Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 301
บทที่ 301
ถูกคนเคาะหน้าต่างรถ
หลินเจ๋อคังยากที่จะเข้าใจอยู่บ้าง “ลุงเสียน คุณก็เป็นยอดทหารฝีมือดี เจียงซิ่วมันมีฝีมือขนาดนั้นเลยหรือ?” ลุงเสียนเป็นผู้คุ้มกันคนแรกสุดของนายผู้เฒ่าหลิน ต่อมาก็ได้รวบรวมนายทหารฝีมือฉกาจให้ตระกูลหลิน ทำให้ตระกูลหลินโดดเด่นเปล่งประกายในสมรภูมิต่างๆตระกูลหลินจึงสามารถสร้างอำนาจ เสริมความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ลุงเสียนเป็นคนที่ไม่อาจละเลยได้ ดังนั้นเหล่าผู้เยาว์ในสกุลจึงเคารพเลื่อมใสเขายิ่ง
ทว่านายท่านผู้เฒ่าหลินเป็นผู้รุ่งเรืองมากบารมี แม้จะบอกว่าลุงเสียนได้รับความเคารพจากตระกูลหลินอย่างลึกล้ำ แต่ท้ายที่สุดแล้วลุงเสียนอย่างไรก็เป็นคนรับใช้ เห็นได้ชัดจากระดับของศิลปะการต่อสู้ที่ตกต่ำลง ยากที่จะสร้างชื่อให้ตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ เจียงซิ่วที่ชื่อเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นอีกครั้งในวงการใต้ดิน จึงถูกตระกูลหลินดูแคลนตลอดมา
ลุงเสียนกล่าว “ฉันไม่อาจมองความแข็งแกร่งของเจียงซิ่วออก เจียงซิ่วสามารถเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็น เขาสามารถใช้พลังตามใจ ส่งเกาหลูย่าไปสวรรค์ได้ ผู้คนภายนอกล้วนเลื่อมใส ความแข็งแกร่งเช่นนี้ไม่มีทางเป็นเท็จแน่นอน”
ภายนอกเล่าลือกันว่าเจียงซิ่วเป็นเทพเจ้า ลุงเสียนไม่ได้ออกความคิดเห็นใด ต่อให้เรื่องที่โลกภายนอกร่ำลือกันเป็นเรื่องจริง แต่ตอนนี้วงสังคมยังไม่เห็นด้วย ในยุคสมัยอันสงบสุข ทุกสิ่งล้วนขับเคลื่อนไปด้วยอำนาจเศรษฐกิจ ทุกผู้คนล้วนวางเงินทองไว้เหนือสิ่งใด ความแข็งแรงของเจียงซิ่วก็เพียงแต่มีค่าในวงการใต้ดินเท่านั้น อิทธิพลในโลกผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีจำกัด ด้วยวิธีคิดเช่นนี้ ทำให้ลุงเสียนล้มเหลวในการเป็นผู้สูงส่งดุดัน และกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ในตระกูลหลิน
หลินมี่ขยับปาก เธออยากจะเอ่ยปากพูด เธอเห็นเจียงซิ่วเข่นฆ่าสังหารทั้งตระกูลด้วยตาของเธอเอง เขาเชี่ยวชาญทั้งดาบใหญ่กระบี่เล็ก กระนั้นเธอก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เธอไม่ต้องการถูกลากไปเป็นที่เกลียดชังด้วย
ลุงเสียนกล่าวว่า “ตอนนี้โลกภายนอกมีข่าวลือว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว นี่ควรจะยิ่งเพิ่มอำนาจฐานะดาวรุ่งของเจียงซิ่วให้มากขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า”
ตอนนี้นายผู้เฒ่าหลินก็ได้ยินมาข่าวเช่นนี้มามากเช่นกัน ถึงขนาดที่ว่ารัฐบาลรวบรวมกำลังทรัพย์เป็นจำนวนให้กับทางการทหารเพื่อการวิจัยการวิวัฒนาการของยีนส์ กลุ่มวิจัยเรื่องยีนส์ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดปกคลุมทั่วทั้งผืนดิน เริ่มแข่งกันจับจองพื้นที่ในตลาดรอบใหม่ นี่ทำให้นายผู้เฒ่าไร้ทางเลือกจำต้องพิจารณาดูอีกครั้ง
“อาเสียน แกคิดว่าสิ่งที่ข้างนอกพูดกันจะเป็นจริง?”
