Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 320
บทที่ 320
ก็เข้าไปแบบนี้แหละ
มาเดินที่สวนสัตว์แบบนี้ เพียงแค่อยากจะคิดถึงความสุขเล็กๆ ไม่คิดเลยว่าจะถูกลวนลามซะแล้ว คิดถึงเรื่องอื่นไม่ได้อีกแล้ว เดินตรงไปยังประตูใหญ่เธอมีความรู้สึกอยากจะหนีไปอยู่นิดหน่อย
ไม่กี่อึดใจก็กลับขึ้นมาบนรถ ด้านบนประตูของรถ จัวอี้เฉินใช้มือทั้งสองมือของเธอจับหน้าของเธอ ไม่มีหน้าไปเจอคนอื่นแล้ว คราวหน้าจะไม่พนันอะไรแบบนี้กับเขาอีกแล้ว แพ้หมดสภาพเลย
เจียงซิ่วที่ตามมาทีหลังก็เปิดประตูรถก่อนเข้าไป แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่อยากจะพนันกันอีกซักอย่าง? ดูถนนเส้นนี้สิ จะเป็นไฟแดงหรือไฟเขียวกัน”
จัวอี้เฉินกำลังจะพูดออกไปว่าไม่พนัน แต่เมื่อได้ยินเนื้อหาของการพนันนี้ ในใจของเธอก็เต้นขึ้นมา เธอตะแคงมือของเธอที่ยังปิดเค้าหน้าของเธอ แอบดูเจียงซิ่วอยู่ครู่หนึ่ง เขาฉลาดมาก แต่ก็ไม่มีทางรู้ได้แน่ๆ ว่าจะเป็นไฟแดงหรือไฟเขียว นี่มันโชคดีเสียจริงๆ เลย ถึงอย่างนั้นแล้วก็ยังคงส่ายหัว ภูมิคุ้มกันของเธอแข็งแรงมา พอรับรู้รสความพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว เป็นไปได้ยากมากที่ครั้งที่สองจะเกิดขึ้น จะได้ลดโอกาศของศัตรูไปอีก
เธอส่ายหัวอย่างรวดเร็วก่อนพูดว่า “ไม่”
“วันนี้มันหนาวนะ ฉันอยากอุ่นขึ้น…” เจียงซิ่วพูด
จัวอี้เฉินยื่นมือออกไปกดปุ่มทำให้แอร์บนรถนั้นอุ่นขึ้น หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ถ้ามือเย็นนักก็วางไว้ด้านบนสิ แป๊ปเดียวเดี๋ยวก็อุ่นแล้ว”
ภรรยาสองนี่ฉลาดจริงๆ เลย ไม่ต้องแล้วก็ได้
“งั้นกลับเถอะ” เจียงซิ่วพูด
จัวอี้เฉินเลียริมฝีปากของเธอ เธอค้นพบว่าเจียงซิ่วคนนี้ เวลาลวนลามผู้หญิงน่ะชอบวางมาดขรึม ตอนทานอาหารก็วางมาดขรึม โดยเฉพาะตอนทานอาหารเนี่ยยิ่งวางมาดขรึมสุดๆ ทำให้เวลาคนมองก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา ร้อยยิ้มของตนปรากฏออกมาโดยที่เธอไม่รู้ตัว รู้สึกเหมือนตนได้รับชัยชนะอย่างไงอย่างนั้น ไม่แพ้ก็คือชนะใช่ไหม รู้สึกพอใจก่อนจะเหยียบคันเร่ง
เพราะว่าเจียงซิ่วแต่งงานแล้ว แต่จัวอี้เฉินต้องอยู่กับเขา นั่นก็คือไม่มีชื่อหรือไม่มีส่วนแบ่งอะไร แค่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ายังไงนี้ก็คือภรรยาน้อย เมียน้อย เมียรอง ทะเบียนสมรสก็จดไม่ได้ แต่ตามประเพณีก็ต้องจัดงานแต่งขึ้นอยู่ดี ตระกูลจัวก็เห็นดีเห็นงามด้วยที่จะเตรียมสินสอดทองหมั้นให้จัวอี้เฉิน เหมือนกับเป็นสมบัติของตี้ตู เดิมทีบริษัทนี้ไม่ใช่ชื่อของจัวอี้เฉินแต่ภายหลังมันถูกเปลี่ยนมาเป็นชื่อเธอ นอกจากนี้ยังมีจำนวนเงินอีกมากที่นับเป็นเงินสด ที่ส่งคนไปที่ตระกูลเจียง
