Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 293
บทที่ 293
เรื่องบังเอิญ?
เจียงซิ่วนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาวางตะเกียบลงแล้วมองไปยังเฉิงหลิงซู “ฉันจำได้ เธอเป็นเพื่อนกับเย่ปิงถูกมั้ย?”
โอหยางเชี่ยนและ หลี่ดั่นอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเฉิงหลิงซู วันนี้พวกเธอพบเย่ปิงที่ทะเลสาบทางทิศตะวันตก หรือว่าเจียงซิ่วและเย่ปิงมีอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่านั้น
เฉิงหลิงซูกล่าว “ใช่ แต่ทำไมนายอยู่ดีๆ ก็พูดถึงเธอขึ้นมา?”
เจียงซิ่วกล่าว “พวกเธอรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เฉิงหลิงซูกล่าว “จะพูดไปแล้วมันก็เป็นเรื่องบังเอิญ พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่พอขึ้นมอปลายมากลับไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน ทำไมหรอ หรือว่าวันนี้นายไปพบเธอมา?”
เจียงซิ่วกล่าว “อืม!แต่ก่อนเธอเคยเจอเหตุการณ์แปลกๆบ้างไหม อย่างเช่น อยู่ดีๆ เธอก็ไม่ได้มาเรียน หรือไม่ก็เหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นกับคนปกติ……”
หลังจากเฉิงหลิงซูคิดทวบทวนอยู่ชั่วครู่ เธอก็ส่ายหน้าบ่งบอกว่าไม่มี
หลังจากเจียงซิ่วกลับมา เขาก็ได้แต่คิดทบทวนเรื่องเกี่ยวกับปีศาจงู พยายามคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอีกครั้ง เขาคิด ปีศาจงูจะไม่มีทางรอดพ้นไปจากสายตาของเขาไปได้อย่างแน่นอน แม้ว่าจะแปลงเป็นเย่ปิงก็ตาม
สุนัขสำรวจตัวนั้นได้กลิ่นคาวเลือดจากเย่ปิง!
เจียงซิ่วรีบกลับไปยังที่พัก
โอวหยางเชี่ยนกล่าวถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง “ซูซู พวกเรามาที่นี่ เจียงซิ่วจะโกรธหรือเปล่า?”
เฉิงหลิงซูกล่าว “ไม่หรอก”
เรื่องต่างๆ ก็ผ่านไปแล้ว เขาคงไม่เอามันมาใส่ใจหรอก
เมื่อผ่านไปชั่วครู่หนึ่ง ด้านในห้องครัวก็ได้ทำอาหารเสร็จเรียบร้อย แม้ว่ามันจะดึกดื่นแล้ว แต่แขกที่มาพักนั้นก็ยังอยู่ ฉะนั้นในห้องครัวจึงมีของอร่อยวางไว้อยู่เต็มโต๊ะ แต่อาหารของที่นี่ก็ยังแย่ หากเทียบกับโรงแรมห้าดาว
เจียงซิ่วหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมา และโทรหาหลิวเสี่ยวหยุน “หลิวเสี่ยวหยุน ตอนนี้เย่ปิงอยู่ที่ไหน?”
หลิวเสี่ยวหยุน “เย่ปิงมาบ้านที่หางโจว เธอก็ต้องอยู่บ้านไม่ใช่หรอ?”
เจียงซิ่วกล่าว “เอาที่อยู่มาให้ฉัน!”