นายผู้เฒ่าสามารถอ่านข้อมูลลับสุดยอดได้มากมาย เช่นการมาถึงของเทพเจ้าที่สหรัฐอเมริกา การปรากฎตัวคนมีปีกคู่หนึ่ง และยังมีเรื่องราวอีกมาก แต่ว่าเขาไม่ค่อยจะเชื่อถือมาตั้งแต่แรก
เรื่องของการไปถึงการณ์ข้างหน้าแบบนี้ ใครจะสามารถรับประกันได้กัน ผู้ที่สามารถสัมผัสได้ถึงทิศทางของยุคใหม่นั้นเป็นคนที่น่าทึ่ง แน่นอนว่าจะต้องกลายเป็นคนสำคัญแถวหน้าของยุคใหม่
“จากการวิจัยเรื่องยีนส์ของพวกเรา ดูท่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงขึ้นมาจริงๆ”
หลินซื่อชางเอ่ยแทรก “การถือกำเนิดขึ้นอินเตอร์เน็ตได้เปลี่ยนแปลงโลกไปแล้วครั้งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงอีกครั้งจะเป็นไร ตอนนี้การติดต่อสื่อสารพัฒนาไปมากขนาดนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงครามมีต่ำมาก ใจหลักสำคัญยังคงเป็นเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและเศรษฐกิจ”
หลินเจ๋อเฉิงกล่าว “ซื่อชางพูดมีเหตุผล ไม่ว่าอย่างไร ประเทศของพวกเราก็ทรงพลังขนาดนี้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันทั้งหมดย่อมสามารถควบคุมได้ พวกเราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับประเทศหรอก ขอเพียงฉันสามารถกลายเป็นผู้บัญชาการชายแดนเจียงหนาน ตระกูลหลินของเราจะปักหลักสร้างฐานได้อย่างมั่นคงไม่มีวันพังทลาย”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนมีความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้ง
สิ่งนี้เรียกว่ายืนอยู่บนไหล่ของยักษ์ใหญ่
การเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่หลุดรอดไปจากการควบคุมของรัฐบาล ยืนอยู่บนไหล่ของประเทศ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสิ่งใดอีกแล้ว
“เช่นนั้นก็ดูอีกสักหน่อยเถิด เรื่องเกี่ยวพันกับความรู้สึกของเย่หลิง เจียงซิ่วถึงขนาดให้เย่หลิงมาอธิบาย ทั้งยังต้องการให้ตระกูลหลินยินยอมโค้งคำนับเขา แต่มันแม้แต่กระทั้งขนก็ยังขึ้นไม่ครบเลยมั้ง?”
หลินเจียงคังเอ่ยปาก
“โอ้ ใช่สิ เรื่องการแต่งงานของเจียงซิ่วกับทางฝั่งตระกูลจัว…” ลุงเสียนคิดหมากนี้ขึ้นมาได้ แต่แรกก็ทิ้งคนสกุลเจียง พรุ่งนี้จัดการนัดดูตัว ตอนนี้ล้มเหลวเสียแล้ว
“ค่อยคุยกันเถอะ!”
ทั้งครอบครัวกินดื่มจนถึงดึกดื่น เมื่อถึงตอนที่งานเลี้ยงเลิกราก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว
หลินมี่ไปพบนายผู้เฒ่าหลินตามลำพัง
“ยัยหนู ตอนนี้ดึกมากแล้ว มีเรื่องอะไร” นายผู้เฒ่าหลินให้คนคอยรับใช้เตรียมตัวจะเข้านอนแล้ว
หลินมี่กล่าว “คุณปู่ หนูคิดว่าพวกเราควรขอโทษครอบครัวของคุณป้า ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเมื่อปีนั้นว่าใครถูกใครผิด เจียงซิวมีอำนาจแล้ว หนูเห็นกับตัวเองว่าเขาคนเดียวก็ฆ่าคนได้ทั้งตระกูล ฝีมือเลิศล้ำดุจเทพเจ้า”
นายผู้เฒ่าหลินเคยผ่านสนามรบมา เห็นความเป็นความตายจนเคยชิน ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสกับยุคมือที่ราวกับขุมนรก ยุคนั้นอาจกล่าวได้ว่ากล่าวผิดไปประโยคเดียวก็ถึงแก่ชีวิตได้แล้ว ได้ยินเรื่องการฆ่าสังหารหมู่ เขาไม่ได้จิตใจสั่นไหวรุนแรงอะไร และใบหน้ายังคงเรียบเฉย
“เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกในใต้ดิน ไม่อาจนำมาพูดข้างบนได้”
หลินมี่กล่าว “คุณปู่หนูรู้คิดว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายดายเช่นนั้น เจียงซิ่วไม่ใช่คนที่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เขาสามาร…”
“พอแล้ว!”
