Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 296
บทที่ 296
กลับไปยังเมืองหลวงจักรพรรดิ
โยวเจี่ยมองไปยังจั๋วยวี่เฉิน เธอสูงราวๆ หนึ่งเมตรเจ็ดสิบ มีหน้าตาสระสวยที่แม้แต่ผู้หญิงเช่นเธอก็ไม่สามารถหยุดที่จะจ้องมองใบหน้านั้นได้ ร่างกายที่มีสัดส่วนทองคำ ด้วยสายตาที่จ้องมองเธอไปนั้นไม่สามารถซ่อนความเขินอายไว้ได้เลย ช่างเป็นหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบเสียจริง แต่ช่างน่าเสียดายที่ตั้งแต่สมัยโบราณที่สาววัยแรกแย้มเช่นเธอต้องพบเจอกับชีวิตที่อาภัพเช่นนี้ หญิงส่วนมากคนไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตนเองได้ โดยเฉพาะหญิงที่เกิดในบ้านของคนร่ำรวย
จั๋วยวี่เฉินอิจฉาเธอจริงๆ หรือเพราะว่าที่ด้านหลังของเธอมีชายที่แข็งแกร่งอยู่กัน ความแข็งแกร่งของชายคนนั้นทำให้ใจของคนที่มองสั่นเทาได้ “เธอได้พูดคุยกับหลิวฉวนจือบ้างไหม”
จั๋วหยี่เฉินส่ายหน้า แก้มของเธอปรากฏความเขินอายออกมาเล็กน้อย “ฉันไม่อยากให้เขารู้และไม่อยากให้เขาเดือดร้อนด้วย แค่ตอนนี้เขาก็ยุ่งมากอยู่แล้ว”
“เธอเป็นหญิงที่โง่เสียจริง เธอไม่รู้หรือไงว่าหลิวฉวนจือเขาคิดยังไง?” โยวเจี่ยพูด
จั๋วยวี่เฉินอดไม่ได้ที่หน้าจะร้อนเห่อจนแดงขึ้นมา หรือแม้กระทั่งหูของเธอก็ยังแดงเอามากๆ ดวงตาสุกใสหลีกเลี่ยงดวงตาที่จ้องมองมาของโยวเจี่ย พร้อมพูดออกมาเบาๆ “ฉันจะรู้ได้ยังไง ฉันไม่ได้อ่านใจเขาได้ซะหน่อย”
“เรื่องอื่นเธอจะไม่พูดก็ได้ แต่ว่าเรื่องนี้ยังไงเธอก็ต้องพูดกับเขา” โยวเจี่ยพูด
“นี่เป็นเส้นตายของเขาแล้ว!”
หลิวฉวนจือเป็นเสี่ยใหญ่ของเมืองหลวงจักรพรรดิ แม้กระทั่งแข่งกับเจียงโอ๋ของตระกูลเจียงก็ยังชนะด้วยกลยุทธ์ที่เหนือกว่า เขาถือเป็นคนที่ฉลาดมากที่สุดในรุ่นสามของเมืองเลยก็ว่าได้ ตระกูลหลิวถือว่าเป็นดั่งที่พึ่งพิง คนที่มาเกาะบารมีก็มีอยู่มาก สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาได้เปลี่ยนรุ่นกันเรียบร้อยแล้ว นี่คือจุดแข็งและจุดที่น่ากลัวที่สุดของตระกูลหลิว ถ้าเกิดไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ตระกูลหลิวก็สามารถเจริญก้าวหน้าต่อไปอีกซักยี่สิบปีด้วยซ้ำและมีแนวโน้มที่จะเจริญขึ้นไปอีก
จั๋วยวี่เฉินและคนรักในวัยเด็กของเธอ หลิวฉวนจืออายุมากว่าเธอราวๆสี่ปี เป็นพี่ใหญ่ เนื่องจากความแตกต่างระหว่างอายุของทั้งสองคน จั๋วยวี่เฉินจึงนับถือเขาเป็นอย่างมาก ความรู้สึกของผู้หญิงที่นับถือผู้ชายคนหนี่ง แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่ไปได้ไม่ไกลนัก เช่นเดียวกับแฟนๆ ที่กรี๊ดไอดอล เหมือนราวกับสอนลิง แต่ว่าไม่ใช่เป็นแค่รักข้างเดียว จั๋วยวี่เฉินก็ทำให้ใจของหลิวฉวนจือเต้นอยู่ไม่น้อยเลย
หากเป็นเพียงแค่หญิงสาวธรรมดาทั่วไป หลิวฉวนจือจะไม่ลังเลเลยที่จะทำตามใจตนเอง แต่ว่าตระกูลจั๋วเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงจักรพรรดิ จั๋วยวี่เฉินก็ไม่ใช่หญิงที่เขาจะไปเล่นๆ ได้ ถ้าหากทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ต้องเกิดเรื่องใหญ่โตมากแน่ๆ เหมือนกับเรื่องของเจียงหยี่และหลินเยว่หลิงในปีนั้นแน่ๆ
เพียงแต่ว่าตระกูลหลิวและตระกูลจั๋วไม่ได้ปรองดองกันง่ายๆ เหมือนกับตระกูลเจียงและตระกูลหลินในตอนนั้น ถึงแม้จะใกล้กันและความสัมพันธ์ของลูกหลานยังสนิทชิดเชื้อกันก็ตามที
“ฉันไม่กล้าพูดหรอก” จั๋วยวี่เฉินพูด
“เธอกลัวเขาไม่มีความสุขหรือไร?”
