Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 322
บทที่ 322
เปลี่ยนไป
จัวอี้เฉินกลับถึงบริษัท ก็ตอนเช้ามืด ทั้งยังเป็นช่วงเทศกาลตรุษจีน บริษัทจึงไม่มีแม้แต่เงาคนอยู่ เธอเข้าไปห้องทำงานของตนเอง ครั้งก่อนข้าวของภายในห้องล้วนถูกทำลาย ตอนนี้จัดเก็บเรียบร้อยดีแล้ว ทว่าตอนนี้เธอยิ่งคิดยิ่งขาดทุน ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก เธอก็ไม่สนใจข้าวของแล้ว
บนโต๊ะมีรูปภาพของสองสามีภรรยายืนอยู่ ในมือมีลูกสาวคนหนึ่งวางอยู่ นั่นคือภาพของจัวอี้เฉินวัยเยาว์กับพ่อแม่ “พ่อ แม่ ขอบคุณนะคะ…”
เธอรู้ดี เจียงซิ่วและแม่ดูแลเธอเช่นนี้ เป็นเพราะว่าหลินเย่หลิงเห็นแก่มิตรภาพกับพ่อแม่ที่จากไปแล้วของเธอ ความดีของพ่อแม่เธอเมื่อปีนั้น เพิ่งจะได้รับผลตอบแทนในวันนี้
เธอมาถึงหน้าบานหน้าต่าง ถนนใหญ่ด้านนอกหน้าต่างร้างไร้ผู้คน นานๆ ครั้งถึงจะมีรถขับผ่านมา เมืองหลวงไม่เคยเงียบสงบอย่างเช่นในเวลานี้ เธอรู้สึกว่าปากาศโดยรอบล้วนอิสระเสรี
“เอ๊ะ?”
จัวอี้เฉินมองเห็นนกยักษ์ตัวหนึ่งสยายปีกบินผ่านหน้าต่างไป นกตัวนั้นขนาดใหญ่มหึมา ข่มขู่ผู้คน ทั้งร่างขนาดประมาณหนึ่งเมตร เมื่อสยายปีกแล้วเกือบสองเมตร ดวงตาสีทองคู่หนึ่ง เธอเร่งเดินไม่กี่ก้าว เปิดหน้าต่างมองดู เพียงเห็นนกยักษ์ตัวนั้นบินอยู่ระหว่างตึกสูงใหญ่
“นกยักษ์นั่นมาจากที่ไหน…”
ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ ปกติแล้วเพียงนกตัวเล็กๆ ก็แทบไม่มี ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงนกยักษ์เช่นนี้ เธอศึกษาเรื่องสัตวิทยามามากมาย ดูเหมือนว่าจะไม่มีนกยักษ์ป่าที่มีขนาดมหึหาเช่นนี้นะ
นกตัวนั้นรูปร่างแข็งแรงทรงพลังราวกับอินทรี แต่อินทรีจะมาปรากฎตัวในเมืองได้อย่างไรกัน
“เรื่องนี้ต้องแจ้งไหมนะ?”
จัวอี้เฉินยังคงมีสำนึกรับผิดชอบ ในเมืองใหญ่ปรากฎนกยักษ์เช่นนี้ จำเป็นต้องระมัดระวังจริงๆ ไม่รู้ว่าจะดุร้ายหรือไม่ ถ้าหากว่าดุร้าย เช่นนั้นก็อาจจะไม่ปลอดภัยแล้ว
หลังจากหลินเย่หลิงตื่นขึ้น ก็ทำอาหารเช้า รอจนเก้าโมงแล้วจึงเห็นเจียงซิ่วและจัวอี้เฉินต่างก็ยังไม่ตื่น จึงขึ้นไปเรียก ทว่าในใจกลับมีความสุขมาก ดีที่สุดก็ให้หลานชายกับเธอสักคน “เสี่ยวซิ่ว ลุกขึ้นมากินข้าว ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันเวลาขึ้นเครื่องนะ”
เจียงซิ่วลงมาแล้ว แต่กลับไม่เห็นจัวอี้เฉิน “หนูอี้เฉิน กลับไปแล้วหรือ?”
“ไม่อยู่ในห้องหรือ?”
