Gate of God - ตอนที่ 905 ความหลัง
ไร้ยางอาย!
อย่างไรก็ตามไม่มีราชาอสูรหรือศิษย์คนไหนพูดออกมา
นั่นเพราะไป่ฉือกำลังโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด
ในฐานะจักรพรรดินีอสูรผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางยอมไม่ได้
นางอดทนต่อคำดูถูกความทุกข์ทรมานมามากกว่าสิบปี ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ แต่ฟางเจิ้งจือกลับทำให้แผนการปั่นป่วนไปหมด
ที่สำคัญที่สุดนางถูกเตะกระเด็นต่อหน้าเหล่าอสูรและมนุษย์มากมาย
นางจะไม่โกรธได้ยังไง!
ในใจของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและต้องการฉีกฟางเจิ้งจือเป็นชิ้นๆอย่างไรก็ตาม ฟางเจิ้งจือหนีไปอีกครั้งหลังจากเตะนางกระเด็น
หนี!
ไป่ฉือกัดฟันแน่นด้วยความโกรธนางอยากจะมองข้ามทุกอย่างและไล่ล่าฟางเจิ้งจือไปจนกว่าโลกจะดับสลาย
แต่นางจะทำเช่นนั้นได้ไหม?
ไม่!
นางจะไม่ยอมแพ้เพราะความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วที่สำคัญที่สุด นางไม่สามารถทิ้งอนาคตของเผ่าอสูรไปได้
เพราะเหตุนั้นทำให้นางไม่สามารถไล่ล่าฟางเจิ้งจือได้
ถ้าหากเลือกที่จะไล่ตามเขาไปนางไม่สามารถจินตนาการได้ว่าโม่ฉานฉือมู่ฉิงเฟิงและหนานกงเฮาจะทำอะไรต่อไป
นั่นเป็นความสิ้นคิดอย่างที่สุด
ฟางเจิ้งจือ! ไป่ฉือสูญเสียเสน่ห์ไปอย่างสิ้นเชิงความโกรธแค้นระเบิดออกมาจากภายใน
อย่างไรก็ตามนางไม่ได้ไล่ล่าฟางเจิ้งจือเพื่อนาคตของเผ่าอสูรนางทนได้ หลังจากที่ถูกเตะกระเด็นโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงก็พุ่งเข้าหาหนานกงเฮาอย่างรวดเร็ว
เร็วเข้าจัดการหนานกงเฮา!
รู้แล้ว!
มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือไม่สามารถปล่อยโอกาสนี้ไปได้ พวกเขาพุ่งเข้าหาหนานกงเฮาราวกับพายุ
อย่างไรก็ตามหนานกงเฮาจะยอมแพ้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ?
ข้าต้องทำภารกิจของตระกูลหนานกงให้สำเร็จ! หนานกงเฮาไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับฟางเจิ้งจืออีกแล้วเขายื่นมือไปที่ผลไม้สีทองอีกครั้ง
จงเปิดออกประตูแห่งดินแดนพระเจ้า! แผนการที่วางเอาไว้เมื่อพันปีก่อนเกือบจะสำเร็จแล้ว หนานกงเฮาไม่มีทางยอมแพ้
อย่างไรก็ตามทั้งมู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือรวดเร็วมากในพริบตาพวกเขาก็เข้าขัดขวางหนานกงเฮาทำให้ไม่สามารถเอื้อมมือถึงผลไม้ได้
หนานกงเฮายอมแพ้ซะ อย่าเปิดโอกาสให้กับพวกอสูรและปีศาจ นั่นเป็นหนทางเดียวที่มั่นใจได้ว่าตระกูลหนานกงจะอยู่รอดต่อไป! ในขณะที่พูดมู่ฉิงเฟิงก็โจมตี
ดาบยาวในมือของเขากลายเป็นลำแสงมันพุ่งลงมาจากท้องฟ้าราวกับผ่าโลกออกเป็นสอง
เมื่อเห็นแสงที่พุ่งลงมาหนานกงเฮาไม่ได้หลบ นั่นเพราะเขาเห็นหางสีขาวกำลังเข้าใกล้ลำแสง
จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือ!
