Genius Doctor Black Belly Miss - ตอนที่ 1846-1848
ตอนที่ 1846 กับดัก (2)
เป็นเวลาหลายปีที่อยู่อย่างสงบและไม่มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้น พวกชาวบ้านและกลุ่มอำนาจทั่วไปไม่กล้าต่อต้านวิหารเงาจันทราเลย
แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสเยว่กำลังบอกว่ามีคนกล้าต่อต้านวิหารเงาจันทราในเมืองหลิงอย่างเปิดเผย และสิ่งต่างๆก็ไม่เรียบง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป
“ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ จากคำพูดของศิษย์เราที่หนีออกจากเมืองหลิงมาได้ คนพวกนั้นโจมตีสาขาเราตอนกลางคืน ไม่เพียงจุดไฟเผา ยังสังหารศิษย์ของเราไปมากมาย” ผู้อาวุโสเยว่ก้มหัวลง
“บังอาจนัก! ไปสืบมา! เมื่อไรที่รู้ว่าใครเป็นผู้ทำเรื่องนี้ ข้าจะให้มันรู้ว่าวิหารเงาจันทราไม่ใช่ที่ที่จะมาหาเรื่องได้!” ประมุขวิหารเงาจันทราโกรธจัดจนสร่างเมา สาขาของวิหารเงาจันทราถูกเผาในเขตอำนาจของพวกเขาเอง และศิษย์ยังโดนทำร้ายนับไม่ถ้วน นี่มันหาเรื่องกันชัดๆ!
ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ วิหารเงาจันทราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
“เรียนท่านประมุข ข้าได้สั่งคนตรวจสอบแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานเราจะรู้ตัวคนที่ทำเรื่องนี้แน่” ผู้อาวุโสเยว่พูด
“ทางสาขาเสียหายไปเท่าไร?” ประมุขคิ้วกระตุกอย่างแรง ไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ เรื่องนี้ก็เท่ากับการตบหน้าประมุขวิหารเงาจันทรา เขาจะทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างไร?
“เสียหายหนักมากขอรับ มีเพียงศิษย์ส่วนน้อยเท่านั้นที่หนีมาได้อย่างหวุดหวิด ส่วนใหญ่ไม่ตายก็สูญหายไป เนื่องจากหลังจากไฟไหม้ ร่างของพวกเขาก็ถูกเผาจนจำไม่ได้ เราจึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าศิษย์คนใดเสียชีวิต แต่ข้าได้รวบรวมรายชื่อศิษย์ทั้งหมดในสาขานั้นมาแล้ว ท่านประมุขโปรดตรวจสอบ” พูดจบผู้อาวุโสเยว่ก็ส่งรายชื่อที่เขาเตรียมไว้แล้วให้กับมือประมุข
ประมุขวิหารเงาจันทราตรวจดูแบบเร็วๆ เมืองหลิงไม่นับว่าเป็นเมืองใหญ่ ดังนั้นจึงมีคนอยู่ที่สาขาเมืองนั้นไม่มากนัก ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ศิษย์ที่มีความสำคัญ ทำให้ประมุขรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย
เยว่เย่ยืนอยู่ข้างประมุข ดวงตาของนางโฉบผ่านรายชื่อเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าวิหารเงาจันทราจะไม่สามารถเทียบกับวิหารปีศาจเพลิงได้ แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งไม่น้อย ทั่วทั้งอาณาจักรกลาง นอกจากเก้าอารามแล้วก็มีคนไม่มากนักที่จะกล้าท้าทายอำนาจของสิบสองวิหาร แต่เขตอิทธิพลของเก้าอารามนั้นห่างไกลจากเขตอิทธิพลของสิบสองวิหารมาก และการที่วิหารเงาจันทราไม่ทำตัวเด่นเมื่อเทียบกับบรรดาสิบสองวิหารอื่นๆ แม้ว่าเก้าอารามต้องการโจมตีสิบสองวิหาร พวกเขาก็จะไม่เลือกวิหารเงาจันทรา
เยว่เย่อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกับการที่ผู้อาวุโสเยว่เข้ามารายงานเรื่องนี้ในตอนนี้ เกิดเรื่องตอนไหนไม่เกิด จำเพาะเจาะจงต้องเกิดเรื่องขึ้นในเวลาเช่นนี้
ขณะที่เยว่เย่กำลังสงสัยถึงเจตนาของผู้อาวุโสเยว่อยู่นั้น ประมุขก็พลิกรายชื่อไปถึงหน้าสุดท้าย
และในหน้าสุดท้ายนั้น ตัวอักษรสองตัวโดดเด่นจนทำให้เยว่เย่หน้าซีดเผือดทันที ขาของนางหมดแรงจนล้มลงไปนั่งบนพื้น
ในหน้าสุดท้ายนั้นมีอยู่เพียงชื่อเดียว ตัวอักษรสองตัวที่ทำให้เยว่เย่รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดใส่ หัวใจเจ็บปวดราวถูกกระชาก