เจียงซิ่วส่ายหน้า เขาสัมผัสได้ว่าจัวอี้เฉินไม่ยินยอมไปเจียงหนาน นั่งที่โต๊ะทานข้าวก้มหน้าเริ่มทานอาหารเช้า “ช่างเถอะครับ อย่าทำให้เธอลำบากใจเลย ปล่อยเธอตามสบายเถอะ”
หลินเย่หลิงกล่าว “อืม เช่นนั้นลูกก็รีบสักหน่อยเถอะ ซันเสี่ยวหงโทรมาหลายสายแล้ว”
ก่อนขึ้นเครื่องบิน หลินเย่หลิงโทรหาจัวอี้เฉินสายหนึ่ง ย้ำเตือนเธออยู่บ้านคนเดียว ดูแลตัวเองให้ดี วางสายแล้วก็ถอนหายใจออกมาสายหนึ่ง อดภูมิใจไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ฉันอยากจะมีลูกสาวสักคน ผลคือสักคนก็ไม่มี ตอนนี้ดีละ ลูกหาลูกสะใภ้ให้แม่ตั้งสองคน”
เจียงซิ่วกล่าว “ผมฟังแล้วทำไมเหมือนกำลังด่าผมละ”
หลินเย่หลิงกล่าว “ไม่ได้ด่าลูก ชื่นชมลูกนะ ตอนนี้แม่ไม่ต่างอะไรกับตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ โอกาสนี้ไม่ช้าก็เร็วต้องมาถึง ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรีบทำหลานชายให้แม่สักคน”
ในใจของเธอรู้สึกไม่มั่นใจ ตอนนี้สองคน เรื่องนี้ต้องจัดการให้ดีสินะ
“เพียงแต่ต้องระวังหน่อย ซู่ซู่อาจไม่ยอมรับ”
เจียงซิ่วหัวเราะเสียงเย็น “ใครรับไม่ได้คนนั้นก็ไปเถอะ”
หลินเย่หลิงถมึงตาใส่เขา “ดูสิว่าแกจะทำอะไรได้ ถ้าแกกล้าให้ซู่ซู่ไป แม่ไม่เอาแกไว้แน่”
เจียงซิ่วกล่าว “เช่นนั้นก็ให้จัวอี้เฉินไป”
หลินเย่หลิงกล่าว “เช่นนั้นก็ไม่ได้!” หน้ามือหลังมือก็เนื้อทั้งนั้น จะให้เลือกล้วนไม่ถูกต้องทั้งนั้น “พอแล้ว เรื่องนี้พอแค่นี้ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่แม่ขอเตือนแก แกแต่งมาอีกคนก็เกินไปแล้ว ทีหลังอย่าให้ฉันต้องมีความคิดชั่วร้ายเลย”
เจียงซิ่วกล่าว “ทั้งสองคนนี้คือผมรับเข้ามาหรือไง?”
เรื่องนี้เทพซิ่วไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ เฉิงหลิงซู่เขาก็ไม่ได้อยากแต่งตั้งแต่แรก เป็นการบังคับของหลินเย่หลิง จัวอี้เฉินเขาก็มีความรู้สึกให้เพียงเล็กน้อยขนาดนั้น เป็นเพราะได้รับน้ำใจจากโลกก่อน ย่อมมีเสน่ห์อยู่จริงๆ แต่ปัญหาก็คือการแต่งครั้งนี้เป็นของปลอม ทั้งหมดล้วนเพียงมองแต่ไม่อาจใช้งาน เป็นภรรยาเพียงในนามเท่านั้น และคนที่เขาคิดจะแต่งตัวจริงๆ กลับไม่อาจแต่งได้
จัวอี้เฉินเข้าสกุลเจียงมา เจียงซิ่วคิดว่าระยะห่างระหว่างตนกับเฉิงหลิงหลานยิ่งก้าวเดินยิ่งห่างไกล ความเป็นไปได้ยิ่งมายิ่งตกต่ำ คิดมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาก็ปรากฎความเฉยชาขึ้นมา
หลินเย่หลิงกล่าวอย่างแปลกใจ “แม่รู้สึกว่าลูกยังไม่มีความสุข?”
เวลานี้ไม่ควรจะภาคภูมิใจหรอกหรือ?