หลิวเสี่ยวหยุนไม่มีความลังเลใดใดสำหรับการยอมขายเย่ปิงเพื่อนของเธอ เจียงซิ่วกลับไปยังห้องที่เงียบสงบ เขานั่งไขว่ห้าง นัยน์ตามีประกายแวววาว เขารีบร้อนที่อยากจะมุ่งหน้าไปหางโจวเมืองสวรรค์ ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
กระบี่บินอยู่ทิศตะวันตกของทะเลสาบซึ่งไม่ไกลจากที่นั้นนัก ในห้องของเย่ปิงยังคงสว่างอยู่ ใบหน้าของเธอนั้นสวยงามราวกับถูกแกะสลักขึ้นมา ตอนนี้เองที่หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อซึ่งกำลังหลั่งไหล และไหล่อันขาวผ่องก็มีหยดน้ำสีแดงปรากฏอยู่ มาม๋าเย่ที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ปิงปิง นี่อะไร ทำไมถึงได้มีแผลแบบนี้ละ หนูไม่ระวังเลย”
เย่ปิงกล่าว “มันมืดแล้ว หนูไม่ทันระวัง” เธอกัดปากของเธอและน้ำแห่งความโศกเศร้าก็คลออยู่ที่ดวงตา
เมื่อมาม๋าเย่เห็นสภาพที่น่าสงสารของเธอ ใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นกระวนกระวายใจ และราวกับว่าบาดแผลที่ปรากฏอยู่นั้น อยู่บนร่างกายของตัวเธอเอง “ทายาก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาดูอาการ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ค่อยไปที่โรงพยาบาล”
จังหวะที่เธอกล่าวเสร็จมาม๋าเย่ก็แตะไปที่ไหล่ขาวผ่องของเย่ปิง และทันใดนั้นเธอเย่ปิงก็ส่งเสียงครางเจ็บปวดออกมา ทำให้มาม๋าเย่รีบนำมืออกมา
“หนูทำให้แม่ตกใจนะ อดทนไว้”
เย่ปิงกล่าว “ฟ้ามืดสนิท ไฟถนนเองก็ไม่สว่าง”
มาม๋าเย่กล่าวด้วยความโกรธว่า “พรุ่งนี้ แม่จะไปบ่นเกี่ยวที่พักนี้เอง ไหนจะค่าธรรมเนียมแต่ละปี ไหนจะต้องประหยัดค่าไฟอีก ไม่มีไรดีเลย”
“แล้วหนูไปล้มที่ไหนมา?”
เย่ปิงกล่าว “พื้นมันลื่น เท้าหนูเลยก้าวลงไม่ถูกจังหวะแล้วก็ล้ม ส่วนไหล่ก็ไปโดนบันได และก้นก็ยังเจ็บอยู่บ้างค่ะ”
“ไหนให้แม่ดูหน่อย…”
เย่ปิงหน้าแดงระรื่นขึ้น ทำให้หญิงกล่าวขึ้นมาว่า “แค่ให้แม่ดู จะอายอะไร?”
ด้านนอกมีอากาศหนาวเย็น ในพื้นที่แห่งหนึ่งมีกระบี่ส่องประกายแสงอ่อนๆ อยู่
มาม๋าเย่ไม่สนใจว่าเธอไม่ต้องการหรือไม่ เธอเปิดออกดู แม้อากาศด้านนอกจะหนาวเย็น แต่ภายในห้องนั้นกลับรู้สึกอบอุ่น เมื่อเปิดผ้าห่มออกก็คงไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเท่าไหร่ เย่ปิงคลานอยู่บนเตียง สะโพกเล็กๆ ของเธอได้สัมผัสเข้ากับอากาศด้านนอก
แม้ว่าสะโพกของเธอจะบวม แต่ก็ยังสวยตามแบบมาตรฐาน มันเปล่งประกายงดงามภายใต้แสงจันทร์ ทว่า ด้านบนตัวเธอนั้นมีรอยช้ำแบบเดียวกัน
“ตายแล้ว แผลนี่ไม่เล็กเลย!”
เย่ปิงทำอะไรไม่ถูก เธอทำได้เพียงแต่ร้องไห้เสียงดัง และกล่าว “แม่ หนูเจ็บ”
“อดทนหน่อย แม่กำลังทายาให้อยู่”
แสงสว่างที่มาจากด้านนอก ดูเหมือนจะทำให้เธอเขินและยากที่จะพูดออกมาเล็กน้อย เธออยากจะบินหนีออกไปจากที่นี่เสียเหลือเกิน เธอมองไปรอบๆ ขณะที่หัวของเธอก้มลง ทำอะไรไม่ได้แล้ว
“เจ็บ เจ็บ อือ…”
มาม๋าเย่กล่าว “อดทนอีกนิด หนูร้องทีไรแม่ละไม่อยากจะปล่อยมือเลย ถ้าไม่มาดูแบบนี้ ก็คงจะรักษาไม่ทัน รอยช้ำตั้งสามรอยแบบนี้ หลังจากนี้ก็คงใส่บิกินี่ไม่ได้แน่”
คำพูดของมาม๋าเย่ที่กล่าวออกมา ทำให้เย่ปิงไม่กล้าที่จะร้องงอแงออกมาอีก
“ปิงปิง ลูกกับเจียหย๋งเป็นยังไงบ้าง?”
“เป็นยังไงอะไร?”