“เยว่อี้? เขาไปเมืองหลิงทำไม?” ชื่อเดียวในหน้านั้นคือเยว่อี้! เมื่อประมุขเห็นตัวอักษรสองตัวนั้นก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาหันไปมองเยว่เย่และเห็นใบหน้าซีดขาวของนาง
“ข้าสมควรตาย ก่อนหน้านี้มีข่าวเกี่ยวกับความไม่สงบเล็กๆน้อยๆในเมืองหลิง ข้าคิดว่าด้วยพลังของเยว่เย่ เขาน่าจะจัดการเรื่องนี้ได้ คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเลยเถิดไปกว่าที่ใครจะคาดคิด เยว่อี้เพิ่งไปถึงเมืองหลิงได้ไม่นานก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น” ผู้อาวุโสเยว่มีสีหน้าเสียใจ ดูท่าทางเป็นห่วงเยว่อี้อย่างมากเช่นกัน
ตอนที่ 1847 กับดัก (3)
เยว่เย่พยายามแข็งใจไม่ให้เป็นลมล้มพับไป นางมองผู้อาวุโสเยว่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้านางไม่พยายามอดกลั้นเอาไว้อย่างเต็มที่ นางคงทนไม่ไหววิ่งเข้าไปถลกหนังผู้อาวุโสเยว่ทั้งเป็นแล้ว!
นี่เป็นแผนของผู้อาวุโสเยว่อย่างแน่นอน!
“แล้วอยู่ดีๆ เจ้าส่งเขาไปทำไม?” สีหน้าของประมุขวิหารเงาจันทราก็ดูไม่ดีเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเยว่อี้กับเยว่เย่ แค่พรสวรรค์ของเยว่อี้ก็เป็นสิ่งที่หายากมากในบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ของวิหารเงาจันทรา ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือหลักเหตุผล เขาก็ไม่อยากเสียศิษย์เช่นนี้ไป
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่คิดว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้” ผู้อาวุโสเยว่มีท่าทางโทษตัวเองอย่างมาก
“อาการบาดเจ็บของเยว่อี้ยังไม่หายดี เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่หรือ เจ้าทำเรื่องยุ่งจริงๆ” ครั้งนี้ประมุขไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสเยว่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเยว่อี้ถูกส่งตัวไปก่อนที่เขาจะแย่งตัวเยว่เย่มา เขาคงคิดว่านี่คือการแก้แค้นของผู้อาวุโสเยว่
“เป็นความผิดของข้าเอง ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว ดูเหมือนไม่มีคนที่คล้ายเยว่อี้อยู่ในบรรดาศพพวกนั้นเลย ข้าคาดว่าเยว่อี้อาจจะยังมีชีวิตอยู่ ถึงยังไงเขาก็ต่างจากศิษย์คนอื่นๆ เป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายอยากได้ข้อมูลของวิหารเงาจันทราจากปากเขาและได้ลักพาตัวเขาไป” ผู้อาวุโสเยว่กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง เขายอมรับความผิดอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการซัดทอดแม้แต่น้อย แม้จะยอมรับผิด แต่คำพูดที่ตามมาของเขาก็ได้เบี่ยงเบนความสนใจของประมุขไปอีกทาง
เทียบกับการเสียศิษย์ไปหนึ่งคน การที่ข้อมูลของวิหารรั่วไหลนั้นน่ากลัวยิ่งกว่า
อย่างที่คาดไว้ ความคิดของประมุขถูกดึงออกไปด้วยคำพูดของผู้อาวุโสเยว่
“แล้วเจ้ายังไม่รีบส่งคนออกไปค้นหาอีก! ถ้าคนพวกนั้นได้อะไรจากเยว่อี้ขึ้นมาล่ะก็ ผู้อาวุโสเยว่ ถึงเยว่เย่จะไม่ใช่หลานสาวของเจ้าอีกแล้ว แต่เยว่อี้ยังเป็นหลานชายของเจ้าอยู่นะ ถ้าเขาทำอะไรที่เป็นผลเสียต่อวิหารเงาจันทราล่ะก็ เจ้าเองก็ยากจะพ้นผิดเช่นกัน!” ประมุขกล่าวอย่างเด็ดขาด
“ขอรับๆ ข้าจะส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องนี้เพิ่ม” ผู้อาวุโสเยว่รับคำ
เยว่เย่ที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินบทสนทนาพวกเขาโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว ยิ่งได้ฟังนางก็ยิ่งใจหาย
ประมุขวิหารเงาจันทราห่วงเรื่องที่เยว่อี้จะทำข้อมูลของวิหารเงาจันทรารั่วไหลมากกว่า และไม่ได้ให้ความสำคัญมากนักว่าเยว่อี้จะเป็นหรือตาย เยว่เย่รู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งร่าง ฝ่ามือของนางมีเหงื่อออกไม่หยุด
นั่นคือพี่ชายของนาง ญาติพี่น้องเพียงคนเดียวของนาง!