คิดมาถึงตรงนี้กำลังคิดจะเปิดปากพูด เครื่องบินพลันมีสัญญาเตือนดังขึ้น ติ๊ดติ๊ดติ๊ด ผู้คนในตัวเครื่องพลันลุกขึ้นอย่างตื่นตระหนก แอร์โฮสเตสวิ่งมากล่าวว่า “คุณชายเจียง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว พวกเราการแจ้งเตือนจากแผงควบคุม บอกว่าท้องฟ้าปรากฎฝูงนกบิน พวกเราจำเป็นต้องลงจอดฉุกเฉิน”
“นกบิน?”
เรื่องตลกอะไรกัน ความสูงของเครื่องบินเทียบกับนกแล้วสูงกว่ามาก แต่เจียงซิ่วกลับนึกถึงอะไรขึ้นมาได้ คิ้วขมวดเข้าหากัน เอ่ยถาม “ที่นี่ถึงที่ไหนแล้ว?”
แอร์โอสเตสมองหน้าจอ “ใกล้จะถึงเสินไห่แล้ว ห่างจากเจียงหนานอีกสักชั่วโมง”
“พวกเราจำเป็นต้องบังคับจอดบนเสินไห่”
เจียงซิ่วกล่าว “ไม่เป็นไร ไปต่อเถอะ”
แอร์โฮสเตสเบิกตามองค้าง “คุณชายเจียง นี่ไม่ใช่เรื่องตลกนะ บนท้องฟ้าแม้เพัยงชนกับนกตัวเล็กๆ เครื่องบินก็อาจจะทะลุ จากนั้นก็จะทำให้เกิดเครื่องบินตกได้ พวกเราลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินเสินไห่ นั่งรถกลับหังโจวก็ใช้เวลามากกว่าสองชั่วโมง”
เจียงซิ่วกล่าว “ฉันต้องไปดูนกที่บินอยู่ วางใจเถอะ ไม่เกิดเรื่องแน่นอน”
แอร์โฮสเตส “เรื่องนี้…”
เธอหันไปขอความช่วยเหลือจากหลินเย่หลิง เจียงซิ่วเป็นคนเช่นไร พวกเขาย่อมต้องเข้าใจดี ถึงจะไม่กล้าขัดขืน แต่เรื่องที่เกิดบนเครื่องบินไม่ใช่เรื่องตลก ต้องฟังคำสั่งของกัปตัน
หลินเย่หลิงเชื่อมั่นในตัวลูกชายอย่างไม่มีข้อแม้ วันนั้นเธอเห็นเองกับตาว่าเจียงซิ่วบินผ่านหน้าผาตอนที่ต่อสู้กับทรราชย์จี้ การต่อสู้ครั้งนั้นราวกับสนามรบของเทพเจ้า ผืนนภาท้องปฐพีถูกพิชิตโดยคนอย่างพวกเขานานแล้ว
เจียงซิ่วกล่าว “ไปเถอะ แจ้งกัปตัน รักษาเส้นทางบิน”
แอร์โฮสเตสวิ่งกลับไปบอกกัปตันเครื่องบิน
กัปตันเครื่องบินคือกัปตันสูงวัยที่ใกล้จะเกษียณอายุ ได้หวังซินถงคว้าตัวมาด้วยเงินเดือนสูงลิ่ว เมื่อได้ยินคำยืนกรานของเจียงซิ่ว ถึงขนาดอยากไปดูนกบิน ถึงกับหัวเราะออกมาตรงนั้น ที่นี่คือบนเครื่องบิน แสดงท่าทีนายน้อยเจ้าอารมณ์อะไร ทั้งยังอยากมาดูนกบนท้องฟ้า?
เขาวิ่งไปหาเจียงซิ่วด้วยตนเอง
เจียงซิ่วกล่าว “บนเครื่องบินนี้ นับกัปตัน ทีมแพทย์ แอร์โอสเตส พ่อครัวรวมกันได้หกคน นอกจากนั้นก็มีแม่ฉันอยู่ด้วย คุณคิดว่าฉันจะเอาชีวิตของแม่ฉันเองมาล้อเล่นหรือ?”
กัปตันกล่าวอย่างไม่มีทางเลือก “เช่นนั้นก็ดีแล้วครับ!”