มาม๋าเย่กล่าว “ในความเห็นของพ่อ เขาคิดว่าพวกลูกเหมาะสมกันดี ก็เลยจัดการให้พวกลูกสองคนหมั้นกันไว้ รอจนพวกลูกเรียนจบ ก็จะให้แต่งงาน ลูกอย่าคิดว่าแม่บังคับเลยนะ ฟังคนที่แก่กว่าไว้บ้างก็ไม่ผิดไร หลายคนคิดว่าตัวเองยังหนุ่มยังสาว หรือไม่ก็คิดว่ายังเร็วเกินไป แต่จริงๆ แล้ว การจะคบกันเป็นแฟนต้องใช้เวลาถึงสามปี เลิกราไปก็ต้องรักษาแผลใจอีกหนึ่งปี กว่าจะเจอคนที่ใช่ก็ไม่อยากแต่งแล้ว ถ้าหากคิดว่าเหมาะสม ตอนนั้นอายุก็คง 27 28 เมื่อตอนนั้นลูกก็เริ่มที่จะแก่แล้ว”
เย่ปิงหน้าแดงพร้อมทั้งกล่าวขึ้น “แม่ หนูไม่ได้ชอบเขา”
มาม๋าเย่กล่าว “ลูกคนนี้นิ พูดอะไรออกมา ความรู้สึกนะมันจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นและมันถึงจะถูกสร้างขึ้นมาได้ ขอเพียงแค่ลูกเปิดใจให้ และลูกก็ดีกับเขาแค่นี้ก็พอแล้ว”
เย่ปิงกล่าว “แต่ว่า เขาคงไม่ยอมอยู่กับหนูหรอก”
“ทำไม?” มาม๋าเย่ตกใจจนลืมทารอยช้ำ “แม่มองออกนะว่าเจียหย๋งชอบลูก ลูกสาวของแม่เองก็ไม่ได้แย่อะไร มันคงมีผู้ชายส่วนน้อยที่จะไม่ชอบคนแบบลูก”
“ยังไงก็เถอะ หนูจะไม่หมั้นกับเขา!”
มาม๋าเย่กล่าว “หรือว่าลูกยังไม่ลืมเพื่อนตอนมอปลายคนนั้น?”
เย่ปิงกล่าวแบบไม่ต้องคิด “ใครจะไปจำเขากัน”
ถ้าอย่างนั้นลูกกับเจียหย๋งก็ใกล้ชิดกันไว้
“ไม่!”
เพี๊ยะ มาม๋าเย่ตีไปที่ก้นของลูกเธอด้วยความโมโห เย่ปิงเจ็บจนต้องกรีดร้องออกมา และน้ำตาของเธอก็หลั่งออกมาอย่างรวดเร็ว “แม่ หนูยังมีแผลอยู่นะ”
“สมควรแล้ว ใครให้หนูเดินไม่ระวังเองละ”
มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกห้องลับ จากนั้นเจียงซิ่วก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับการถอนของคาถา “นั้นใคร?” เขาคิดอยู่ในใจ มันแปลก บังเอิญเกินไป เธอล้ม?
แต่ถ้าเธอล้มอยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ว่าเธอต้องรักษาตัวอยู่ที่นั้นตลอด? แต่ถ้าไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอคาดเดาได้ว่าฉันจะไปพบเธอ?
เสียงอันนุ่มนวลของเฉิงหลิงซูดังมาจากด้านนอกของห้องลับ “เจียงซิ่ว แม่บอกว่าอากาศเย็นแล้ว ให้นายรีบกลับห้องไปนอน และอย่านอนที่ห้องลับนี้”
เจียงซิ่วรู้ดีว่าเขาไม่สามาตรวจตรวจสอบอะไรได้จึงลุกขึ้น และออกมาจากห้องลับ
“เพื่อนของเธอละ?”
เฉิงหลิงซูกล่าว “ฉันเตรียมที่พักให้พวกเธอแล้ว”
เจียงซิ่วถอดเสื้อคลุมออกและส่งให้กับเฉิงหลิงซู “เอาเสื้อตัวนี้ไปซักให้สะอาด และต้องไปซักที่แม่น้ำ ถ้าซักสะอาดแล้วเอามาให้ฉัน พรุ่งนี้ฉันต้องใส่”
เฉิงหลิงซูกล่าว “เสื้อตัวนี้คือตัวที่พึ่งจะเปลี่ยนก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรอ?”
