Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 318
บทที่ 318
อยู่ด้วยกันครั้งแรก
รับหนังสือที่เจียงซิ่วเขียนทำให้เธอตกใจอย่างมาก “คุณจะให้ฉันสืบทอดศิลปะการต่อสู้หรอ?” คนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศ ทักษะของเขานั้นล้ำค่ามาก และจำเป็นต้องสำคัญที่สุด
เจียงซิ่วส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ แต่มันคือเซียน!”
“เซียน?” จัวอี้เฉินถาม
เจียงซิ่วพยักหน้า “ นี่คือบทพื้นฐานของเซียน ไม่ว่าจะสูงหรือลึกลงไปแค่ไหน พื้นฐานก็เป็นสิ่งสำคัญมาก ต้องเอาจริงเอาจรังหน่อยนะ หลังจากนั้นถึงจะถามเซียนได้เกี่ยวกับเรื่องอื่นๆ บนโลกและสวรรค์”
จัวอี้เฉินไม่กล้าที่จะพูดต่อ “คุณยอมสอนฉันหรอ?”
เจียงซิ่วเอามือซ้ายไว้ด้านหลัง มือขวาของเขาถือร่มอยู่ ร่างกายของเขาสูงโปร่งราวกับเขาสูงตั้งตระหง่าน ในสภาพอากาศที่มืดจากฝนที่ตกลงมาทำให้มันดูทรงพลังและลึกลับมากขึ้น “การฝึกของลัทธิฟ้าไม่เคยเผยแพร่ออกไปสู้คนนอก แต่เธอคือคนนอก พอกลับไปแล้วก็หาที่ที่ไม่มีคนซะแล้วก็ท่องมัน หลังจากนั้นก็เผาทิ้ง…….”
“แต่ฉัน….” จัวอี้เฉินพูด
เธออยากจะพูดว่าฉันยังไม่ได้ตกลงกับเขา เรื่องนี้เธอมันยากที่จะยอมรับ ให้เธอเป็นเมียน้อยเหมือนกับที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด
เจียงซิ่วเอื้อมมือออกไป ความหมายนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้าเกิดว่าไม่ยินยอมก็ให้เอาตำราคืนแก่เขา
จัวอี้เฉินกัดปากแน่น
แน่นมากๆ..
“ฉันไม่ใช่คนดีหรอก จะพูดอีกครั้งชัดๆ แล้วกัน ฉันควรจะเป็นปีศาจตัวใหญ่ พวกเผด็จการ แต่ฉันก็ไม่เคยบังคับใคร วางใจเถอะ ถ้าเธอไม่เห็นด้วย ฉันก็บังคับเธอไม่ได้” เจียงซิ่วพูด
สีหน้าของจัวอี้เฉินซีดขาวก่อนจะพูดขึ้น “ฉัน …ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น….” เธอพูดออกมาเสียงแผ่วอ่อนแอและอายเล็กน้อย
“ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น? ถ้าอย่างนั้นฉันหวังว่าจะได้สอนเธอนะ”เจียงซิ่วพูด
ใบหน้าของจัวอี้เฉินแดงด้วยความอาย มองไปที่สีหน้าที่หยอกล้อของเจียงซิ่ว ในใจก็คิดฉันมองคุณว่าเป็นคนดีแท้ๆ ที่แท้ก็เป็นแค่คนที่จะเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปเท่านั้นแหละ
“ล้อเล่นน่ะ!”
“กลับเถอะ ที่นี่อากาศเริ่มเย็นแล้ว” เจียงซิ่วพูด
“อืม!”
