต่เมื่อทุกอย่างจบลงจักรพรรดินีอสูรกำลังกลับคืนร่างอสูรต่อหน้าผู้คนเพราะนางไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกแล้ว
เมื่อไป่ฉือสงบลงนางต้องพิจารณาเรื่องต่างๆ เช่นความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เหล่าอสูรต้องถอยกลับไปที่บึงใหญ่อีกครั้ง
เฒ่าโม่ถอยก่อน! มู่ฉิงเฟิงหนีออกมาโดยไม่ลังเล การต่อสู้กับจักรพรรดินีอสูรคงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก
อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำของศาลาเต๋าสวรรค์ มู่ฉิงเฟิงเลือกใช้คำว่า ‘ถอย’ แทนคำว่า ‘หนี’
ไป่ฉืออย่าดิ้นรนต่อไปอีกเลย! โม่ฉานฉือพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
แม้เขาจะมีท่าทีที่น่าเกรงขามแต่เขาก็ถอยออกมาเช่นกัน
… ฟางเจิ้งจือมองไปที่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือที่ถอยหนีออกมา และมองไปยังท่าทีของไป่ฉือ ที่ตอนนี้ดวงตากลายเป็นสีเขียวเข้ม และอยากจะพูดออกไปว่า ‘เชี่ย’ แต่ก็ลังเล
ดั่งคำโบราณที่กล่าวว่า’วีรบุรุษมักตายเร็ว’ มันเป็นเรื่องจริง!
เป็นช่วงเวลาที่โหดร้ายฟางเจิ้งจือหวังว่าจะย้อนเวลากลับไปได้
อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นวีรบุรุษ
ฟางเจิ้งจือเองก็เช่นกันดังนั้นเขาจึงต้องรับมือกับความโกรธของไป่ฉือไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
อสูรแก่นั่น…โอ้ะ ไม่ใช่ ข้าหมายถึง…ป้า จริงๆแล้วความสัมพันธุ์ของข้ากับหยุนชิงวู ค่อนข้าง.. ฟางเจิ้งจือตระหนักว่าเขาต้องเปิดไพ่สักใบ
อย่างไรก็ตามไป่ฉือไม่ให้โอกาสเขาพูดแม้แต่น้อยด้วยความสั่นสะเทือน นางหายตัวไปจากตำแหน่งเดิม จากนั้นฟางเจิ้งจือก็รุ็สึกได้ถึงกลิ่นอายที่เย็นเยือกราวกับวิญญาณจากนรกกำลังจ่อดาบที่ด้านหลังของเขา
‘เผชิญหน้ากับความตายของเจ้าซะ! ใบหน้าของไป่ฉือเต็มไปด้วยขนเรียบเนียนเป็นพิเศษแม้จะดูน่ารังเกียจแต่นางกลับเปล่งประกายด้วยความงดงามที่มีเสน่ห์
อย่างไรก็ตามนั่นไม่สำคัญอีกต่อไป
สิ่งสำคัญคือไป่ฉือมีสายฟ้าอยุูที่มือทั้งสองมันอยู่ในรูปร่างยาวและแหลคม
มันถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์อสูรที่แข็งแกร่งโดยแท้สามารถควบคุมดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จับสายฟ้า เดินบนสายลมและเปลวเพลิง
ฟางเจิ้งจือรู้ว่านางอยู่ด้านหลังเขา
ยิ่งไปกว่านั้นจากน้ำเสียงที่เย็นเยือกและน่ากลัวของนาง เขาสามารถบอกได้เลยว่านางหมายถึงอะไรที่ว่า ‘เผชิญหน้ากับความตาย!’
ต่อสู้ให้ถึงที่สุด! ความสิ้นหวังก่อให้เกิดความกล้าแม้กับคนขี้ขลาด เมื่อถึงคราววิกฤติของชีวิตหรือต้องเผชิญหน้ากับความตาย ฟางเจิ้งจือกัดฟันแน่นและกระทืบเท้า ระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์
ไป่ฉือรวดเร็วฟางเจิ้งจือก็ไม่ได้ช้าเช่นกัน
ฟางเจิ้งจือคิดไร้สาระเกี่ยวกับการโจมตี’จุดตาย’ ของไป่ฉือและเขารู้ว่า ‘จุดตาย’ ของผู้หญิงอยู่ตรงไหน
ในสถานการณ์เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าฟางเจิ้งจือไม่มีเวลาทำเช่นนั้น แม้ว่าจำสำเร็จแต่ไป่ฉือคงจะตอบโต้และฆ่าเขาตายในที่สุด
ดังนั้นฟางเจิ้งจือตัดสินใจไม่เล็งไปที่ร่างกายแต่เล็งไปที่จิตใจ
ความจริงแล้วมีคำพูดหนึ่งอธิบายถึงความไม่เหมาะสมที่เพศตรงข้ามจะสัมผัสกัน
เรื่องนี้ถูกเน้นย้ำเป็นพิเศษในโลกที่มีความอนุรักษ์นิยม
ฟางเจิ้งจือเริ่มเคลื่อนไหว
หลังจากรู้สึกถึงลางร้ายที่จ่อหลังอยู่เขาก็โน้มตัวไปด้านหลัง การกระทำของเขามีผลอย่างไม่น่าเชื่อ
ในที่ไกลๆโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าฟางเจิ้งจือจะตอบโต้กลับเช่นนี้
แต่ความจริงก็คือ…
ตอนที่ฟางเจิ้งจือโน้มตัวไปด้านหลังไป่ฉือก็เสียการควบคุมเห็นได้ชัดว่านางเองก็ตกตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน
แม้จะแค่ชั่วครู่แต่นางก็ตกตะลึง
นางไม่เข้าใจว่าทำไมฟางเจิ้งจือไม่เลือกที่จะหนีไปด้านหน้าหรือด้านข้างกลับโน้มตัวเข้าหานางเช่นนี้
ที่สำคัญที่สุดคือ…
เขากำลังจะแตะตัวนาง?!