แต่จากคำพูดที่ออกจากปากของผู้อาวุโสเยว่และประมุขวิหารเงาจันทรา พี่ชายของนางก็เป็นเหมือนสิ่งของ เขาจะเป็นหรือตายไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องสนใจเลยสักนิด
ด้วยความคิดเช่นนั้น ทำให้เยว่เย่รู้สึกราวกับตกลงไปในธารน้ำแข็ง ตัวของนางสั่นไม่หยุด
ประมุขตักเตือนผู้อาวุโสเยว่อยู่พักหนึ่ง แต่เนื่องจากความอาวุโสของผู้อาวุโสเยว่ เขาจึงไม่ได้ว่ากล่าวรุนแรงเกินไปนัก เขาสั่งให้ผู้อาวุโสเยว่จัดการเรื่องให้เร็วที่สุด และต้องไม่ให้ข้อมูลภายในของวิหารเงาจันทรารั่วไหลไปได้อย่างเด็ดขาด
“ข้าเข้าใจแล้ว จะรีบจัดการทันที” ผู้อาวุโสเยว่ตอบอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง แต่พอประมุขเผลอ ดวงตาของเขาก็มองไปที่เยว่เย่ซึ่งยืนตัวสั่นสะท้าน แววตาที่ร้ายกาจของเขาทำให้เยว่เย่อ้าปากค้าง
[เป็นเขา!]
[เป็นเขาอย่างแน่นอน!]
“ท่านประมุข ข้าไปได้หรือยัง?” ผู้อาวุโสเยว่ถาม
“ไปเถอะ” ประมุขนวดขมับที่ปวดตุบๆ เดิมทีก็เมาค้างอยู่แล้ว พอได้ยินข่าวนี้ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
ผู้อาวุโสเยว่เดินออกไปจากห้องภายใต้สายตาโกรธแค้นของเยว่เย่
ตอนที่ 1848 ดวงใจ (1)
จากนั้นประมุขวิหารเงาจันทราดูเหมือนจะสังเกตเห็นความกลัวของเยว่เย่ เขาหันมาพูดว่า “เย่เอ๋อร์ วางใจเถอะ ข้าจะหาทางช่วยพี่ชายของเจ้าอย่างแน่นอน”
เยว่เย่พยายามข่มความโกรธในใจเอาไว้ และยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรงซีดเซียว
“เย่เอ๋อร์มีท่านพี่เยว่อี้เป็นพี่ชายแค่คนเดียว ท่านประมุขได้โปรดช่วยท่านพี่ของข้าด้วย”
“แน่อยู่แล้ว ต่อให้ทำเพื่อเย่เอ๋อร์แค่คนเดียว ข้าก็จะช่วยพี่ชายของเจ้าอย่างแน่นอน” ประมุขถือโอกาสจับถือเล็กๆของเยว่เย่ และอยากจะทำอะไรมากกว่านี้ แต่เนื่องจากปวดหัวจนหัวแทบแตกจึงไม่สามารถทำได้ ได้แต่กล่าวปลอบใจอีกสองสามคำก่อนจะปล่อยเยว่เย่ไป
เยว่เย่เดินออกจากห้องของประมุขด้วยท่าทางที่ดูเหมือนสงบนิ่ง ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงแล้ว แสงจันทร์สาดส่องไปทั่วพื้นดิน เยว่เย่เหยียบย่างไปบนแสงจันทร์ ทุกย่างก้าวราวกับเหยียบอยู่บนหัวใจนาง
“เย่เอ๋อร์” เสียงที่เป็นเหมือนฝันร้ายที่สุดดังขึ้นด้านหลังเยว่เย่
เยว่เย่สะดุ้งอย่างตกใจและหันกลับมองทางต้นเสียง
ผู้อาวุโสเยว่เดินออกจากเงามืดอย่างช้าๆ บนใบหน้าเสแสร้งจอมปลอมนั้นปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายที่น่าขนลุก