มันเป็นการต่อสู้สามทาง
สิ่งที่หนานกงเฮาต้องการคือผลไม้สีทองและเปิดประตูแห่งดินแดนพระเจ้าในขณะที่มู่ฉิงเฟิงและโม่ฉานฉือเข้าขัดขวางเพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้น
ในทางกลับกันจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือต้องการใช้ประโยชน์จากหนานกงเฮา
ทั้งสามฝ่ายมีความต้องการต่างกันและให้ความสำคัญกับหนานกงเฮาพวกเขาจะต่อสู้ด้วยพลังทั้งหมด
ตูม!หางของไป่ฉือเข้าขัดขวางดาบของมู่ฉิงเฟิง ทำให้หนานกงเฮารอดพ้นจากการโจมตีและก้าวต่อไป
แต่ตอนนั้นเองเขาก็ถูกหยุดโดยโม่ฉานฉือ
ค้อนยักษ์สีดำปรากฎขึ้นตรงหน้าทำให้หนานกงเฮาต้องลดมืออกจากผลไม้สีทองและถอยหลังไปหนึ่งก้าว
บ้าเอ้ย! หนานกงเฮาเป็นคนที่เยือกเย็นอยู่เสมอ แม้ในช่วงเวลาอันตรายเขาก็ยังคงสงบนิ่งและมั่นใจ
เหมือนกับตอนที่ถูกแทงโดยฟางเจิ้งจือก่อนหน้านี้
ดาบแทงพลาดหัวใจของเขาไปเพียงระยะเส้นผม
อย่างไรก็ตามนั่นทำให้เขาได้สติจากภาพลวงตาของไป่ฉือและยังรอเวลาที่เหมาะสมที่สุด
จนกระทั่ง…
เขาลืมตาขึ้นเห็นฟางเจิ้งจือถูกไป่ฉือควบคุมอยู่ และเบี่ยงความสนใจไปจากเขา
อย่างไรก็ตามเขาไม่คิดว่าจะถูกส่งมาอยู่ตรงหน้าไป่ฉือด้วยวิชาของฟางเจิ้งจือ
ในตอนนั้นหนานกงเฮารู้สึกขมขื่นอย่างมาก
เขาใกล้จะทำสำเร็จแล้ว!
แต่ถูกฟางเจิ้งจือทำลายแผนการทั้งหมดลง
และตอนนี้ฟางเจิ้งจือ ก็ได้หนีหายไปอีกครั้ง แม้แต่หนานกงเฮาที่สงบเยือกเย็นก็ไม่สามารถคงอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเห็นไป่ฉือกำลังใกล้เข้ามา
อ้าก!!! หนานกงเฮาตะโกนอย่างไม่พอใจ อย่างไรก็ตามเขาบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถรับมือกับโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงได้
อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากจะยอมแพ้ ความพยายามหลายพันปีของตระกูลหนานกง เขาไม่สามารถทนดูมันถูกทำลายลงอย่างเลือดเย็นด้วยน้ำมือของไป่ฉือได้
อย่างไรก็ตามดูเหมือนทุกอย่างจะถูกกำหนดไว้แล้ว
ไป่ฉือเข้ามาถึงตัวและใช้หางรัดพันร่างเขาเอาไว้
หยุดนาง! มู่ฉิงเฟิงค่อนข้างกังวล ถ้าหนานกงเฮาถูกไป่ฉือจับได้อีกครั้ง อนาคตของโลกจะเปลี่ยนไปทันที
โม่ฉานฉือเองก็กังวลอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามไป่ฉือแข็งแกร่งเกินไปพลังของนางเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลหลังจากกลายร่างเป็นอสูร
หางทั้งเก้าฟาดไปมาบนร่างของโม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงอย่างต่อเนื่องพวกเขาต่อสู้อย่างหนักเพื่อป้องกันตัวเอง
ผู้นำศาลาข้ามาแล้ว! ในตอนนั้นเองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ผู้อาวุโสหยานหยิง? สายตาของโม่ฉานฉือหรี่เล็กลงในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของศาลาเต๋าสวรรค์ เขามีพลังที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน
เขาฝ่าวงล้อมของราชาอสูรกว่าสามสิบตนขึ้นมาบนนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่มีไม่น้อยกว่ามู่ฉิงเฟิง
เฒ่าหยานโจมตีด้านหลัง! โม่ฉานฉือรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหยานหยิง เขาหายตัวไปยังตำแหย่งอื่นทันที
มู่ฉิงเฟิงโม่ฉานฉือ และหยานหยิงล้อมไป่ฉือเป็นมุมสามเหลี่ยม
สามคนรึ?จงตายไปพร้อมๆกันซะ! ไป่ฉือกวาดสายตามองด้วยความโหดเหี้ยม
ตูม!