เจ้าเด็ก… ไป่ฉือก้าวถอยในขณะที่ฟางเจิ้งจือจะแตะหน้าอกของนาง
การเคลื่อนไหวของนางเป็นไปตามสัญชาตญาณ ในฐานะจักรพรรดินีอสูร…
นางจะยอมให้ผู้ชายจับหน้าอกต่อหน้าผู้คนขนาดนี้ได้ยังไง?
อย่างไรก็ตามทันทีที่นางก้าวถอยก็ตระหนักได้
ด้วยลางสังหรณ์ที่แข็งแกร่งนางจึงตอบสนองได้ทันทีตอนที่ฟางเจิ้งจือลอบโจมตีหนานกงเฮา แต่โชคไม่ดีที่นางอยู่ไกลเกินไปจึงไม่สามารถหยุดฟางเจิ้งจือได้
ตอนนั้นลางสังหรณ์ของนางรู้สึกว้าฟางเจิ้งจือพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะเอาชีวิตรอดราวกับว่าชีวิตของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ปัง!
ไป่ฉือไม่ได้หลบ
ร่างของฟางเจิ้งจือชนเข้ากับร่างของไป่ฉือทำให้ร่างทั้งสองสัมผัสกัน
ในตอนนั้นเองไป่ฉือก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มที่มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยจิตมุ่งร้าย เจ้าเด็กเหลือขอข้าต้องเสียเวลามาฆ่าเจ้า เสียงของไป่ฉือดังข้างหูฟางเจิ้งจือ
เป็นความอบอุ่น
ฟางเจิ้งจือรู้สึกตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
ข้าจับโดน?!มีโอกาสเพียง 10% เท่านั้น ฟางเจิง้จือไม่คิดเลยว่าตัวเองจะโชคดีขนาดนี้
โชคดีที่เขาเล็งไปยังหน้าอกของไป่ฉือ
เชี่ย
มันเจ็บเล็กน้อย!
เห็นได้ชัดว่าฟางเจิ้งจือไม่มีอารมณ์ที่จะเพลิดเพลินเพราะเขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เยือกเย็นจากไป่ฉือ
นอกจากนี้เขายังรู้สึกถึงอาการชาที่ไหลผ่านช่วงแขน
สายฟ้า?! ฟางเจิ้งจือเห็นสายฟ้าทั้งสองระหว่างแขนของเขา พวกมันไม่หนาแต่คมเหมือนมีด
ทำไมถึงอยู่ตรงนี้กัน? เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนั้นเขารู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บด้านหลัง และความเจ็บปวดที่รุนแรงอีกครั้งแถวต้นคอ
มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่แหลมคมสอดแทรกอยู่ใต้เนื้อ
กัด…ข้าถูก…จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือ …กัด งั้นเหรอ? ฟางเจิ้งจือไม่จำเป็นต้องหันหน้ามอง
ความจริงแล้วเมื่อไป่ฉือพูดจบประโยคคอของเขาก็ถูกคมเขี้ยวเจาะลงไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ฟางเจิ้งจือคิดว่าความคิดของเขานั้นสร้างสรรค์และมีความเป็นไปได้สูง
ถ้าเขาเดาม่ผิดสายฟ้าทั้งสองต้องแทรกอยู่ระหว่างอกด้านซ้ายและอกด้านขวา
มันเป็นการตัดสินใจวินาทีสุดท้ายทำให้สายฟ้าทั้งสองพลาดตำแหน่งไป
อย่างไรก็ตามเขาคาดการณ์ไว้เพียงครึ่งเดียว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะชนเข้ากับร่างของไป่ฉือ และลืมคิดไปว่าไป่ฉือเป็นอสูร
อสูรที่มีคมเขี้ยว!
หลังจากถูกสายฟ้าไหลผ่านช่วงแขนและถูกกัดที่คอ ฟางเจิ้งจือรู้สึกราวกับว่าถูกงูยักษ์กัด
แม้จะไม่ตายในทันทีแต่ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย
แน่นอนว่าเมื่อได้เห็นความสามารถของไป่ฉือเขารู้ตัวว่าอาจจะตายลงได้
ป้าแม้ว่าข้าจะตายคาปาก แต่ข้ายังพูดประโยคก่อนหน้านี้ไม่จบเลยก็โดนป้าขัดซะก่อน ก่อนจะฆ่าข้า ข้าขอพูดให้จบประโยคก่อนได้ไหม?
ฟางเจิ้งจือไม่ได้ดิ้นรนเขามองดูดาวบนท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า ในฐานะคนที่กำลังจะตาย เขาดูโดดเดี่ยวแล้วโศกเศร้า