Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 321
บทที่ 321
พรสวรรค์
ภรรยาคนที่สองแบบเราจะไปรู้แผนการของเจียงซิ่วได้ยังไงล่ะ ยังไร้เดียงสาเกินไปที่จะเชื่อว่าเจียงซิ่วจะปกป้องเธอได้ แถมยังกลัวว่าจะนำเรื่องเดือนร้อนมาให้เจียงซิ่วอีก รู้สึกเสียใจจริงๆ “อาจารย์นี่ไม่จำเป็นแล้วล่ะ”
หลินเย่หลิงตะโกนเรียกเจียงซิ่วอยู่ด้านล่าง เมื่อได้ยินชื่อของจัวอี้เฉิน ก็เกือบจะลมจับ อาจารย์ช่างเป็นวันที่น่าสงสารของฉันเสียจริง คุณตะโกนออกมาได้
ไม่รู้ว่าแผนการทั้งหมดนี่เป็นของปีศาจเจียงนั่นหรือเปล่า เด็กสาวคนที่สองที่ไร้เดียงสาของได้รับความทุกข์จากมืออันเย็นเฉียบนั่น ฤดูหนาวอันยิ่งใหญ่เลยล่ะ แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความกดดันนี้ อบรมสั่งสอนแบบนี้จะกล้าต่อต้านได้อย่างไร อีกอย่างก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าภรรยาน้อยคนนั้นกล้าต่อต้านอาจารย์
“อย่าอยู่แต่ในห้องสิ ข้างนอกมีแขกอยู่ตั้งเยอะ พาอี้เฉินไปห้องตัวเองไป ไม่มีเพื่อนเจ้าสาวสักคน อี้เฉินให้หลินเสี่ยวเข่อกับหลินมี่ขึ้นมาดูแลเธอนะ….”ใบหน้าของหลินเย่หลิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม นั่นทำให้จัวอี้เฉินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
“งั้นก็ตามนี้แล้วกัน ฉันจะตามแม่ลงไปข้างล่างก่อน” เจียงซิ่วพูดกับจัวอี้เฉิน
หลังจากลงมาด้านล่างแล้ว หลินเย่หลิงก็กระซิบเสียงเบา “ทำไม อี้เฉินไม่ยอมย้ายไปอยู่ด้านนอกหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เจียงซิ่วพูด
หลินเย่หลิงถอนหายใจออกมายาวๆ “ใช่สิ นี่มันดูถูกเธอมากไปหน่อย แต่ถ้าเธอยังอยู่ในบ้าน ซูซูก็ต้องไม่รู้เรื่องนี้”
แผนการของหลินเย่หลิงที่วางแผนวันต่อวันเห็นทีต้องหาทางออกแล้ว
ถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะสายไปก่อนจะหาทางออกได้
บ่ายคล้อยๆแขกทั้งหมดก็เดินทางกลับไปหมดแล้ว ทำให้บ้านนั้นดูเงียบลงถนัดตา บ้านนี้นั้นเรียบง่ายแต่มีคนอาศัยอยู่เยอะ ที่แย่ที่สุดคือเจียงซิ่วกำลังจะกลับขึ้นมาบนห้อง แถมยังล็อคประตูอีก
“แขกกลับไปหมดแล้วหรอ?” จัวอี้เฉินถาม
“กลับหมดแล้ว!” เจียงซิ่วตอบ
จัวอี้เฉินยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง มองไปยังประตูของวิลล่า คนของตระกูลจัวค่อยๆ ขึ้นรถแล้วขับออกไป เธอมีความรู้สึกอยากออกจากตระกูลจัวรู้สึกถึงคำว่าอิสระเสียที
“หนังสือบทพื้นฐานที่ให้ไปเธอเผาหรือยัง?”