นายผู้เฒ่าหลินเอ่ยขัดจังหวะของหลินมี่ ความเกลียดชังที่มีต่อเจียงซิ่ว สำหรับเจียงหยี่และลูก ในใจของเขามีแต่ความอาฆาตแค้น เขาไม่อยากได้ยินเรื่องเหล่านี้ “แกเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เรื่องของตระกูลจะเข้าใจอะไร กลับไปนอนเถอะ”
สัมผัสพิเศษของหลินมี่บอกเธอ ตระกูลหลินไม่อาจทำผิดต่อเจียงซิ่วได้เป็นอันขาด
ฝีมือดุจเทพเจ้าของเจียงซิ่ว ได้ประทับแน่นอยู่ในใจของเธอ พลังฝีมือสูงเสียดฟ้าตรงหน้า หลินมี่คิดว่าพลังของมนุษย์ธรรมดาไม่แตกต่างอะไรกับของเล่นเด็ก
สายตาเจียงซิ่วของเจียงซิ่วมองพวกเขา ก็เหมือนกับที่พวกเขามองเด็กเล็กวัยอนุบาลแย่งของเล่นกัน
เธอกัดฟันแล้วพูดว่า “งั้นแล้วหนูก็ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว บอกคุณป้าเถอะ นางกับครอบครัวยังมีความผูกพัน ปีนั้น ก็แค่วัยรุ่นถูกอารมณ์ความรู้สึกทำให้สับสนไปเท่านั้น ตอนนี้เจียงซิ่วก็นับได้ว่ามีคุณค่า โอกาสครั้งเดียวนี้ พวกเราจะต้องคว้าเอาไว้ให้ได้”
“พอแล้ว พอแล้ว…”
นายผู้เฒ่าหลินรู้สึกทนไม่ได้ คำพูดของหลินมี่ย้ำเตือนเขาถึงเรื่องเมื่อ 20 ปีก่อน หลินเย่หลิงเพื่อสิ่งที่เรียกว่าความรักแล้ว ถึงกับตัดขาดกับครอบครัว
หลินมี่ร้อนใจ “คุณปู่ ทำผิดกับเจียงซิ่ว พวกเราตระกูลหลินอาจจะเสียใจภายหลังได้”
“ยัยหนูมี่ พูดเหลวไหลอะไร…”
คราวนี้นายหญิงเฒ่าหลินกลับมาแล้ว
“ตระกูลหลินของฉันต้องเสียใจภายหลัง? ช่างเป็นคำพูดที่น่าขัน!”
เห็นนายหญิงผู้เฒ่าหลินแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวถึงขนาดนั้น หลินมี่ไม่กล้าส่งเสียงอีก ในใจกลับรู้สึกย่ำแย่ยิ่งขึ้นอีก ก้มศีษระลงต่ำ นายหญิงผู้เฒ่าหลินกล่าว “ตระกูลหลินของฉันไม่ตกต่ำ อีกทั้งยังเป็นสกุลหลักของเมืองหลวง เจ้าเจียงซิ่วมีอะไร ก็แค่ทหารธรรมดา นายของเขาก็คือลุงเสียนของแก ลุงเสียนของแกยังเป็นที่เคารพของพวกเราทั้งครอบครัว อย่างมากเขาก็เป็นแค่หมารับใช้ของครอบครัวเศรษฐีเท่านั้น”
หลินมี่เงยหน้าขึ้นมองและพูดว่า “ไม่ค่ะ คุณย่าคะ พลังของเจียงซิ่วไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะจินตนาการได้ ทำผิดกับเขา พวกเราตระกูลหลินจะต้องนึกเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน “
“ดี ดี ยิ่งมายิ่งไร้มารยาทแล้ว เรื่องของตระกูล เมื่อไหร่กันที่เด็กน้อยอย่างแกเอ่ยปากขึ้นได้”
“ลงไป!”
หลินมี่ออกจากห้องไปอย่างไม่มีทางเลือก ตั้งแต่ตอนที่เธอได้พบกับเจียงซิ่วที่ตงโจว เธอก็เกิดความรู้สึกดึงดูดขึ้นในใจ ตอนนั้นหลังจากถูกเจียงซิ่วปฏิเสธ เธอก็พบกับความรู้สึกผิดหวังอย่างหนึ่ง ลิ้มรสกับความรู้สึกเช่นนี้ ตั้งแต่เด็กจนโตเธอสัมผัสพิเศษของเธอพิเศษมาก ครั้งนี้เธอก็คิดว่าไม่ใช่ข้อยกเว้น
เจียงซิ่วกลับถึงบ้าน และได้รับข้อความจากหนานกงโค่วเอ๋อร์ “กลับเมืองหลวงรึยัง”
เจียงซิ่ว: เพิ่งกลับมาวันนี้
หนานกงโค่วเอ๋อร์: เจอกันไหม?