จัวอี้เฉินเก็บตำราลัทธิฟ้าพื้นฐานใส่ไปในกระเป๋าของตนเอง เธอรู้ดีว่าสิ่งที่เจียงซิ่วให้เธอนั้นสำคัญมาก ก่อนที่เธอจะเดินออกไปพร้อมกับเจียงซิ่ว
เพราะฝนตกจึงนำพาอากาศที่เย็นลงมาให้อย่างเห็นได้ชัด เมื่อคนออกจากสุสานแล้วจึงนำพาความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหนึ่ง
เขาสองคนนั่งรถมาที่นี่ เจียงซิ่วให้คนขับรถของเขาขับตามมาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนรถของจัวอี้เฉิน จัวอี้เฉินเห็นก็ปฏิเสธ เธอยังคงต่อต้านเจียงซิ่วอยู่ในใจ แต่เจียงซิ่วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาเปิดประตูรถออกก่อนที่จะขึ้นไปนั่งที่คนขับ
“จะไปไหน?” จัวอี้เฉินถาม
“ไม่ได้จะไปไหนซักหน่อย คอยดูแล้วกัน” เจียงซิ่วตอบ
จัวอี้เฉินเลียปากอย่างชั่งใจ เธอไม่สนใจความหมายของคำพูดของเจียงซิ่ว พอขึ้นรถแล้วก็ไม่บอกว่าจะไปไหน มีกี่ความหมายกัน? แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นนอกจากจะขึ้นรถไป
เธอเป็นคนทำอะไรช้าเป็นพิเศษ ตั้งแต่พ่อแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เด็ก ก็ตระหนักได้ว่าเธอต้องป้องกันตัวเองเอาไว้ เป็นเรื่องยากเหมือนกันที่เธอจะทำความคุ้นเคยกับคนๆ หนึ่งได้ โดยเฉพาะคนที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เธอเลยตัดสินใจที่จะตีตัวห่างออกมาทั้งนั้น เจียงซิ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะสบายใจกับการอยู่กับคนแปลกหน้าสองต่อสองได้หรอก อยู่ดีๆ ก็มีความสัมพันธ์ที่มันต้องใกล้ชิดกัน นั่นน่ะทำให้เธออึดอัดที่สุด
เธอไม่พูดอะไรออกมา เจียงซิ่วก็เช่นกัน บรรยากาศนี้มันอึดอัดมาก
จัวอี้เฉินจำได้ว่า ครั้งแรกที่เจอเจียงซิ่วเขาเรียนเธอว่าพี่อี้เฉิน แต่เธอก็ไม่ได้รู้จักเจียงซิ่วดีอะไรขนาดนั้น ท้ายที่สุดแล้วอาจจะลงเอยด้วยการอยู่ด้วยกันก็ได้ “ฉันควรเรียกนายว่ายังไงดี”
“เรียกว่าอาจารย์สิ” เจียงซิ่วตอบ
หือ!
จัวอี้เฉินเกือบจะระเบิดออกมาแล้ว ก่อนมองด้วยสายตาที่หงุดหงิด ทำไมคนๆ นี้ถึงน่าเบื่อแบบนี้นะ คงจะให้ฉันเป็นเมียน้อยจริงๆ แน่ๆ เรียกเขาว่าอาจารย์งั้นหรอ ฝันไปเถอะ
เจียงซิ่วหันไปมองเธอก่อนจะพูดขึ้น “ทำไม ไม่อยากเรียกหรอ ถ้าไม่อยากเรียกฉันว่าอาจารย์ก็เรียกฉันว่าสามีแล้วกัน”
เขามันไร้ยางอายจริงๆ นี่แหละทำไมถึงมีแต่คนอยากจะจัดการเขา
แล้วจะได้รู้กัน!
“ถ้างั้นเรียกว่าอาจารย์แล้วกัน” จัวอี้เฉินพูด ขืนเรียกว่าสามีให้ตายยังไงก็จะไม่พูดมันออกมาแน่ๆ เธอไม่ใช่คนที่จะเรียกใครว่าสามีง่ายๆ เสียหน่อย
พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ตอนนี้ตัวเองก็ใช่ว่าจะเป็นเมียน้อยคนอื่นหรอกใช่ไหม?
“หลังจากนี้ถ้าฉันพูดว่าตะวันออกก็คือตะวันออก ไม่มีใครจะพูดได้ว่าตะวันตกนะ” เจียงซิ่วพูด
เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้เหมือนกับว่า ไม่ได้จะตกลงกันแบบนี้นี่ แรกๆ ก็รู้สึกว่ามีอิสระ อะไรสามปีนี้ การเคารพทุกแบบนี้ ตอนนี้ก็เหมือนขายตัวนี่
เขาโกหกหรอ?