ตูม!
เสียงดังก้องปะทะกันอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาสามคนเข้าโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อช่วยหนานกงเฮาจากไป่ฉือ
ถึงอย่างนั้นไป่ฉือก็มีพลังที่แข็งแกร่งมาก
พวกเขาทั้งสามคนไม่สามารถเอาชนะนางได้
ฉากตรงหน้าหยุดชะงักพวกเขาทั้งสามรู้สึกหนาวสั่นไปถึงกระดูกหลังจากโจมตีหลายครั้งหลายครา
หลังจากนางคืนร่างอสูรไป่ฉือมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก
ไม่เพียงแต่ไม่สามารถเอาชนะนางได้พวกเขาทั้งสามคนยังได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีกด้วย
มีพลังมากถึงขั้นนี้ได้ยังไง? มู่ฉิงเฟิงรู้มาตลอดว่าจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือนั้นแข็งแกร่งมากแต่พลังของนางทำให้เขากลัว
ความทรงจำจากสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นหลายสิบปีก่อนยังคงตรึงอยู่ในจิตใจของเขาในสงครามครั้งนั้นผู้ชนะคือมนุษย์
อย่างไรก็ตามสงครามครั้งนั้น เหล่ามนุษย์เองก็เสียผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดไป เขาเป็นคนเดียวที่สามารถรับมือกับจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือได้
ปรมาจารย์แห่งหอคอยหลิงหยุน!
เขาสละชีวิตตัวเองเพื่อถ่วงเวลาไป่ฉือทำให้มนุษย์สามารถเข้าโจมตีพวกอสูรจากด้านหลังและสามารถควบคุมกระแสสงครามได้ในที่สุด
ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่ได้ฆ่าล้างอสูรทั้งหมด ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความเมตตาแต่เพราะจริงๆแล้วจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือยังไม่ตาย
ถ้านางยังไม่ตายพวกเขาจะกล้าฆ่าล้างเผ่าอสูรได้ยังไง?
โชคยังเข้าข้างที่จักรพรรดินีอสูรไป่ฉือยอมแพ้หลังจากที่อสูรถูกควบคุม นางส่งมอบตราสารแห่งการจำนนและยินยอมที่จะพาเหล่าอสูรกลับสู่หนองน้ำยักษ์
แน่นอนมีบางคนเชื่อว่าเหตุผลเบื้องหลังที่มนุษย์สามารถเข้าโจมตีได้สำเร็จเป็นเพราะมีคนทรยศเผ่าปีศาจ
ด้วยเหตุนั้นทำให้ไป่ฉือตามฆ่าปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดเกือบทั้งหมดในเวลาน้อยกว่าครึ่งเดือนก่อนจะแยกตัวจากกัน
นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงยอมปล่อยตัวราชาอสูรทั้งหมดไป
อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไขความขัดแย้ง
แต่มู่ฉิงเฟิงไม่ได้คาดหวังเลยว่าเผ่าอสูรและเผ่าปีศาจจะลืมความเกลียดชังที่มีและร่วมมือกันอีกครั้งภายใต้การนำของหยุนชิงวู
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับหลายปีก่อนจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ามาก
ตูม!มู่ฉิงเฟิงถูกส่งลอยออกไปด้วยหางสีขาว เมื่อร่างทรงตัวได้สีหน้าของเขากลายเป็นซีดขาวและกระอั่กเลือดออกมาคำใหญ่
เฒ่ามู่อย่าตายนะ! โม่ฉานฉือกังวลมากเมื่อเห็นเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น
ข้าจะตายก่อนเจ้าได้ยังไง? มู่ฉิงเฟิงกัดฟันแน่นพร้อมกำดาบในมือแน่นแล้วรีบพุ่งกลับมาในทันทีที่ควบคุมลมหายใจได้อีกครั้ง
ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าจะจดจำการต่อสู้ในวันนี้ อย่างน้อย… ข้ามีชีวิตอยู่นานพอแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะไปหานาง
ฝันไปเถอะข้าเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจของหลันเอ๋อร์ ข้าควรจะได้ไปหานางก่อน
สวะน้องหลันมีความรู้สึกชัดเจนกับข้า!
