Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 310
บทที่ 310
แผนการณ์เสร็จสมบรูณ์
ตาเฒ่าหลินแน่นอนว่าอยากให้เจียงซิ่วทำตามสัญญาการแต่งงาน การแต่งงานนี้ตอนแรกเขากับตระกูลจัวเป็นผู้ตัดสินใจ เจียงซิ่วทำตามข้อตกลงแล้ว นั่นทำให้ด้านนอกเกิดสัญญาณที่รุนแรง หลินเย่หลิงกลับมาที่ตระกูลหลิน เจียงซิ่วกับตระกูลหลินประสานรอยร้าว แล้วสิ่งต่างๆกลายเป็นจริง ตระกูลหลินแค่มีส่วนร่วมโดยที่ไม่ถูกสังเกต เจียงซิ่วไม่ยกตำแหน่งผู้บังคับบัญชาให้ตระกูลหลิน นี่คุยกันไว้แล้วไม่ใช่หรือ?
ตอนนี้ ตระกูลหลินไม่กล้าทำตัวเป็นเจ้านายเจียงซิ่ว และก็ไม่มีวันที่เขาจะยึดตัวเป็นเจ้านายเจียงซิ่วได้ “เย่หลิง ฉันจำได้ว่าเธอกับพ่อแม่ของสาวน้อยตระกูลจัวสนิทกันมาก”
หลินเย่หลิงพยักหน้า เรื่องนี้คนในบ้านรู้กันหมด เธอเป็นมากกว่าพี่น้องสองคน พบเจอเรื่องอะไร เธอไม่ไปหาพี่น้องของตัวเอง ก็จะไปหาสามีของภรรยาจัวชงหัว
ตาเฒ่าหลินพูด “หากถอนหมั้น ตระกูลหลินของเราจะสูญเสียความน่าเชื่อถือไป ตระกูลจัวจะถูกคนเยาะเย้ยถากถางได้ นี่จะทำให้ตระกูลหลินถูกโกรธเคืองอย่างแน่นอน….”
นี่เป็นสิ่งที่หลินเย่หลินกังวลใจ ตระกูลจัวในเวลานั้นจะต้องแบกความแค้นลงไปที่ตระกูลหลิน เคียดแค้นเจียงซิ่ว หลินเย่หลิงไม่สนใจ เธอไม่กลัว ที่กังวลใจคือตระกูลจัวจะเอาความโกรธไปลงกับจัวอวี่เฉิน
ตัวเองไม่มีวิธีดูแลเธอจึงละอายใจต่อคู่สามีภรรยาจัวชงหัว ยังให้จัวอวี่เฉินเกิดเคราะห์ร้ายอีก นี่จะทำให้เธอสบายใจได้อย่างไร
เจียงซิ่วนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ไม่ห่างมากเกินไปนัก หลินมี่ รินน้ำชาให้ นอกจากน้ำชายังมีเมล็ดทานตะวัน เขามองตระกูลหลินอย่างทะลุปรุโปร่งอยู่ก่อนแล้ว แม่ยังกังวลอยู่ จึงให้เธอกลับไป แต่ว่า เขาจะต้องเหยียบตระกูลหลินให้ตายใต้เท้าเขาให้ได้อย่างแน่นอน ทำให้พวกเขาขอร้องวิงวอน มองไม่เห็นความหวัง ให้แสงสว่างยามรุ่งอรุณเล็กน้อย และค่อยๆ ทรมานไป
หลินมี่ถาม “เจียงซิ่ว นายเคยพบจัวอวี่เฉินไหม?”
เจียงซิ่วดื่มชาหนึ่งอึก รสชาติของใบชาสดสะอาดหอมติดลิ้นเป็นพิเศษ “เคยพบ ทำไมล่ะ เธอสนิทกัน?”
หลินมี่พูด “ก็ไม่ถือว่าสนิทหรอก”
หลินเสี่ยวเข่อเห็นเจียงซิ่วคุยกับหลินมี่แล้ว ก็ไม่ยอมน้อยหน้าจึงย้ายม้านั่งไม้ไปนั่งด้านหน้าโดยที่ไม่ขัดจังหวะ แต่เอื้อมมือคว้าเมล็ดทานตะวันมานิดหน่อย กะเทาะเปลือกแต่ไม่กินวางไว้ในจาน
หลินมี่ถาม “นายมีแผนอะไรไหม?”