จัวอี้เฉินมองไปที่เจียงซิ่ว ดวงตาของเธอแสดงออกถึงความประหม่า แต่หน้าตาของเขาดูจริงจังมาก ทุกการกระทำไม่เหมือนการล้อเล่นแม้แต่น้อย เธออยากจะต่อยหน้าเขาซักหนึ่งหมัด นี่เป็นวิธีธรรมชาติที่จะได้รับความเกลียดชังล่ะนะ
อาจารย์ที่เหมือนยายชะมัด
ขณะจัวอี้เฉินกำลังขับรถ มีรถยนต์ไม่มากนักในเขตชานเมือง เรียกได้ว่าว่างเปล่าเลยก็ได้ เมื่อมาถึงสวนสัตว์ตี้ตู เธอก็ได้ขับรถเข้าไปด้านใน
“เธอมาทำอะไรที่สวนสัตว์?” เจียงซิ่วเอ่ยถาม
“นายไม่ได้ให้ฉันตัดสินใจหรือไง?” จัวอี้เฉินตอบ
เมื่อลงรถแล้ว จัวอี้เฉินก็ได้ซื้อบัตรสำหรับเข้าสวนสัตว์ ตั้งแต่โตมานี่สวนสัตว์นี้ก็ยังคงเปิดให้บริการอยู่ นั่นก็เพราะเพื่อการรับมือกับเด็กๆ แต่เพราะว่าวันนี้อากาศไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ เลยไม่มีคนมาที่นี่
จัวอี้เฉินกระชับร่มในมือก่อนที่จะเดินเข้าไปในสวนสัตว์เพื่อดูสัตว์ที่อยู่ในนั้น
“ฉันกับพ่อแม่ไม่ได้มีอะไรให้ประทับใจกันมากเท่าไหร่ สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือพวกท่านเคยพาฉันมาที่นี่ ที่สวนสัตว์นี้ มันเป็นความทรงจำเดียวที่ฉันเหลืออยู่”
“ตอนฉันเด็กๆ ไม่เคยได้มาสวนสัตว์เลย ที่ที่เจียงเฉิงเป็นแค่พื้นที่เล็กๆ ไม่มีสวนสัตว์ แต่มันก็สร้างขึ้นหลังจากนั้น แต่พอสร้างเสร็จพ่อฉันก็ติดคุก แม่ฉันก็มัวแต่ทำมาหากิน การออกมาเที่ยวเล่นแบบนี้มันเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยมากในตอนนั้น”
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้มาสวนสัตว์น่ะ”
จัวอี้เฉินหันไปมองเขา สายตาของเธอมีความเห็นอกเห็นใจปรากฏอยู่ พวกเขาสองคนบางครั้งก็มีอะไรคล้ายๆ กันอยู่บ้าง ตอนเด็กก็น่าสงสารเหมือนกัน แถมยังมีประสบการณ์คล้ายๆ กันอีก รู้สึเหมือนได้เจอคนบ้านเดียวกันเลยล่ะ
“บังเอิญนะที่ครั้งแรกฉันเป็นคนพานายมา”
จัวอี้เฉินยิ้มอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน “ทำไมคำพูดดีๆ ที่ออกมาจากนายมันให้ความรู้สึกต่างกันล่ะ นายพูดดีๆ ก็เป็นใช่ไหมล่ะ”
“โอ้ นี่เธอกล้าสอนอาจารย์ของเธอหรอเนี่ย” เจียงซิ่วพูด
จัวอี้เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ตรงข้ามกันต่างหาก กลับไปอย่าลืมฮึกเหิมไว้ล่ะ ไว้เพิ่มระดับของฉันน่ะ”
ยิ่งพูดยิ่งไม่อาย จัวอี้เฉินไม่สนใจก่อนจะเดินออกไป ในใจก็คิดว่าจะให้เขาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เอาแต่สอนเขาไปแบบนี้ ไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ต่อได้แน่ๆ
ด้านหน้าของเธอคือกรงสิงโต เธอหยุดเดิน เจ้าสิงโตที่ขี้เกียจตัวนั้นเอาแน่นอนแผ่ไปบนพื้น อากาศทั้งเย็นทั้งฝนตกแบบนี้อาจจะทำให้ง่วงล่ะนะ “อาจารย์ มาดูนี่สิ….”
เจียงซิ่ววางมาดก่อนจะเดินไป “ภรรยาน้อยสอง ทำอะไรอยู่น่ะ?”
