Genius Doctor Black Belly Miss - ตอนที่ 2315 ล้างเก้าอารามด้วยเลือด (2)
ก็แค่……ความสงบในช่วงครึ่งเดือนนี้ทำให้รู้สึกแปลกๆ หลังจากชิวอวิ๋นพ่ายแพ้ให้แก่จวินอู๋เสีย ร่องรอยทั้งหมดของกองทัพราตรีก็หายไปจากอาณาจักรกลาง การโจมตีสาขาต่างๆของเก้าอารามก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ทำให้หนานกงเล่ยที่เตรียมพร้อมสำหรับการจู่โจมที่กำลังจะเกิดขึ้นต้องรู้สึกผิดหวัง
หนานกงเล่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ในเมื่อศัตรูไม่เคลื่อนไหว เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำได้เพียงวางแนวป้องกันเก้าอารามไว้อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
พวกเขาสูญเสียวิหาร 108 แห่งไปติดๆกัน ทุกอย่างที่ทำมาตลอด 5 ปีกลายเป็นเศษซากกองหิน ถ้ายังปล่อยกองทัพราตรีเอาไว้ อย่าว่าแต่ 5 ปีเลย ต่อให้มีเวลา 50 ปี ภายใต้การโจมตีที่สามารถทำลายวิหารร้อยกว่าแห่งได้ในเวลาแค่ 2 – 3 วัน เขาจะไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายจากอาณาจักรบนให้สำเร็จได้เลย
ขณะที่คนของอาณาจักรบนกำลังอวดเก่งและพูดจาเย้ยหยัน หนานกงเล่ยก็มัวแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ เขามีสีหน้ามืดมนขณะมองไปที่เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความกลัว
“จวินอู๋เสียนั่น……นางเป็นคนแบบไหน?” หนานกงเล่ยขมวดคิ้วถาม จากปากคำของซูจิ่งเหยียน เขารู้แล้วว่าผู้นำของกองทัพราตรีคือผู้หญิงชื่อจวินอู๋เสีย ว่ากันว่าจวินอู๋เสียสามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้ แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็ทำให้หนานกงเล่ยประหลาดใจมากแล้ว
พลังวิญญาณในอาณาจักรกลางแตกต่างจากอาณาจักรบนอย่างสิ้นเชิง การฝึกฝนในบรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณสีทองในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์ซะอีก ไม่ต้องพูดถึงการควบแน่นแหวนวิญญาณเลย แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย นี่ทำให้หนานกงเล่ยอยากรู้เกี่ยวกับจวินอู๋เสียมาก
เมื่อไม่มีทางเลือก ซูจิ่งเหยียนก็ทำได้แค่ก้าวออกมาข้างหน้า เขาอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่จวินอู๋เสียเผชิญหน้ากับอาณาจักรบนสองครั้งแล้ว และเขาก็บังเอิญอยู่ที่นั่นทั้งสองครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปกปิดได้
“ข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจวินอู๋เสียมากนัก นางปรากฏตัวครั้งแรกที่ภูเขาฝูเหยา ตอนนั้นนางเป็นแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วง นางได้รับเลือกจากวิหารหยกวิญญาณและได้เข้าสำนักธาราเมฆ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้เจอนางอีก จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนที่ท่านปาเฮ่อจับซูหย่าศิษย์ของเหรินหวงไปไว้ที่สำนักธาราเมฆและใช้นางเป็นเหยื่อล่อ ซูหย่าเป็นอาจารย์ของจวินอู๋เสีย ตอนที่จวินอู๋เสียมานั้น พลังของนางแข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงสองปี นางก็พัฒนาจากพลังวิญญาณสีม่วงไปถึงขั้นสูงสุดของพลังวิญญาณสีเงิน……”
“ครั้งที่สามที่เจอกันคือเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ข้าได้รับคำสั่งจากท่านชิวอวิ๋นให้ปิดล้อมกองทัพราตรี คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอจวินอู๋เสียอีกครั้ง หลังจากผ่านมา 5 ปี นางสามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้จริงๆ ความเร็วในการเติบโตของนางน่าเหลือเชื่อจริงๆ” ซูจิ่งเหยียนเล่าทุกอย่างที่เขารู้อย่างตรงไปตรงมา และเปิดเผยว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางมากนัก เขาพบนางเพียง 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่เจอ นางก็สร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก นอกนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้อะไรจริงๆ
ซูจิ่งเหยียนกล้าพูดทั้งหมดนี้เพราะเขารู้ว่า ถึงเขาจะไม่พูดอะไร หนานกงเล่ยก็จะได้ยินจากศิษย์เก้าอารามคนอื่นๆอยู่ดี ยังไงซะคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ที่สำนักธาราเมฆและที่เมืองนั้นก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
นอกจากนั้น……
เขารู้ดีว่าที่จวินอู๋เสียปล่อยพวกเขาไปเพราะนางไม่กลัวว่าพวกเขาจะเปิดเผยเรื่องความแข็งแกร่งของนาง!
คำพูดของซูจิ่งเหยียนทำให้หนานกงเล่ยขมวดคิ้ว คำอธิบายของซูจิ่งเหยียนทำให้เกิดภาพของอัจฉริยะที่ใกล้เคียงกับปีศาจขึ้นในใจเขา
ไม่ถึง 10 ปี จากพลังวิญญาณสีม่วงไปถึงขั้นควบแน่นแหวนวิญญาณ อย่าว่าแต่อาณาจักรกลางเลย อัจฉริยะเช่นนี้ แม้แต่ในอาณาจักรบนก็ไม่อาจพบเจอได้!