จัวอี้เฉินส่ายหัวก่อนจะพูดว่า “ยัง ฉันยังจำไม่ได้แถมยังกลัวว่าตัวเองจะจำผิดอีก เลยยังไม่กล้าเผา…” เธอหยิบหนังสือที่เจียงซิ่วมอบให้ออกมาจากแขนเสื้อของเธอ “แต่ฉันพกติดตัวตลอด ไม่มีใครเห็นแน่นอน”
หนังสือที่เจียงซิ่วมอบให้เป็นภาษาโบราณทั้งหมด ไม่มีวิธีเลย ศัพท์บางก็รู้แต่ความหมายแต่อ่านไม่ออก ไม่มีวิธีเลยใช้แต่ภาษาปัจจุบันเขียน แค่หวังว่าจะให้จัวอี้เฉินทำความเข้าใจด้วยตัวเองไปช้าๆ บทพื้นฐานมีอยู่ประมาณพันคำ นั่นเป็นเรื่องง่ายสำหรับเทพอย่างเขา แต่พอเทียบกับคนธรรมแล้ว ยากพอตัวเลยล่ะ โดยเฉพาะกับเวลาที่มีจำกัดแบบนี้
“ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน แล้วเริ่มฝึกหรือยัง?”
จัวอี้เฉินพยักหน้า “ฉันลองดูแล้ว รู้สึกว่าก็ไม่ได้แย่ พื้นฐานทั่วไปถึงเรื่องมุมมองน่ะ”
เจียงซิ่วหัวเราะออกมาเบาๆ “เธอรู้หรอว่ามุมมองน่ะคืออะไร?”
ทันใดนั้นเธอก็พยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น “ร่างกายแข็งแรง การระงับ ทำให้ใจสงบ การปกป้องร่างกาย เป็นหนึ่งเดียวกับเทพ ทำได้ก็จะทำให้จิตใจกับความคิดไปในทางเดียวกัน จากภายนอกสู่ภายใน นั่นและคือมุมมอง”
เจียงซิ่วอึ้งไปครู่หนึ่ง
“ทำไม? ฉันพูดผิดหรอ?”
เจียงซิ่วส่ายหัวแอบลอบยิ้มในใจ ไม่ใช่ว่าที่จัวอี้เฉินพูดนั้นผิด แต่มันถูกมากๆเลยต่างหาก ถ้าหากเอาแต่ฝึกฝนโดยไม่คำนึงถึงพรสวรรค์ ความเข้าใจแบบนี้ก็เพียงพอที่จะเป็นเซียนได้แล้วล่ะ
คนที่สามารถฝึกเรื่องมุมมองได้สำเร็จ จิตใจจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าคนทั่วไปมาก นั่นทำให้สามารถสัมผัสถึงพลังของฟ้าดินได้ สัญชาตญาณของมนุษย์จะดูดซับรัศมีของสวรรค์และโลกอย่างช้าๆ จนถึงตอนนี้มันเป็นหนทางหนึ่งในการฝึกฝนล่ะนะ
ร่างกายของจัวอี้เฉินนั้นพิเศษมาก เธอสามารถฝึกคาถาเซียนได้เร็วมากกว่าคนปกติ บวกกับความเข้าใจที่น่าอัศจรรย์นั้น เจียงซิ่วรู้สึกเสียดายแทนเธอเหมือนกัน ถ้าเกิดเธอเกิดที่ทวีปการต่อสู้นิรันดร์ ด้วยคุณสมบัติของเธอทำให้ครอบครัวมองว่าเธอควรเป็นเจ้าตระกูลในอนาคต ไม่ใช่ให้เธอมาเป็นน้อยเพื่อแลกกับผลประโยชน์แบบนี้
เธอพัฒนาได้ขนาดนี้ ดูท่าแล้วอาจจะไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำ ปีกว่าๆ สามารถบรรลุความคาดหวังของเจียงซิ่วได้แล้วล่ะ
จึงเรียกว่ามุมมองนั้นไม่ได้ผิดปกติอะไร แต่วิถีแห่งเซียนที่แท้จริงคือการตรัสรู้ต่างหาก การทำสมาธิของมนุษย์ โยคะของอินเดีย จริงๆ ก็มีเหตุผลเดียวกันนั่นแหละ
“ฝึกเยอะๆเถอะ” เจียงซิ่วชี้ไปที่ถ้วยที่มีน้ำอยู่ด้านใน “พอถึงวันที่นึงที่เธอนั่งอยู่บนเตียงแล้วทำถ้วยนี้ขยับได้ ฉันจะบอกเธอ”
จัวอี้เฉินพยักหน้า
มาถึงระดับนี้พลังของจัวอี้เฉินก็คงสะสมมาได้ประมาณหนึ่งแล้วล่ะ เวลานี้ภายในกายของสามารถช่วยให้เธอร่ายคาถาอะไรได้บ้างแล้ว
เมื่อถึงมื้อค่ำ จัวอี้เฉินก็หลายเป็นเจ้าสาวคนใหม่แล้ว หลังจากที่อาบน้ำล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย ผิวของเธอนั้นขาวราวกับเด็กแรกเกิด นั่งทานอาหารเย็นกับเจียงซิ่วและหลินเย่หลิง
“อี้เฉิน พรุ่งนี้ป้ากับเจียงซิ่วต้องกลับไปเจียงหนาน หนูจะว่ายังไง?”