ให้ตายเถอะ พี่อี้เฉินไม่เรียก เรียกภรรยาน้อยแล้ว
“เห็นสิงโตตัวนั้นไหม กล้าเอามือไปลูบมันไหม” ในใจเธอรู้อยู่แล้วว่าเจียงซิ่วไม่กล้าอย่างแน่นอน เรื่องแบบนี้น่ะไม่มีใครกล้าหรอก
สิงโตตัวนั้นต้องกัดคนได้แน่ๆ
“ลูบแล้วมันยังไงล่ะ?” เจียงซิ่วถาม
“ถ้านายกล้าลูบ ฉันให้นายหอมเลยอ่ะ” จัวอี้เฉินพูด แย่พอกันเลยทำไมเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้เนี่ย
“หอมหน้ามันจะสนุกอะไร”
“แล้วนายว่าควรจะทำยังไงล่ะ?” จัวอี้เฉินถาม
สายตาของเจียงซิ่วมองไปที่หน้าอกของเธอ คิ้วของเธอขมวดแน่นเป็นปม ผู้หญิงแบบนี้มีคุณสมบัติพิเศษและก็เป็นต้นแบบของผู้หญิงที่ดีด้วย นั่นก็คือกระดูกบาง เนื้อหนังเยอะอ่อนนุ่ม เมื่อมองถึงความจริงที่อวบมันเป็นไปตามมาตรฐานของผู้หญิงที่ดีอย่างสมบูรณ์เลยล่ะ น้ำหนักก็ไม่เกินหนึ่งร้อยด้วย “มืออาจารย์เย็นแล้ว ยื่นเข้าไปให้ฉันทำให้มันอุ่นๆละกัน”
ใบหน้าของจัวอี้เฉินอยู่ๆก็แดงขึ้นมา เมื่อเห็นสายตายั่วยุของเจียงซิ่วบวกกับการเดิมพันนี้ตนเองเป็นคนเริ่ม จะไม่กลัวได้ยังไง “ทำให้อบอุ่นก็ทำให้อบอุ่นก็ได้ แล้วถ้าเกิดนายไม่กล้าทำล่ะจะเป็นยังไง?”
“ฉันก็เป็นคนทำให้เธออบอุ่นแทนไง” เจียงซิ่วตอบ
จัวอีเฉินจะนับว่าครั้งนี้เป็นแค่ประสบการณ์แล้วกัน หน้าตาเจ้าเล่ห์นี้หนากว่ากำแพงเสียอีกนะเนี่ย “ตามใจนายแล้วกัน ถ้าเกิดนายไม่กล้าล่ะก็ฉันก็จะไม่ทำให้นายลำบากใจหรอกนะ ฉันจะไม่เรียกนายว่าอาจารย์ เปลี่ยนเป็นเรียกชื่อแทน ฉันอยากเรียกอะไรก็จะเรียกอย่างนั้น”
เธอมั่นใจว่าเจียงซิ่วไม่กล้าแน่ๆ นั่นสิงโตเลยนะ ใครจะกล้ายื่นมือเข้าไปลูบกัน ถ้าโดนกัดจะทำยังไง?
เจียงซิ่วจ้องที่หน้าอกที่สูงตระหง่านของเธอ ก่อนถอนสายตาออกแล้วพูดขึ้น “งั้นตกลงตามนี้แล้วกัน”
“นายไปสิ!”
จัวอี้เฉินต้องการที่จะเอาชนะเขาให้ได้ สิงโตตัวนั้นยกหัวมองมายังพวกเขา สายตาของมันวาวราวกับมีแสงออกมา ขณะที่เจียงซิ่วเข้าไปใกล้นั้น มันคำรามออกมาราวกลับกลัวอะไรบางอย่าง เจียงซิ่วเหลือบมองอยู่ครู่หนึ่ง จัวอี้เฉินยิ้มออกมาอย่างพอใจ กลัวว่าจะแหกกรงออกมา แล้วจะช่วยไม่ทัน
สิงโตเขยิบถอยหลังไปเล็กน้อย นั่นมันเล็กน้อยมากสำหรับจัวอี้เฉิน คนที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศอย่างเจียงลั่วเซี่ย เจียงซิ่วตกใจอยู่ครู่หนึ่ง นั่นก็เพราะว่าความโกรธที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของสิงโต ที่เมื่อครู่ขี้เกียจอยู่ นี่เป็นการกระตุ้นมันแน่นอน เขามีความคิดความคิดหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาในหัว ซึ่งมันเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ได้ไม่ยากเลย มนุษย์กลับไปสู่บรรพบุรุษของพวกเขาและสัตว์ร้ายก็เหมือนกัน
“ทำไมล่ะ กลัวหรอ ถ้าอย่างนั้นก็โทรไปให้คุณยายมาฟังสิ…..” จัวอี้เฉินรู้สึกภูมิใจขึ้นมาอย่างปิดไม่มิด