เจียงซิ่วกลับไปที่เมืองเจียงเป็นเวลาหลายวัน บวกกับจำนวนวันก่อนออกเดินทาง ก่อนหลังรวมกันแล้วแน่นอนว่าเป็นเวลาไม่น้อย ความรักของทั้งสองคนราวกับเปลวเพลิง คาดไม่ถึงว่าหนานกงโค่วเอ๋อร์จะเป็นฝ่ายเชื้อเชิญก่อน
เจียงซิ่ว: เธอจะออกมาหรอ?
หนานกงโค่วเอ๋อร์: อยู่ข้างนอกบ้านแล้ว
เจียงซิ่วหัวเราะเหอๆ ออกมา เขาตัวเองก็คาดไม่ถึงว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับหนานกงโค่วเอ๋อร์มาในลักษณะนี้ รถมาถึงอย่างรวดเร็ว เจียงซิ่วที่อยู่ข้างถนนขึ้นรถไป
ในรถ ใบหน้าของหนานกงโค่วเอ๋อร์พร้อมรบเต็มที เจียงซิ่วคิดว่าคุณหนูโคว่เอ๋อร์ช่างใจร้อนจริงเชียว รถคันนี้ยังเป็นป้ายทะเบียนของผู้อื่นก็จำไม่ได้แล้วหรือ?
“อากาศเย็นขนาดนี้ คุณหนูโค่วเอ๋อร์ดูน่าสนใจจริงๆ”
“บ้า!”
หนานกงโค่วเอ๋อร์ร้องด่า “คิดอะไรน่ะ? ฉันมีเรื่องอยากถามนาย… ข้างนอกลือกันว่า จริงหรือเปล่าที่นายต้องหมั้นกับจัวอี้เฉิน?” วงสังคมชนชั้นสูงของตี้ตูกว้างใหญ่ขนาดนั้น เรื่องซุบซิบพรรค์นี้ปากกันปากต่อปากได้รวดเร็วยิ่งนัก
เจียงซิ่วกล่าว “ที่แท้ก็มีเรื่องจะพูด ให้ตายสิ คุณหนูหนานกงโค่วเอ๋อร์ที่ใสสะอาดราวกับน้ำแข็งหยกกำลังหึงผู้หญิงอื่นจริงๆ”
หนานกงโค่วเอ๋อร์เหลือบตามองเขา “เหลวไหลเลอะเทอะ!”
ทว่ามุมปากกลับเผยรอยยิ้มที่พาให้ผู้คนจินตนาการกว้างไกลขึ้นสายหนึ่ง นัยน์ปรากฎเสน่ห์ของหญิงสาวเปล่งประกายออกมามากมาย
ความรักหนุ่มสาวก็เหมือนกับไฟ
หลังจากเวลาผ่านไปเนิ่นนาน
หนานกงโค่วเอ๋อร์ดึงกระจกบังแดดของรถลง จัดทรงผมให้เรียบร้อย เอ่ยปากถาม “นายไม่ได้ตอบเลย มีอะไรกันหรือเปล่า? นายกับจัวอี้เฮิน”
“ไม่มีอะไร!” เจียงซิ่วก็ตระหนักว่าสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เรื่องนี้เป็นไปได้ว่าเกี่ยวพันกับตระกูลหลิน
ภายในหัวของเจียงซิ่ววาบถึงเด็กสาวที่ตระกูลหลินคิดให้เข้าหมั้นด้วย ชีวิตก่อนนี้ จัวอี้เฉินได้ทิ้งความประทับใจที่ดีที่สุดไว้กับเจียงซิ่ว งานศพของหลินเย่หลิงเธอก็มาร่วมงานด่วย เป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยนิดที่ทำให้เจียงซิ่วรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ทั้งยังช่วยเหลือเจียงซิ่วอยู่จำนวนหนึ่ง
“จัวอี้เฉินไม่เลวเลย นายพิจารณาดูได้นะ”
หนานกงโค่วเอ๋อร์กล่าวอย่างจริงจังยิ่ง ส่วนลึกของนัยน์ตาดูจริงใจ สิ่งนี้ทำให้เจียงซิ่วรู้สึกเศร้าใจ สาวน้อยผู้นี้ไม่รู้สึกหวั่นไหวกับตนแม้แต่น้อย ที่เล่นสนุกกับเขาก็เพียงแต่เพื่อแก้ปัญหาทางร่างกายเท่านั้นสินะ
“ถ้าเธอหมายความตามนั้นจริงๆ เธออาจจะต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด…”
ก๊อกก๊อก หน้าร่างรถพลันเกิดเสียงเกิดขึ้น หนานกงโค่วเอ๋อร์ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง
“พระเจ้าช่วย!”