วันที่สอง พวกเขาไปที่บ้านตระกูลเจียงพบเฉินหลิงซู รู้ว่าเจียงซิ่วรับเธอเป็นภรรยาแล้ว สาวน้อยคนนั้น แทบจะไม่มีพรสวรรค์อะไรเลย แต่เธอเชื่อว่าหากผู้ชายคนอื่นๆ ได้พบเป็นต้องใจเต้นแน่
คำถามก็คือ เจียงซิ่วกับจัวอวี่เฉินยังมีสัญญาการแต่งงานอยู่
เจียงซิ่วพูด “ไม่มีแผนอะไรหรอก”
เรื่องนี้ เขาถือทัศนคติไม่แยแสอะไร ให้หลินเย่หลิงเป็นผู้ตัดสินใจ ถึงเวลานั้น ยอมรับได้ก็จะยอมรับ ยอมรับไม่ได้ก็พูดคุยกันทีหลัง แต่เขาคาดว่าการตัดสินใจของหลินเย่หลิงจะทำให้เขายอมรับได้แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นขาดทีหลังยังดีกว่าขาดตอนนี้จริงไหม?
เขาคิดว่าตัวเองรับเฉินหลิงซูเป็นภรรยาเท่ากับอยู่ก้นหุบเขาแล้ว ไม่มีวิธีอื่นใด หลินเสี่ยวเข่อเลื่อนจานไปตรงหน้าเจียงซิ่ว “พี่ชาย ทานเมล็ดทานตะวัน หนูกะเทาะเปลือกให้แล้ว” เด็กน้อยนี่สังเกตอยู่ว่าตัวเองอายุน้อยกว่า ดูแล้วคำขอของเด็กน้อยไม่น่ามีอันตราย ในความเป็นจริงมันจะดึงความสัมพันธ์ได้
เจียงซิ่วมองเธอแวบหนึ่ง เด็กน้อยยิ้มหวานยิงฟันอย่างเปิดเผย เป็น*เอ็มบริโอที่งดงามก้อนหนึ่ง เจียงซิ่วเอื้อมมือหยิบมาเล็กน้อย ถือเป็นการรับน้ำใจของเธอ
* ระยะแรกในพัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์
นัยน์ตาของเด็กน้อยเผยสีหน้ามีความสุข วันนั้นกลับจากตระกูลเจียงมา ผู้อาวุโสบ้านล้วนชมว่าเธอฉลาด ยังพูดอีกว่าเธอทำสำเร็จแล้ว นี่ทำให้เด็กน้อยหน้าบานยิ่งขึ้น “ตามที่ฉันว่า พี่ชายของฉันเก่งกาจมาก รับภรรยามาสองคน ก็คงไม่ลำบากขนาดนั้น”
“หึหึ…………”
เจียงซิ่วไม่ระวังเผลอกลืนเมล็ดทานตะวันลงคอ จึงไอขึ้นมา เด็กน้อยนี่ช่างกล้าพูดออกมาจริงๆ แต่ว่า ที่พูดก็ชวนสะกิดหัวใจเจียงซิ่วเหมือนกัน
*ธงสีแดงในบ้านยังไม่ตก ธงสีด้านนอกก็ปลิวสะบัดไม่ใช่ความฝันผู้ชายทุกคน
*เปรียบเทียบธงสีแดงในบ้านหมายถึงภรรยา ธงสีด้านนอกคือคนรัก หมายถึงความสัมพันธ์ทั้งภรรยาและคนรักค่อนข้างกลมกลืนกัน
ในสมัยโบราน สามภรรยาสี่อนุ เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานของผู้ชาย คุณแต่งงานมีภรรยามากมาย ครั้งแรกคุณต้องเลี้ยงให้ไหว เลี้ยงไหวแล้วต้องพูดให้ชัดเจนว่าคุณมีความสามรถแล้ว ออกไปไหนกับเพื่อนหรืออะไรสักอย่าง จึงจะมีหน้ามีตา
เปลี่ยนเป็นตอนนี้ คุณคนเดียวต้องเลี้ยงผู้หญิงสองสามคน ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ เงินนี่ไม่ใช่คนธรรมดาก็ล้วงกระเป๋าขึ้นมาได้ นั่นต้องเป็นคนรวยมีเงินมีหน้าจึงจะทำได้ หลักการนี้แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เถ้าแก่ใหญ่เหล่านั้น ตอนที่เป็นข้าราชการ อย่าพูดถึงผู้หญิงสองสามคนเลย ถูกตรวจสอบออกมามีกิ๊กสิบกว่าคนก็มี
หลินมี่เบิกตากว้างใส่หลินเสี่ยวข่ายครั้งหนึ่ง “อย่าพูดเหลวไหล พี่ชายเธอเป็นคนแบบนั้นหรือ?คำพูดของเธอถ้าพี่สาวมาได้ยินเข้า ไม่ฉีกปากเธอไม่ได้แล้ว”
หลินเสี่ยวเข่อกลัวจึงแลบลิ้นออกมา
ให้ตายสิ อย่าลากฉันไปทำผิดศีลธรรมเลย ฉันเป็นกากมนุษย์ เป็นคนที่โหดร้าย ให้ฉันตกลงไปดีไหม ห้ามช่วยชีวิตฉันเด็ดขาด เป็นความคิดที่ดีอย่างหนึ่ง คำพูดนี้ดีที่สุดอยากให้คุณแม่มาได้ยิน
เจียงซิ่วพูด “เธอชื่อหลินเสี่ยวเข่อ?”