“เย่เอ๋อร์เป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ รู้จักใช้ประมุขเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการด้วย แต่……ข้าปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีพอหรือ? ทุกอย่างตั้งแต่อาหารไปจนถึงเสื้อผ้าและที่อยู่อาศัย ล้วนดีกว่าศิษย์คนอื่นในวิหารเงาจันทรา ด้อยกว่าประมุขน้อยแค่เล็กน้อยเท่านั้น ขนาดนั้นแล้วเจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ? ลูกหมาป่าเลี้ยงไม่เชื่องจริงๆ” ผู้อาวุโสเยว่หรี่ตามองเยว่เย่อย่างน่ากลัว
เยว่เย่กลั้นหายใจขณะมองผู้อาวุโสเยว่ที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ผู้อาวุโสเยว่มองเยว่เย่ที่กำลังตึงเครียดอย่างมาก เขาเอื้อมมือไปจับปอยผมที่ไหล่ของนางขึ้นดม
“เย่เอ๋อร์นี่รักความสะอาดจริงๆ อยู่กับดินทั้งวันก็ยังหอมสดชื่น แต่ไม่รู้ว่าคนที่ถูกไฟคลอกเนี่ย ตัวจะยังมีกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนเย่เอ๋อร์รึเปล่า?”
เยว่เย่ตกใจ ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองผู้อาวุโสเยว่ที่พูดด้วยถ้อยคำแฝงความนัย
“เจ้าทำอะไรพี่ชายข้า!” เยว่เย่กัดฟันพูด ดวงตาวาววับ
“เยว่อี้? เขาเป็นหลานชายข้า ข้าจะทำอะไรเขาได้ยังไง? เจ้าก็ได้ยินแล้วนี่ สาขาที่เมืองหลิงโดนโจมตี มันเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ข้าเองก็คิดไม่ถึง เยว่อี้เป็นเด็กดี ไม่เหมือนหมาป่าตาขาวเนรคุณคนอย่างเจ้า ข้าย่อมรักเอ็นดูเขาอยู่แล้ว ข้าเองก็เป็นห่วงเขามากเหมือนกัน เจ้าว่าท่ามกลางไฟที่โหมกระหน่ำ ร่างกายของเขาก็ยังไม่หายดี เขาจะหนีรอดจากไฟไหม้ได้ยังไง? หรือว่า……หลังจากถูกจับตัวไป เขาจะโดนทำทารุณอะไรบ้าง? ข้าปวดใจจริงๆ” ผู้อาวุโสเยว่บ่นเหมือนจะเป็นห่วง แต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม
ทุกถ้อยคำที่ออกจากปากราวกับมีดที่กรีดเข้ากลางใจเยว่เย่
“เจ้าปล่อยเขาไปนะ! ข้าไปขอท่านประมุขให้ข้ากลับอยู่ข้างกายเจ้าได้” เยว่เย่กำหมัด เค้นเสียงอ้อนวอนอย่างสิ้นหวัง
นางมีเยว่อี้เป็นญาติเพียงคนเดียว นางทนความเจ็บปวดจากการสูญเสียพี่ชายไม่ไหว
เป็นอิสระแล้วยังไง? หากแลกให้เยว่อี้กลับมาได้ นางยอมให้ทุกอย่าง!
“สายสัมพันธ์พี่น้องช่างผูกพันลึกซึ้ง แต่เย่เอ๋อร์ เจ้าคิดว่าข้าเลอะเลือนหรืออย่างไร? เจ้าพูดกับท่านประมุขไปถึงขนาดนั้นแล้ว เจ้าอยากจะกลับคำก็กลับคำได้อย่างนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าบอกว่าอยากกลับมา เกรงว่าท่านประมุขจะคิดว่าข้าข่มขู่เจ้าน่ะซิ ข้าไม่อยากทำให้ท่านประมุขเกลียดข้า” ผู้อาวุโสเยว่พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ
“แล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร? ข้าทำได้ทุกอย่าง” เยว่เย่สูดหายใจเข้าลึก