เจียงซิ่วชี้ไปตรงที่สกปรกซึ่งไม่มีอยู่จริง “ตอนที่กินมื้อดึกฉันไม่ทันระวัง ก็เลยทำให้กระเด็นใส่เสื้อ จำไว้นะต้องซักให้สะอาด และต้องใช้มือซัก…”
เฉิงหลิงซูขมวดคิ้วและกล่าว “พรุ่งนี้ไม่ได้หรอ? ตอนนี้มันหนาวมาก และฉันเองก็ง่วงแล้วด้วย”
เจียงซิ่วกล่าว “โอเค!”
เฉิงหลิงซูดูเบิกบานใจแต่ก็ดูระมัดระวัง ตัวเลวร้าย โอหยางเชียนและหลี่ดั่นมาที่บ้าน เขาเองตั้งใจลงโทษเธอ ถ้าเธอไม่ซักมัน พวกเธอต้องโดนจับโยนลงไปแม่น้ำทะเลสาบตะวันตกแน่
“ในเมื่อเป็นเรื่องของวันนี้ ก็คงต้องทำวันนี้”
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนยังไงก็คือวันนี้ ไม่ว่าจะอะไรก็ผ่านมาถึงเที่ยงคืนแล้ว พอมองเจียงซิ่วเดินไปที่ห้องนอน ซูซูก็หยิบเสื้อของเขาขึ้นมาแล้วกล่าวกับตัวเองว่า “กินข้าวเสร็จก็ต้องเข้านอนต่อ แบบนี้อ้วนแน่ๆ ซักผ้าก็ไม่เลว”
อย่างไรก็ตาม อากาศวันนี้หนาวเย็นอย่างมาก เมื่อเธอมาถึงริมแม่น้ำก็ได้กับพบกับลมที่หนาวเย็น เมื่อมองดูสายน้ำอันเย็นยะเยือก สีหน้าเธอก็รับรู้ถึงความหนาวเย็นของมันได้ ใบหน้าของเธอดูขมขืน ฟันเริ่มกระทบกันแน่น ปากก็กล่าวถึงเจียงซิ่วซ้ำแล้วซ้ำเล่า “เจ้าอารมณ์ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าคนแบบนี้นะไปอยู่บนโทรทัศน์ละก็ แน่นอนว่าได้ออกอากาศแค่หนึ่งตอนเท่านั้นแหละ”
ในห้องใต้หลังคาซึ่งอยู่ห่างไกล หวังตงซินสวมชุดนอนหนาเตอะ เธอเอนพิงหน้าต่างมองดูเฉิงหลิงซูซักผ้าที่ริมแม่น้ำ เธออดไม่ได้ที่จะขยับตัวไปมา “ถ้าเธอเจอเข้ากับปีศาจตัวใหญ่ อย่าคิดเลยว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดี”
ยังมีอีกหนึ่งคนที่ยังไม่นอน นั้นคือหลินเยี่ยหลิง ในใจของเธอยังคงคิดถึงเรื่องของเทศมนตรีกู่อยู่เสมอ ในใจรู้สึกกังวล แต่เมื่อเห็นเฉิงหลิงซูยังไม่กลับมาที่ห้องนอน และยังไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำอีก เธอห่วงว่าอยู่ที่ริมแม่น้ำในตอนกลางดึกอาจจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงรีบสวมเสื้อแล้วเดินออกไปหาเธอ
“ซูซู หนูกำลังทำอะไรอยู่?”
เฉิงหลิงกล่าว “หนูกำลังซักผ้าอยู่!”
หลินเยี่ยหลิงจำเสื้อคลุมของเจียงซิ่วได้ “อาหาศหนาวขนาดนี้ หนูพอเถอะพรุ่งนี้ค่อยซักก็ได้”
“ไม่ เจียงซิ่ว… มันเป็นเรื่องของวันนี้ค่ะ ก็คงต้องทำวันนี้”
เมื่อมองดูหญิงสาวที่งดงามนางนี้ หลินเยี่ยหลิงก็สัมผัสได้ถึงหัวใจของเธอ และน้ำตาแห่งความปิติยินดีก็บังเกิดขึ้น หญิงใจงาม หญิงใจงามจริงๆ อากาศหนาวขนาดนี้ ยังจะช่วยลูกชายซักผ้าอีก เจ้าเด็กขี้เกียจคนนี้นี่โชคดีจริงๆ