หลินเสี่ยวเข่อพยักหน้ารัวๆเหมือนกับไก่จิกกินข้าว “ตัวอักษรเสี่ยวจากคำว่าเล็ก เข่อจากคำว่าน่ารัก”
เจียงซิ่วพูด “ไม่เลว ไม่เลว…..”
เข้าใจแล้วหรือยัง? เข้าใจถึงความตั้งใจของฉันแล้วหรือยัง?
ได้รับการยกย่องจากลูกพี่ลูกน้องหลินเสี่ยวเข่อก็มีความสุขจิตใจเบิกบาน ยิ่งมีกำลังกะเทาะเปลือกเมล็ดทานตะวัน “พี่ชายทานเมล็ดทานตะวัน หนูกะเทาะเปลือกไว้เยอะแยะเลย พี่กินไม่ทันหนูกะเทาะเปลือกหรอก”
น้องสาวตัวน้อยเอ๋ย ตอนนี้พูดเรื่องทานเมล็ดทานตะวันหรือ เพิ่งจะพูดหัวข้อที่ไม่เลวนี่นะ?
ทำไมไม่มีหลังจากนั้นล่ะ?
เจียงซิ่วถามหลินเสี่ยวเข่อว่า “จัวอวี่เฉินตอนนี้ทำธุรกิจอะไร?”
หลินมี่คนนี้กลับถูกเจียงซิ่วผู้หล่อเหลาละเลยแล้ว
หลินเสี่ยวเข่อพูด “พี่ชาย พี่ถามถูกคนแล้ว จัวอวี่เฉินเปิดบริษัทเพื่อความบันเทิงแห่งหนึ่ง สื่อยังเคยเปิดเผยเธอครั้งหนึ่ง อวดว่าเธอสวยงามกว่าดอกไม้แดง บริษัทของเธอตอนนี้พัฒนาไปในทางที่ดีมาก ช่วงนี้ยังมีข่าวออกมา พูดว่า เธอต้องลงนามกับเซียวเสวี่ยถงหลังจากนั้นด้วยล่ะ”
เจียงซิ่วพูด “เซียวเสวี่ยถงงั้นหรือ?”
บริษัทบันเทิงอาจจะลงนามแบบ*ฮวาต้าน บริษัทนั้นจะต้องค่อนข้างใหญ่ ดูท่าควรจะทำได้ไม่เลว เป็นแหล่งเศรษฐกิจได้เล็กน้อย เพื่อไม่ให้ถอนหายใจจนหมด นี่ถือว่าไม่เลวเลย ปีนั้นถ้าในมือของเจียงซิ่วมีเงิน ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาตระกูลเจียงให้ขายหน้า
*ตัวละครงิ้วผู้หญิงที่อยู่ในวัยสาว แรกรุ่น อุปนิสัยสดใสร่าเริง
หลิวเสี่ยวเข่อพูด “แต่ว่า เซียวเสวี่ยถงตอนนี้ก็แดงมาก อยากลงนามกับบริษัทของเธอมีไม่น้อย บริษัทของจัวอวี่เฉินไม่จำเป็นต้องลงนามเลย จัวอวี่เฉินน่ะมีอำนาจน้อยจะตาย จะมาเทียบกับพี่ชายได้อย่างไร”
ซื้อเครื่องประดับร้อยล้านยูโยให้แม่ของตัวเอง ดูจากเธอแล้ว จัวอวี่เฉินคงไม่สามารถพึ่งพาหารายได้มากขนาดนั้น
เจียงซิ่วพูด “ผู้หญิงคนเดียวบริหารบริษัทหนึ่งไม่ง่ายเลย”
เห็นเจียงซิ่วหนักใจกับจัวอวี่เฉิน นี่ทำให้หลินมี่ขมวดคิ้ว คาดการณ์ในใจ เจียงซิ่วที่ยากที่จะเอาชนะ สนใจในตัวจัวอวี่เฉิน ความพิเศษที่ไม่รู้ เจียงซิ่วถือว่าเป็นหัวใจของการตอบแทนบุญคุณ
หลินมี่พูด “คนในแวดวงรู้กันหมด จัวอวี่เฉินมีฑูตดอกไม้คุ้มครองอยู่”
“หืม?”