จั๋วยวี่เฉินพยักหน้า
“ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็อย่ารีบร้อน เรื่องราวยังไม่เรียบร้อยดี ตระกูลหลินก็ใกล้ล่มสลายแล้ว ครานี้ตระกูลหลินต้องการที่จะสู้เพื่อยึดเขตของเจียงหนาน ถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ ก็ถึงคราวที่จะล่มสลายแล้ว พ่อของตระกูลจั๋วรอบรู้ ยังไงก็ต้องมองสถานการออกแน่” โยวเจี่ยพูด
“งั้นแล้ว เรื่องนี้เธอก็ต้องบอกกับหลิวฉวนจือ ให้เขาได้เตรียมตัว”
จั๋วยวี่เฉินพยักหน้า
“มาพูดถึงเรื่องงานกันบ้างเถอะ สัญญาของเซียวยวี่ถงใกล้หมดอายุเต็มที ฉันว่าคงต้องสู้เพื่อแย่งมาแล้ว แถมนักแสดงหญิงก็เหลือไม่กี่คน มีผู้ชายแค่คนเดียว ชื่อเสียงของบริษัทนั้นดังมาก ทำให้สถานะแตกต่างกัน” โยวเจี่ยพูด
“เขาไม่ต่อสัญญาหรอ?” จั๋วยวี่เฉินพูด
“ตามที่ฉันได้ยินมา เพราะเขาทะเลาะกับไป๋ซินเลยถูกหักรายได้ไปกว่าครึ่ง คนไม่เห็นด้วยก็เยอะ ความเป็นไปได้ของการต่อสัญญาเลยต่ำมาก” โยวเจี่ยพูด
“ถ้างั้นก็ต้องชิงมาให้ได้ ยังไงก็เถอะเราต้องจับตามองให้ดี คนอื่นๆจะไม่ยอมปล่อยไปแน่”
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องพึ่งปัจจัยเกี่ยวกับความเห็นใจ สภาพแวดล้อมและทรัพยากรแล้ว”
นอกเหนือจากการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงสองปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมบันเทิงได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ค่าธรรมเนียมการปรากฏตัวของดาราพุ่งสูงขึ้นจากหมื่นเป็นล้านหรือแม้กระทั่งหลายสิบล้าน
“พวกเราวางแผนไว้แล้ว เธอดูสิว่าต้องประชุมไหม…”
เดิมทีก็ต้องมีการประชุม แต่ดันถูกขัดจังหวะด้วยข่าวของคู่หมั้นที่ผุดขึ้นมา
“เธอจัดการแล้วกัน ฉันไม่มีอารมณ์!”