ไปซะ! มู่ฉิงเฟิงดุเล็กน้อย
ผู้นำศาลาเฒ่าโม่ ข้าไม่คัดค้านในสิ่งที่พวกท่านพูด แต่ถ้าพูดถึงหลันเอ๋อร์ ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านางมีความรู้สึกที่ดีต่อข้า ในที่สุดหยานหยิงก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
หยานหยิงหลังจากผ่านมาหลายปี ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับว่ามีความรู้สึกต่อหลันเอ๋อร์งั้นรึ? โม่ฉานฉือยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ฮึ่มหยานหยิงไม่ได้ตอบ เพียงแต่ส่งเสียง ‘ฮึ่ม’ อย่างไม่ใยดีออกมา มองจากสายตาของเขาก็สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดยังไงกับนาง
หลันเอ๋อร์ผู้นำหอคอยหลิงหยุนรุ่นก่อน
นางเป็นหญิงที่งดงามที่สุดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ใครจะสามารถยับยั้งความรู้สึกที่มีต่อนางได้ อย่างไรก็ตาม นางตายไปแล้วเมื่อครั้งสงครามใหญ่
นับแต่นั้นมาไม่มีใครกล้าประกาศตนว่าเป็นหญิงที่งดงามที่สุดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกเลย
…
เสียงหัวเราะช่างเป็นอารมณ์ที่ไม่เหมาะกับการต่อสู้ครั้งนี้แต่โม่ฉานฉือและมู่ฉิงเฟิงต่างก็เผยยิ้มบนใบหน้า หยานหยิงเองก็เช่นกัน ความรู้สึกผิดและโหยหาปรากฎขึ้นในแววตาของเขา
พวกเราต้องสู้เพื่อหลันเอ๋อร์! ท่าทีของมู่ฉิงเฟิงกลายเป็นจริงจัง กลิ่นอายที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากตัวเขา
แน่นอน! โม่ฉานฉือตอบด้วยความไม่พอใจเขากัดริมฝีปากและจับค้อนยักษ์สีดำแน่น
หยานหยิงไม่ได้พูดแต่รีบพุ่งเข้าหาไป่ฉืออีกครั้ง
หลันเอ๋อร์?ผู้แพ้ที่ตายลง? มนุษย์ก็คือมนุษย์ เจ้าทุกคนล้วนโหยหาในอดีตและไม่รู้จักยึดมั่นในปัจจุบัน ทำไมกัน? ท่าทีของไป่ฉือเปลี่ยนไป นางได้ยินการสนทนาของพวกเขาก่อนจะพูดขึ้น
ในขณะเดียวกัน…
ท่าทีของเหล่าศิษย์และเฉียนยู่ก็เปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะที่ด้านบน
อาจารย์ท่านเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนั้นไม่มีสำนักใดกล้าต่อสูกับหอคอยหลิงหยุนและพยายามจะเป็นที่ชื่นชอบของพวกเรา หอคอยหลิงหยุนกลายเป็นผู้นำของสำนักทั้งห้า …ถ้าไม่ใช่เพราะความดื้อดึง ถ้าท่านไม่ต่อสู้กับจักรพรรดินีอสูรไป่ฉือเพียงลำพังเพื่อที่จะชดใช้บาปให้กับข้า ท่านคงยังไม่ตาย… ริมฝีปากของเฉียนยู่กระตุกเล็กน้อยพร้อมหยดน้ำตาที่ไหลรินออกมา
……………………………………..