จัวอี้เฉินมองเจียงซิ่วก่อนจะพูดขึ้น “ป้าคะ บริษัทของหนูที่นั่นยังมีเรื่องที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย ถ้าอย่างนั้นหนูไม่ไปได้ไหมคะ?”
เธอเคยคิดเหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วมันคือการแต่งงานหลอกๆ ของเธอกับเจียงซิ่ว ไม่ต้องรู้จักกันมาก โดยเฉพาะคือไม่ต้องไปยุ่งกัยตระกูลเฉิง นั่นอาจจะทำให้เจียงซิ่วลำบาก
“ทำอะไรทำไมไม่ไปด้วยกัน?” เจียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะกังวลที่จะทำสิ่งต่างๆที่นั่น “เธอยังไม่เคยพบพ่อฉันเลย ถึงแม่ว่าทั้งพ่อและแม่ฉันจะเป็นคนเมืองหลวง แต่ฉันเกิดที่เจียงหนาน โตที่เจียงหนาน กลายเป็นคนเจียงหนาน เจียงหนานถือว่าเป็นบ้านเก่าของฉัน ทำไมไม่ไปเที่ยวหน่อยล่ะ”
“ให้ฉันไปคงไม่ดีเท่าไหร่หรอก?” จัวอี้เฉินพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ
สายตาเต็มไปด้วยความกังวล เธอไม่อยากไปเจียงหนาน แต่เจียงหนานเป็นถิ่นของตระกูลเฉิงไม่ใช่หรือไง ตระกูลเฉิงจะคิดยังไงกับเธอล่ะ ทำไมเจียงซิ่วถึงอยากจะให้เธอไปนัก มีอะไรน่าสนุกหรือไง?
“งั้นไปพร้อมกันแล้วกัน”
หลินเย่หลิงกังวลเกี่ยวกับจัวอี้เฉิน กังวลว่าตอนเด็กๆนั้นเธออยู่ภายใต้ตระกูลจัว การมาอยู่ตระกูลเจียงแบบนี้เทียบมาได้เลย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี แต่อย่างน้อยเธอก็อยากให้จัวอี้เฉินรับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีและความอบอุ่นของเธอ
“ไม่มีอะไรแย่หรอกน่ะ”
คืนนั้น จัวอี้เฉินยังคงเจอกับอีกปัญหาหนึ่ง วันนี้นับว่าเป็นคืนแรกของเธอในการเป็นเจ้าสาว ยังไงเจียงซิ่วก็ต้องมานอนที่ห้องเธอ
“เธอนอนบนเตียงไป เดี๋ยวฉันนอนพื้นเอง”
“ขอบใจ!”
ฟ้าค่อยมืดสนิท จัวอี้เฉินนอนหันหลังให้เจียงซิ่วแกล้งทำเป็นว่าตนเองหลับแล้ว ในความเป็นจริงแล้วใจของเธอยากมากที่จะสงบลง เมื่อเวลาผ่านไปก็มองไปรอบๆก่อนจะมองไปที่เจียงซิ่ว
“ไม่อย่างนั้น หรือว่าฉันต้องไปคุยกับภรรยาของนายว่าเรื่องของเรามันเป็นเรื่องหลอกลวง หลังจากนี้สามปีฉันถึงจะไปได้?” เธอคิดจะไปพูดกับเฉิงหลิงซูที่เจียงหนาน เธอรู้สึกผิด
“ไม่ต้อง!” เจียงซิ่วพูด
“เฉิงหลิงซูอาจจะไม่เก็บเรื่องของเธอเป็นความลับหรอกนะ ให้ตระกูลหลินกับตระกูลจัวรับรู้แล้ว ถ้าเกิดอะไรขึ้น ตระกูลจัวก็จะบอกว่าตระกูลหลินนอกใจ….”