จั๋วยวี่เฉินรอให้โยวเจี่ยออกไปก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายไปหาหลิวฉวน
ในตอนนี้เครื่องบินส่วนตัวของเจียงซิ่วได้ลงจอดที่เมืองหลวงจักรพรรดิแล้ว มาเที่ยวนี้ทั้งสามคนในครอบครัวนี้เต็มไปด้วยความคิดถึง เฉิงหลิงซูเอาแต่ดูตลาดหุ้นตลอดทาง
“ซิ่วน้อย มีแผนสำหรับเทศมนตรีกู่หรือยัง?” เจียงหยี่พูดขึ้น
เขาพูดกับลูกชายของตนอย่างตรงไปตรงมา
“เทศมนตรีกู่อยากที่จะพัฒนา แต่ว่าเรื่องในของตระกูลของเขายังมีคนเพียงพอที่จะไล่ตามเขตของเจียงหนาน” เจียงซิ่วตอบโดยไม่อ้อมค้อม
เจียงหยี่ได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไปสักครู่ ก่อนพูดว่า “ดูจากคำแถลงการณ์ของเทศมนตรีกู่แล้ว ก็น่าจะเป็นแบบนั้น ยังไงก็เถอะถึงจะไม่มีกฎที่มันชัดเจน แต่ว่าชายแดนของเจียงหนานก็ไม่มีทางที่จะให้ตระกูลกู่ครองไปตระกูลเดียว ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่”
“ไต๋ยัวไท๋ต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ”
“ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาก็อาจจะไม่เห็นด้วย แต่ว่าเรื่องที่เจียงหนานเป็นเรื่องที่พิเศษมากกว่านั้น เจียงหนานประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดในตอนนี้ก็คือการทำให้เจียงหนานสงบลงได้โดยเร็ว ใช้คนจากตระกูลกู่เป็นเรื่องที่ไว้ใจได้” เจียงซิ่วพูด
การที่จะเปลี่ยนคนเข้าไป ต้องมีคนใหม่ที่มีอำนาจแทรกซึมเข้าไป ถึงจะสามารถทำลายสมดุลที่มีอยู่ตอนนี้ได้
เจียงหยี่พยักหน้า “เป็นความคิดที่ดี”
เมื่อมองไปยันหลินเยว่หลิงที่ดูระวังตัวเป็นพิเศษ หันไปพูดกับเธอว่า “แม่เธอเคยพูดไว้ว่า ฝั่งเทศมนตรีกู่ยากมากที่จะได้ผลตามที่คาด แต่ก็ยังคะยั้นคะยอให้พวกเรากลับมาฉลองปีใหม่ ไม่รู้ว่าจะมีแผนอะไร?”
เจียงซิ่วยิ้มเบาๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่ธรรมดาจริงๆ ตระกูลหลินต้องการที่จะดึงเขาไว้เพื่อพูดคุย ความขัดแย้งในครอบครัวเป็นเรื่องรองเท่านั้นและเรื่องที่สำคัญคือเรื่องผลประโยชน์มากกว่า
หาวเหมินที่อยู่ต่อหน้าผลประโยชน์มากมายต่างไม่แยแสต่อคนที่ด้อยกว่าตน ในความเป็นจริงความคิดประเภทนี้ก็มีอยู่มากมายในตระกูลของคนทั่วไป ลูกชายที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งก็มี ลูกชายที่ทอดทิ้งและไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ก็มี
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกมันอาจพูดได้ว่าเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ
ดังนั้นความกตัญญูที่มีต่อพ่อแม่ของคนสมัยนี้นั้นหายากมากๆ
“เจียงหยี่ คุณอย่าให้ลูกชายฉันพูดไร้สาระแบบนั้นสิ….” หลินเยว่หลิงพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณไม่ได้อยากพูดหรอว่า ตระกูลหลินมองเห็นอนาคตของซิ่วน้อย พอกลายเป็นคุณชายเจียง ก็เลยอยากรั้งซิ่วน้อยไว้ คุณอยากจะบอกว่าตระกูลหลินด้อยกว่า?”
เจียงหยี่ก็คิดไม่ถึงว่าจะโดนภรรยาตนย้อนถามกลับมา เขารีบอธิบาย “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“แล้วมันหมายความว่ายังไง?”