คำพูดนี้ทำให้เจียงซิ่วนึกขึ้นมาถึงเรื่องที่หลานชายหนานกงบอกเขา “ฑูตดอกไม้ผู้คุ้มครอง? ใครล่ะ เก่งมากไหม?”
หลินซื่อเชียนที่อยู่ด้านข้างพูดแทรก “แน่นอนว่าเก่งกาจ หลิวซ่วนจือของตระกูลหลิว”
“นั่นคือคนที่เก่งกาจกว่าพี่ใหญ่ของฉัน”
พี่ใหญ่ที่เขาพูดถึงคือหลินซื่อชางแห่งตระกูลหลินรุ่นที่สาม เขาเป็นผู้นำตระกูลรุ่นที่สาม ในจักรพรรดิรุ่นที่สามก็ยังมีตำแหน่งของเขาอยู่ อย่างไรก็ตามตระกูลหลินไม่ได้อ่อนแอในราชวงศ์เลย ความสามารถในการอบรมลูกหลานยังมีอยู่
หลินมี่พูดเสริมว่า “แรงผลักดันตระกูลหลิวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ผู้นำตระกูลหลิวเป็นแกนนำ ปีใหม่ที่ผ่านมา อาจจะแทรกเข้าการบริหารส่วนกลางได้แล้ว คนจำนวนไม่น้อยจากตระกูลอื่นก็ไม่ได้อ่อนแอ”
ในราชวงศ์ ตระกูลในบรรทัดแรก ก็คือในตระกูลนั้นจะมีหนึ่งคนอยู่การบริหารส่วนกลาง คุณปู่ของเจียงซิ่วก็ถอนตัวออกมาจากการบริหารส่วนกลาง แต่สำหรับตระกูลจีที่ถูกผลักไสให้ลงมาอยู่ตระกูลบรรทัดที่สองแล้วยังถูกยึดอำนาจอย่างไม่เต็มใจเป็นตระกูลแรก ตระกูลหลินถือว่าถูกพิจารณาให้ตกลงมาหนึ่งบรรทัด และตกลงมาตลอดทาง
แต่ตระกูลหลิวเดิมทีเป็นตระกูลรองบรรทัดที่สองของจักรพรรดิ ยากจะขึ้นสู่บรรทัดที่หนึ่ง ตระกูลบรรทัดที่หนึ่งทั้งประเทศจะมีสักกี่ตระกูล การบริหารส่วนกลางมีผู้คนมากมาย บางแห่งก็มาจากตระกูลเดียวกัน ดังนั้นตระกูลบรรทัดแรกจึงมีอยู่ไม่มาก ยื่นมืออกมานับนิ้วก็ได้แล้ว จะเห็นได้ว่าตระกูลหลิวนั้นแข็งแกร่งมาก ถือได้ว่าเป็นผู้ร่ำรวยและมีอำนาจในประเทศ
“หลิวซ่วนจือเป็นคนที่ตระกูลหลิวให้ความสำคัญในการอบรมเลี้ยงดู”
หลิวเลสี่ยวเข่อพูด “พี่ชาย พี่ยังไม่รู้ใช่ไหม พี่ในตอนนี้มีชื่อเสียงในราชวงศ์เลยนะ ว่ากันว่าพี่ต้องการแย่งผู้หญิงกับหลิวซ่วนจือ มีหลายคนยกตนข่มท่าน อยากสั่งสอนพี่ด้วยละ ฮิฮิ……”
คนที่รู้ว่าเจียงซิ่วก็คือเจียงโหลวเซี่ยมีแค่ไม่กี่คน
หลิวเสี่ยวเข่อพูดตามน้ำ ก็กลัวว่าจะสร้างปัญหาขึ้นมา
“อย่างอื่น พวกเราก็รอดูไป?”
เจียงซิ่วถามอย่างงงๆ “ไปดูที่ไหน?”
หลินซื่อเชียนพูด “แน่นอนว่าเป็นลายเซ็นของแมวที่แตกต่างจากของราชสำนัก….”
ขณะที่พูด หลินเย่หลิงออกมาจากห้องพูดว่า “ไปไหน?ที่ไหนก็ไม่อนุญาตให้ไปทั้งนั้น อยู่ที่นี่ดีๆ แม่จะไปตระกูลจัว”
เจียงซิ่วฟังน้ำเสียงนั้นและควรตัดสินใจได้แล้ว
เนื่องจากไม่ต้องดูแล เจียงซิ่วก็มีความสุขที่ไม่ต้องถูกใช้งาน