“แต่ว่า นั่นจะทำให้นายไม่สะดวกหรือเปล่า” จัวอี้เฉินพูด
เจียงซิ่วหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “เธอคิดว่าทำไมเธอถึงมาอยู่กับฉันล่ะ ชอบฉัน? ไม่ใช่หรอก คนแบบฉันน่ะไม่มีใครมาชอบหรอก เธอน่ะอยากได้ก็แค่อิทธิพลของฉันเท่านั้น ฉันตอนนี้มีทั้งความมั่งคงและอำนาจ ขอแค่สนองความฟุ่มเฟือยของเธอได้ เธอก็ไม่สนใจหรอกว่าฉันจะมีเมียกี่คน เธอคงจะไม่เลิกกับฉันเพราะแค่ฉันมีผู้หญิงอื่นหรอกนะ แต่ถ้าวันไหนเธอเลิกกับฉันละก็ นั่นก็แปลว่าฉันกลายเป็นคนที่ไม่มีอะไรไปแล้วน่ะ”
“เคยได้ยินมาว่า เธอกับนายหมั้นกันตั้งแต่เด็กหรอ” จัวอี้เฉินพูด
“อืม!”
จัวอี้เฉินรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของเจียงซิ่วได้จากน้ำเสียง ความสัมพันธ์ของเขากับเฉิงหลิงซูเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มากมาย ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นเลย นั่นทำให้จัวอี้เฉินรู้สึกกังวลน้อยลงมาบ้าง แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของเจียงซิ่วแล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงไปบ้าง นัยย์ตามีความน่าสงสารเผยออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในเมื่อคนที่มีอำนาจจนปัญญาแล้ว จัวอี้เฉินจึงเอ่ยปากถาม “แล้วนายล่ะ ชอบเธอบ้างไหม?”
จัวอี้เฉินส่ายหัว “แล้วทำไมนายไม่คุยกับคุณป้าล่ะ ด้วยพลังของนายมันไม่คุ้มหรอกนะที่จะแต่งงานกับมนุษย์ธรรมดาน่ะ ทั้งๆ ที่สามารถไปตามหารักของตัวเองได้แท้ๆ”
นัยน์ตาของเจียงซิ่วเปล่งประกายสีออกมา จะหามันได้ยังไงในเมื่อมันไม่มีทางที่จะมีอยู่จริง เหมือนกับที่หวังซินถงพูด ถึงแม้ว่าจะเลิกกับเฉิงหลิงซูไป เฉิงหลิงหลานก็ไม่มีทางที่จะอยู่กับเขาได้ เรื่องที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ต้องไม่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มีพ่อแม่แล้วแต่ไม่มีความรัก นี่อาจจะเป็นชะตากรรมของเขาก็ได้ ขยับตัวหันกลับไปก่อนจะพูดขึ้น “ดึกแล้ว นอนได้แล้วพรุ่งนี้เราต้องขึ้นเครื่องกลับเจียงหนานอีก”
“อือ!”
จัวอี้เฉินจ้องมองแผ่นหลังของเจียงซิ่วที่มีแสงวาวออกมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ก่อนจะค่อยๆผล็อยหลับไป นี่เป็นคืนแรกที่เธอไกลบ้าน เธอคิดว่าจะนอนไม่หลับเสียอีก ไม่คิดเลยว่าเพียงแค่สิบนาทีก็หลับลึกได้
วันที่สอง จัวอี้เฉินกำลังหนีเอาชีวิตรอด บอกไปว่าที่บริษัทมีเรื่องด่วนที่จะต้องจัดการ เป็นเช้าตรู่ที่เธอออกจากวิลล่า