หนานกงเล่ยรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ในเมื่อศัตรูไม่เคลื่อนไหว เขาก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ทำได้เพียงวางแนวป้องกันเก้าอารามไว้อย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
พวกเขาสูญเสียวิหาร 108 แห่งไปติดๆกัน ทุกอย่างที่ทำมาตลอด 5 ปีกลายเป็นเศษซากกองหิน ถ้ายังปล่อยกองทัพราตรีเอาไว้ อย่าว่าแต่ 5 ปีเลย ต่อให้มีเวลา 50 ปี ภายใต้การโจมตีที่สามารถทำลายวิหารร้อยกว่าแห่งได้ในเวลาแค่ 2 – 3 วัน เขาจะไม่สามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายจากอาณาจักรบนให้สำเร็จได้เลย
ขณะที่คนของอาณาจักรบนกำลังอวดเก่งและพูดจาเย้ยหยัน หนานกงเล่ยก็มัวแต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ เขามีสีหน้ามืดมนขณะมองไปที่เหล่าผู้อาวุโสของเก้าอารามที่ยังคงนิ่งเงียบด้วยความกลัว
“จวินอู๋เสียนั่น……นางเป็นคนแบบไหน?” หนานกงเล่ยขมวดคิ้วถาม จากปากคำของซูจิ่งเหยียน เขารู้แล้วว่าผู้นำของกองทัพราตรีคือผู้หญิงชื่อจวินอู๋เสีย ว่ากันว่าจวินอู๋เสียสามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้ แค่เรื่องนี้อย่างเดียวก็ทำให้หนานกงเล่ยประหลาดใจมากแล้ว
พลังวิญญาณในอาณาจักรกลางแตกต่างจากอาณาจักรบนอย่างสิ้นเชิง การฝึกฝนในบรรลุถึงขั้นพลังวิญญาณสีทองในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์ซะอีก ไม่ต้องพูดถึงการควบแน่นแหวนวิญญาณเลย แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้มากที่สุดก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น มันยังเกิดขึ้นกับพวกเขาด้วย นี่ทำให้หนานกงเล่ยอยากรู้เกี่ยวกับจวินอู๋เสียมาก
เมื่อไม่มีทางเลือก ซูจิ่งเหยียนก็ทำได้แค่ก้าวออกมาข้างหน้า เขาอยากแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่จวินอู๋เสียเผชิญหน้ากับอาณาจักรบนสองครั้งแล้ว และเขาก็บังเอิญอยู่ที่นั่นทั้งสองครั้ง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถปกปิดได้
“ข้าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจวินอู๋เสียมากนัก นางปรากฏตัวครั้งแรกที่ภูเขาฝูเหยา ตอนนั้นนางเป็นแค่ผู้ใช้พลังวิญญาณขั้นสีม่วง นางได้รับเลือกจากวิหารหยกวิญญาณและได้เข้าสำนักธาราเมฆ หลังจากนั้นข้าก็ไม่ได้เจอนางอีก จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนที่ท่านปาเฮ่อจับซูหย่าศิษย์ของเหรินหวงไปไว้ที่สำนักธาราเมฆและใช้นางเป็นเหยื่อล่อ ซูหย่าเป็นอาจารย์ของจวินอู๋เสีย ตอนที่จวินอู๋เสียมานั้น พลังของนางแข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ ในช่วงเวลาสั้นๆไม่ถึงสองปี นางก็พัฒนาจากพลังวิญญาณสีม่วงไปถึงขั้นสูงสุดของพลังวิญญาณสีเงิน……”
“ครั้งที่สามที่เจอกันคือเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ข้าได้รับคำสั่งจากท่านชิวอวิ๋นให้ปิดล้อมกองทัพราตรี คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอจวินอู๋เสียอีกครั้ง หลังจากผ่านมา 5 ปี นางสามารถควบแน่นแหวนวิญญาณได้จริงๆ ความเร็วในการเติบโตของนางน่าเหลือเชื่อจริงๆ” ซูจิ่งเหยียนเล่าทุกอย่างที่เขารู้อย่างตรงไปตรงมา และเปิดเผยว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางมากนัก เขาพบนางเพียง 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่เจอ นางก็สร้างความประหลาดใจให้เขาอย่างมาก นอกนั้นแล้ว เขาก็ไม่รู้อะไรจริงๆ
ซูจิ่งเหยียนกล้าพูดทั้งหมดนี้เพราะเขารู้ว่า ถึงเขาจะไม่พูดอะไร หนานกงเล่ยก็จะได้ยินจากศิษย์เก้าอารามคนอื่นๆอยู่ดี ยังไงซะคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ที่สำนักธาราเมฆและที่เมืองนั้นก็ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว
นอกจากนั้น……
เขารู้ดีว่าที่จวินอู๋เสียปล่อยพวกเขาไปเพราะนางไม่กลัวว่าพวกเขาจะเปิดเผยเรื่องความแข็งแกร่งของนาง!
คำพูดของซูจิ่งเหยียนทำให้หนานกงเล่ยขมวดคิ้ว คำอธิบายของซูจิ่งเหยียนทำให้เกิดภาพของอัจฉริยะที่ใกล้เคียงกับปีศาจขึ้นในใจเขา
ไม่ถึง 10 ปี จากพลังวิญญาณสีม่วงไปถึงขั้นควบแน่นแหวนวิญญาณ อย่าว่าแต่อาณาจักรกลางเลย อัจฉริยะเช่นนี้ แม้แต่ในอาณาจักรบนก็ไม่อาจพบเจอได้!