ที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะเชื่ออยู่สักหน่อย ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเป็นพันเมตรกลับมีนกบินอยู่ หากเกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นจริง เช่นนั้นสายการบินทั้งโลกล้วนต้องหยุดบินแล้ว
ทว่าไม่นานเท่าไร เขาก็เห็นสัญญาณสีแดงปรากฎขึ้นไปทั่วบริเวณ
“ติ๊ดติ๊ดติ๊ด…”
ภายในทั้งตัวเครื่องบิน เสียงสัญญาเตือนดังขึ้นไม่หยุด
的起码有数百啊。”
เจียงซิ่วเดินมาถึงแผงควบคุม กัปตันชราสีหน้าขาวซีดไปทั้งหน้าแล้ว ร้องออกมา “พระเจ้าช่วย นี่มันมีมากน้อยเท่าไรกัน ดูจากจอมอนิเตอร์ จุดสีแดงหนาแน่นมาก อย่างน้อยก็มีไม่ต่ำกว่าร้อยตัว”
“คุณชายเจียง ทำอย่างไรดี?”
คลองสายตาของเจียงซิ่วทอดไปยังท้องฟ้าที่ก้อนเมฆขาวปั่นปวนอยู่ไกลออกไป บนท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยนกจำนวนนับไม่ถ้วน คำนวณดูแล้วจำนวนไม่ต่ำว่าแสน หรืออาจจะถึงขนาดมากกว่าหนึ่งล้านตัว
พระเจ้าช่วย
“คุณพระช่วย…”
ถูกทำให้ตกใจเข้าแล้วจริงๆ อยู่ห่างออกมาไกลยิ่งนักกลับยังได้ยินเสียงร้องของนกดังอย่างต่อเนื่อง
“ทำอย่างไรกันดี?”
เจียงซิ่วเพียงกล่าวอย่างสงบ “ฝ่าผ่านไป!”
นัยน์ตาของเขาพลันสาดประกายเย็นเยียบดุดัน สายตามองผ่านฝูงนกอันหนาแน่น ใจกลางของฝูงนกที่บินมาอย่างไม่หยุดหย่อน ในความลึกล้ำนั้นปรากฎลำแสงเรืองรองวาบผ่านไม่หยุด ค่ายกลดาบฉายผ่านไม่หยุด ราวกับอยู่ต่อหน้ามิติเวลา มีดาบยาวเล่มหนึ่งตัดผ่านมิติเวลานั้น
“เอ๊ะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
และฝูงนกด้านล่างก็ราวกับว่ารวมพลังของมิติเวลา ราวกับว่าต้องการจะพังทลายท้องฟ้าอย่างนั้น
“อ๊ะ!!”
คนบนเครื่องบินและฝูงนกร้องเสียงดังออกมาในตอนเคลื่อนที่ผ่านกัน ความรู้สึกเช่นนี้ ราวกับเข้าสู่ถ้ำค้างคาว ถูกค้างคาวฝูงใหญ่ฟาดใส่หน้า
ทว่าฝูงนกราวกับว่าต้องการหลบเลี่ยง ในตอนที่เครื่องบินกำลังจะฝ่าผ่านไป ฝูงนกค่อยๆ บินหลบ เห็นเป็นเครื่องบินลำใหญ่บินผ่านฝูงนกไป ท้ายที่สุดไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
“แฮ่กแฮ่ก…”
คนในเครื่องบินล้วนหวาดกลัวจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม
“ไม่มี ไม่มีปัญหาจริงๆ!”
เจียงซิ่วชำเลืองมองกลับมา ก็เห็นเพียงดาบที่ทะลุออกมาจากมิติเวลาเล่มนั้น นกที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่กี่ตัวพลันพุ่งเข้าไป โจมตีอย่างบ้าคลั่ง เข่นฆ่าฟาดฟัน ขนนกร่วงหล่นทั่วท้องฟ้า ฝูงนกทั้งฝูงพลันกระจัดกระจายหลบหนี สถานการณ์ของการต่อสู้แผ่ขยายอย่างรวดเร็ว นกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งชนไปด้านหนึ่ง ตกตายคาที่ร่วงหล่นจากท้องฟ้าทันที
และในใจกลางสถานการณ์สะเทือนขวัญยิ่งกว่า มีสิ่งหนึ่งได้รับการปกป้องอยู่ ไม่ว่านกตัวใดพุ่งผ่านไปล้วนถูกฆ่าไม่มีละเว้น ที่นั่นดูเหมือนว่าจะมีราชาของฝูงนกอยู่
“อย่าบอกนะว่า นั่นคือดาบแสงฟ้าดิน?”