งานแต่งงานอะไรก็ไม่เคยพูดถึง ถึงตอนนี้หลินเย่หลิงยังยอมรับไม่ได้เลย ราวกับมีลมพัดมาแล้วก็พัดผ่านไปซะเฉยๆ ไม่มีการตอบสนอง เรื่องราวก็เลยลงเอยง่ายๆ
“ลูกจะทำยังไงต่อไป?” หลินเย่หลิงถาม
“เรื่องนี้แม่ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจหรือไง?” เจียงซิ่วตอบ
หลินเย่หลิงถลึงตาก่อนจะพูดออกไป “ทำไมต้องแม่ แม่เคยตัดสินใจแบบนี้ที่ไหนกัน…” หลังจากที่พูดคุยกันเสร็จก็ยังคงจนปัญญา นี่คือสิ่งที่ตระกูลหลินและตระกูลจัวเห็นพ้องต้องกัน ตนเป็นแค่เพียงคนที่ถูกชักจูงเท่านั้น “เอา ไหนๆ มันก็เป็นแบบนี้แล้ว ลูกจะคุยกับซูซูยังไง”
“แล้วทำไมผมต้องคุยกับเธอ?” เจียงซิ่วตอบ
“เรื่องนี้มันยากที่จะให้ฉันพูดนะ ตอนนี้เรื่องนี้มันยังเล็กๆ อยู่ ยังมีเงินอยู่อีกนิดหน่อย ก็เริ่มสอนคนในครอบหัวให้หามือที่สาม แต่งเมียน้อย…” หลินเย่หลิงพูด
“หยุดเลย!”
“แม่ แม่เรื่องนี้มันมีอะไรเกี่ยวกับผมหรือไง ผมไม่เคยพูดอะไรจบซักอย่าง เรื่องงานแต่งนี้ผมก็ไม่ได้ตัดสินใจ ผมคงเป็นแค่เหยื่อใช่ไหม?” เจียงซิ่วพูด
หลินเย่หลิงไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “แกเป็นเหยื่อ? เจียงซิ่วแกไม่ได้หน้าหนาขนาดนั้นใช่ไหม กล้าพูดออกมาได้ยังไง”
เจียงซิ่วตอบอย่างมั่นใจ “เดิมทีมันก็ใช่”
หลินเย่หลิงโกรธมาก “อี้เฉินสวยออกขนาดนั้น อยู่กับแกก็จะทำให้แกลำบากเลยหรือไร? บรรพบุรุษน้อยท่านอดทนหน่อยเถอะ”
เจียงซิ่วยิ้ม เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนเองเหมือนไม่ใช่คนไปแล้ว
“แล้วหลังจากนี้อี้เฉินอยู่ที่บ้านไม่ได้แล้วใช่ไหม?” หลินเย่หลิงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้น บ้านพวกเราไม่มีวันสงบสุขแน่ ทำตามที่แม่บอกแล้วกัน พาอี้เฉินอยู่นอกบ้านน่ะดีแล้ว”
“มีบ้านเล็กน่ะหรอ?” เจียงซิ่วพูด
หลินเย่หลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ปากแกเป็นอะไรนะช่วงนี้ ทำไมแค่เชื่อฟังมันยากนัก ดื้อด้านจริงๆ แกยังต้องเรียนที่จะเป็นผู้นำตระกูล ต้องรู้จักเอาโคมแดงแขวนไว้ที่สูง”
“โอเค แม่ แม่เห็นฉันเป็นคนไม่รู้เรื่องราวแบบนั้นหรือไง?” เจียงซิ่วถาม
“ฉันเป็นคนคลอดแกมา!” หลินเย่หลิงตอบ
ในสายตาของหลินเย่หลิง เจียงซิ่วยังขาดความมั่นใจอยู่บ้าง เป็นแบบนี้น่ะมันน่ากลัว แต่ก็ต้องขอบคุณแผนการนี้
ในระหว่างการพูดคุยรถก็มาถึง จัวอี้เฉินสวมชุดเจ้าสาวสีแดงตามประเพณีดั้งเดิม เป็นแบบเรียบๆ บนลำคอ และมือมีสร้อยคอและกำไลสีทอง ใบหน้าสวยถูกแต่งแต้มอย่างเต็มที่ มองเผินๆ เหมือนหญิงที่แต่งงานแล้ว