เจียงหยี่ไม่กล้าพูดต่อ ภรรยาคนนี้ของเขาโตกว่ามาก ถึงแม้ว่าจะลำบากมาหลายปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ภายในใจก็ยังอ่อนโยนอยู่เสมอ สัญญาสงบศึกของตระกูลหลินถูกทิ้งลงไปหัวใจที่อ่อนแอ่ของเธออย่างชัดเจน เมื่อฝ่ายนั้นเป็นฝั่งบ้านของภรรยา เขาคงพูดให้ร้ายกับฝั่งตระกูลหลินของเธอไม่ได้
ทั้งเจียงซิ่วยังเป็นแก้วตาดวงใจ
พอมองไปยังสองพ่อลูกที่มีคุณธรรมสูงส่งนี้ เธอยิ่งมายิ่งโกรธ ในความเป็นจริงแล้วภายในใจของเธอนั้นมีความเศร้ามากมาย เธอเกลียดความเหี้ยมโหดของครอบครัวเธอเช่นกัน เธอต้องการที่จะหยุดพัก โดยใช้วิธีการตัดขาดกับตระกูลหลิน หลังจากที่พวกเขาให้คำสัญญาสงบศึก(ให้กลับบ้านได้)ทิ้ง เธอก็แทบจะคุมตัวเองไม่อยู่เหมือนกัน
เธอไม่คิดเลยว่าแท้จริงแล้วตระกูลหลินจะน่าเกลียดเช่นนี้ แต่ความจริงแล้วก็เป็นอย่างที่เจียงหยี่พูด ดังนั้นเธอเลยทนไม่ไหว
เฉิงหลิงซูเห็นพ่อตากับแม่ยายทะเลาะกัน นับว่าน่ากลัวมาก เธอขยับตัวไปด้านข้าง เหมือนแมลงสาบกลัวที่จะโดนปลากินในบ่อน้ำ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบกับเจียงซิ่ว เธอได้รับความรักมากมายจากพ่อตาและแม่ยาย นั่นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก ในครั้งแรกที่เห็นพวกเขาทะเลาะกัน ราวกับว่าย้อนกลับมาในวัยเด็กที่กลัวที่จะเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันอย่างไรอย่างนั้น
เธอแอบดูเจียงซิ่วแม้แต่ใบหน้าของปีศาจใหญ่ตัวนี้เองก็ค่อนข้างขาวซีด เธออดไม่ได้ที่จะยิ้ม แต่ก็ยังกลัวอยู่ดี
“พวกเราจะกลับบ้านก่อนหรือว่า….”
เจียงหยี่ไม่กล้าที่จะรุกรานหลินเยว่หลิง จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อที่จะคุย
“กลับบ้าน….”
เจียงซิ่วยิ้มแห้งๆ ก่อนหลินเยว่หลิงจะพูดขึ้นว่า “ไปบ้านตระกูลหลิน”
ไม่น่าพูดเลย!
แต่เมื่อผ่านไปสักครู่ หลินเยว่หลิงเพลาโกรธลง ดวงตาก็เศร้าลงก่อนจะพูดขึ้นว่า “กลับบ้านก่อนเถอะ วันหลังค่อยไปแล้วกัน”
ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องบินส่วนตัว ก็หนีไม่พ้นการเดินทางที่เหนื่อยล้า กลับบ้านไปพักผ่อน กลับบ้านด้วยความรู้สึกที่ดีกว่าเดิม
เห็นว่าหลินหยูหลิงดูไม่มีความสุข เฉิงหลิงซูเข้าไปพูดว่า “แม่ พ่อเขาไม่ได้หมายความว่าแบบนั้นหรอก เขากับเจียงซิ่วเป็นห่วงแม่นะ พวกเราทุกคนอยู่ข้างๆ กันนะ”
หลินเยว่หลิงลูบหน้าเธอก่อนจะพูดว่า “รู้แล้วว่าหนูต้องฉลาดที่สุด”
“ฉันไม่ได้โกรธพ่อเธอหรอกนะ ฉันแค่โกรธตัวเอง” หลินเยว่หลิงพูด “ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรมีเรื่องเพ้อฝันเกี่ยวกับพวกเขา แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่หวังอยู่เสมอ….”
“หนูเข้าใจแล้ว!” เฉิงหลิงซู่พูด
“ตระกูลหลินทำเกินไปแล้ว ฉันรู้สึกไม่อยากสู้หน้าพวกเขาแล้ว”
ถึงแม้ว่าเธอจะโดนไล่ออกมา แต่เธอก็ไม่มีเคียดแค้นอะไรนัก มีก็เหมือนกับไม่มี และยังเก็บไว้มานานกว่ายี่สิบปี เธอจะไม่ได้เคารพรักตระกูลหลินมากนัก เธอต้องการให้เจียงซิ่วช่วยพี่ชายคนที่สองของเธอปีนขึ้นไปนั่งแท่นบนเจียงหนาน แต่ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องศักดิ์ศรีของตระกูลหลิน สถานภาพตระกูลหลินก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเธอมานานแล้ว เธอก็เพียงแต่กลั้นใจทำเท่านั้น