คนที่มาส่งคือปู่ของจัวอี้เฉิน ครอบครัวของตระกูลจัว เดิมที่ก็ไม่จำเป็นหรอก แต่เจียงซิ่วใหญ่โตเสียขนาดนั้น คุณปู่ตระกูลจัวจึงต้องมาส่งด้วยตนเอง
อายุแปดสิบกว่าแล้ว นับว่าร่างกายแข็งแรงอยู่
เขาลงรถด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ตระกูลเจียงไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก ไม่มีแม้แต่งานเลี้ยง นี่มันอะไรกัน มันเรียกว่ามืออาชีพกันซะที่ไหน นับว่าตระกูลจัวยกลูกสาวให้เป็นภรรยารอง แต่ก็ไม่ควรจะทำแบบนี้นี่
ตอนนี้เจียงซิ่วรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นงานเลี้ยงงานหนึ่งไปแล้ว การรับมือแบบนี้พอแพร่ออกไปก็เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลินเย่หลิงหรือว่าจัวอี้เฉินถึงคิดอะไรแบบนี้ได้
อย่างไรก็ตามพูดไปก็เท่านั้น การอดทนต่อการเป็นผู้น้อยในประเทศนี้น่ะ นั่นก็คือการรับคนเข้าบ้านตรงๆ หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
แต่ตระกูลจัวก็มีหน้ามีตาและร่ำรวยเหมือนกันนะ
น่าเกลียดชะมัด!
โชคดีที่ความคิดของเจียงซิ่วทำให้ความโกรธของคนในตระกูลจัวลดลงบ้าง เขามาที่ด้านข้างของรถก่อนนั่งยองๆ หลังจากนั้นจัวอี้เฉินก็ถูกเจียงซิ่วอุ้มเข้าบ้านตระกูลเจียงไป
นี่นับว่าเป็นความจริงใจละนะ
เมื่อเจียงซิ่วอุ้มเธอไว้ รู้สึกเบามาก เรื่องนี้ให้ตายยังไงก็ต้องมีการคุยกันแล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะที่มือสองข้างของเจียงซิ่วที่วางไว้บนสะโพกของจัวอี้เฉินซึ่งนั่นก็เป็นอย่างที่เจียงซิ่วคิดไว้ก่อนหน้านี้
คนของตระกูลจัวและคนของตระกูลหลินจุดประทัดกัน
ภายใต้เสียงประทัดที่ดังระงม เจียงซิ่วก็ได้พาเจ้าสาวคนใหม่เข้าประตูไป
นอกจากนี้ยังมีช่างภาพคนหนึ่งถ่ายรูปของจัวอี้เฉินที่อยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดงสดเอาไว้ได้ และเมื่อนั่งลงแล้วหลานสาวของตระกูลจัวก็เป็นฝั่งเป็นฝาเต็มตัวแล้ว ตระกูลหลินและจัวทั้งสองปรองดองกันอีกครั้ง การแต่งงานครั้งนี้เป็นที่รู้จักในการเป็นบ้านเล็กของเจียงลั่วเซี่ย ในวงของคนร่ำรวยนี้ต้องหลบๆ ซ่อนๆทำเรื่องนี้ ขนาดเป็นแฟนก็ยังไม่มีใครได้ล่วงรู้เรื่องนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีข่าวลือแพร่ออกไปทั่วตี้ตูแบบนี้
ถึงแม้ว่าเจียงซิ่วจะคุยกับเธอชัดเจนแล้ว สามปีหลังจากนี้ เธอก็สามารถที่จะมีอิสระ แต่เจียงซิ่วก็สัญญาว่าจะไม่แตะต้องเธอ นี่เหมือนการแต่งงานปลอมๆ แต่เมื่อตอนนี้เธอใส่ชุดเจ้าสาวนี่แล้วถูกเจียงซิ่วอุ้มเข้ามาในบ้าน นอกจากหลินเย่หลิงก็ไม่มีใครอยู่เลย แม้แต่งานเลี้ยงก็ไม่มี ทำให้เธอรู้สึกเศร้าขึ้นมาเสียเฉยๆ อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลออกมา
แม่สื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่พูดคำอวยพร ให้รีบๆ มีลูกหลานอะไรประเภทนั้น
เธออยู่มาเกือบครึ่งชีวิต ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลย
ยังดีที่ตระกูลจัวได้รับเงินไปพอแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงจะโบกมือลาและไม่ทำอะไรแบบนี้ หลังจากที่เข้าห้องแล้วก็ไม่มีไรให้พูดคุยหรือทานอาหาร แม้แต่เครื่องดื่มก็ยังไม่มี ป้าๆ ตระกูลหลินก็กำลังยุ่งกับการช่วยงาน พ่อใหญ่หลินที่อยู่กับหลินเจ๋อเฉิงก็มีความสุขเสียจนหยุดไม่ได้ ในใจของเจียงซิ่วที่มองไปอ่านปากไปอย่างแน่นอน
วิลล่ามีขนาดใหญ่พอ พวกป้าๆ ของตระกูลหลินหลังจากที่จัดการอะไรเสร็จแล้ว ยังคงทำอะไรพอเป็นพิธี
เจียงซิ่วพาจัวอี้เฉินขึ้นไปด้านบน หลินเย่หลิงกระโดดออกมาจากห้องหนึ่งที่แขวนม่านแดงและแปะกระดาษยินดีไว้สองข้างประตู หลังจากนั้นก็วางจัวอี้เฉินลงที่เตียง “ขอบคุณ!” จัวอี้เฉินพูดเสียงแข็ง
“ฉันหนักใช่ไหม!”
เจียงซิ่วส่ายหัวก่อนจะยืนข้างเตียงแล้วมองออกไปด้านนอก คนพวกนั้นกำลังมาราวกับมาร่วมงานแต่งใหญ่ๆ อย่างไงอย่างนั้น “สองวันนี้ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน พอถึงเวลาแม่ฉันจะพอเธอออกไปอยู่ด้านนอก”
“ด้านนอก? ทำไม?” จัวอี้เฉินถาม
หลังจากที่เอ่ยถามออกไปเธอพึ่งคิดได้ นั่นเป็นเพราะว่าเดิมทีมีคุณนายใหญ่อยู่แล้วแน่นอน พอเห็นเหตุการณ์วันนี้ จัวอี้เฉินก็พึ่งตระหนักได้ ตระกูลเจียงต้องอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกแน่ๆ อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องดูแลเฉิงหลิงซูที่อยู่ฝั่งนั้น
“การอยู่ข้างนอกมันก็ดูน่าเกลียดนะ งั้นไม่เป็นไร เธออยู่ที่นี่ก็ได้” เจียงซิ่วพูด
จัวอี้เฉินโบกมืออย่างเร็ว “ไม่ๆ ฉันพูดผิดน่ะ แค่ชินปากแค่นั้นไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นหรอกนะ สองวันนี้ฉันจะไม่ออกไปไหนแล้วกัน จะไม่หาเรื่องเดือดร้อนด้วย”
“ไม่ได้เดือดร้อน” เจียงซิ่วพูด
“ตัวจริงของนายจะลำบากเอานะ พอถึงเวลานั้นคุณจะปวดหัวเอา ย้ายออกน่ะดีแล้ว ป้าเย่หลิงก็พูดถูกแล้วด้วย ฉันไม่อยากทำให้คุณป้าลำบาก” จัวอี้เฉินพูด
“เธอไม่ลำบากหรอก” เจียงอี้พูด
ในสายตาเขาเฉิงหลิงซูคือปีศาจ นี่จะหนีเรื่องพวกนี้จากเฉิงหลิงซูไม่ได้เลยใช่ไหม ขนาดเจียงซิ่วแต่งจัวอี้เฉินเข้ามา ถ้าไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเรื่องสัญญาแต่งงานละก็ เขาก็อยากจะเลิกกับเฉิงหลิงซูเหมือนกัน ตราบใดที่เฉิงหลิงซูยังอยู่งั้นแล้วเธอก็มีเหตุผลที่จะพูดอะไรบางอย่างได้
ถึงตอนนั้นหลินเย่หลิงก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน