Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 325
บทที่ 325
เหนือเซียน
สีหวูเซีย >> ซือหวูเซี่ย
เงาร่างนั้นก้าวออกมายืนอยู่กลางลานในถ้ำ ผมดำขลับละเอียดราวกับเส้นไหมร่วงลงมา เสื้อคลุมหลวมโพรกสะบัดพลิ้ว ทุกคนตกตะลึง ดาบเรียวยาวเล่มนั้นฟันลงจังหวะหนึ่ง ในถ้ำที่อยู่เบื้องหลังร่างนั้น เต็มไปด้วยเสียงนกและแมลงดังอื้ออึง แสงสีขาวเย็นยะเยือกจากดาบพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
ลำแสงเหมือนมีจิตวิญญาณมันตกลงหน้าเท้าของผู้มาเยือน คนผู้นั้นก้าวเดินไปข้างหน้าอีกก้าวอย่างไม่ลดละ เหยียบบนลำแสง เวลานี้ ฝูงชนจึงเห็นชัดเจน ในลำแสงนั้นคือดาบยาวเล่มหนึ่ง
คนผู้นั้นเหยียบบนดาบ ดาบยาวเล่มนั้นค่อยๆลอยขึ้นมา
“คุณพระ!”
“คุณพระช่วย”
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนพูดไม่ออกได้แต่อุทานขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างอย่างตกตะลึง สุสานหลุมหนึ่งที่อยู่ตรงหน้า กำลังทำให้คนตกใจ และตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง
ดาบยาวเพิ่มความยาวไม่หยุด จากที่สูงจากพื้นหนึ่งเมตร บัดนี้ยาวขึ้นเป็นสิบสองสิบสามเมตร กระแทกลงมาอย่างแรงในทันที ตรงขึ้นไปยังเส้นขอบฟ้า คนผู้นั้นกับดาบกลายสภาพเป็นแสงสว่างจ้าจนตาพร่า ชั้นเมฆหมอกกลับมาอีกครั้ง
ตกตะลึง ช่างน่าตกตะลึงจริงๆ
“มีดบินหยูเจี้ยน นี่คือมีดบินหยูเจี้ยนที่เล่าลือกัน”
“เซียนดาบในตำนาน เซียนดาบในตำนาน”
ที่หุบเขาซีเฉียว เซียนดาบเป็นที่เล่าลือกันมานานกว่าสองพันปี เล่าลือไปทั่วทุกสารทิศ แต่ว่า แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้ เซียนดาบท่านหนึ่งปรากฎกายออกมาอยู่ตรงหน้าพวกเขา
มองบรรพบุรุษเซียนดาบกลับไปกลับมา ลอยลงมาสู่พื้น สายลมเซียนพัดมาหอบหนึ่ง ทำให้อดตื้นตันใจไม่ได้ “ปรมาจารย์ ท่านบรรลุแล้ว บรรลุแล้วจริงๆ?”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าปรมาจารย์ไม่ใช่ใครอื่น ก็คือ*นายกรัฐมนตรีในตำนาน ขอบเขตการต่อสู้ของนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อหกสิบปีก่อนเป็นตัวแทนของซือหวูเซี่ย
*ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของรัฐบาลจีน รองจากประธานาธิบดี
ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นอย่างมาก
“ใช่ บรรลุแล้ว เป้าหมายสูงสุดคือการเข้าใจทุกสรรพสิ่ง ทำมีดบินหยูเจี้ยนได้แล้ว” ที่ข้างกายเขาเหมือนมีดาบที่ส่องแสงเป็นประกายตลอดเวลา คนที่อยู่รอบๆไม่กล้าเข้าไป กังวลว่าจะถูกดาบทำอันตรายจนบาดเจ็บได้
“ขอแสดงความยินดีกับปรมาจารย์ ยินดีกับปรมาจารย์……”
ซือหวูเซี่ยแหงนหน้าหัวเราะ ไฟฟ้าเป็นประกายในดวงตา คึกคะนองและแข็งแรง ช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย มองเขาอย่างระแวดระวัง ผิวเนียนละเอียดราวหยกขาว เลือดเนื้อใต้ผิวกายเปล่งประกายสดใส ราวกับว่าทุกคนตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน
“ขอบังอาจถามปรมาจารย์ ตอนนี้ท่านอยู่ระดับใด?”
ซือหวูเซี่ยพูด “*ตี้เซียนห้าร้อยปีก็บรรลุแล้ว ข้าเข้าสู่การบำเพ็ญสายจินตัน…..เหนือ*ขุนพลสวรรค์ ต่ำกว่า ขุนพลนรก”
*ลำดับชั้นเซียน ตี้เซียน (地仙) เมื่อพลังยินเปลี่ยนไปเป็นพลังหยางอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร น้ำดื่ม หรือเสื้อผ้า ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาศัยอยู่ในโลก
*จากวรรณกรรมเรื่องซ้องกั๋งกล่าวว่าบนสววรค์มีสามทัพ แบ่งเป็น36 ขุนพลสวรรค์ (三十六天罡)
72 ขุนพลนรก (七十二地煞)และ ห้ากองพลรักษามณฑลพิธี (五營神兵)
ทั้งหมดได้แต่มองหน้ากันไปมา เดิมทีก็ฟังไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับการได้ยินเรื่องนี้จากในหนังสือ
แต่นี่ไม่ได้ขวางความตกใจที่อยู่ในใจของพวกเขา
ตี้เซียนห้าร้อยปีก็บรรลุแล้ว พูดได้ว่า ปรมาจารย์เป็นมากกว่าเซียนแล้ว และใช้ชีวิตอยู่เหนือกว่าเซียนระดับสูง ในปีนั้นรอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ โลกภายนอกยังคิดว่าปรมาจารย์เป็นครึ่งเทพ หารู้ไม่ว่า ตอนนั้นเป็นเซียนแล้ว ต้องเป็นเซียนเท่านั้นจึงจะรอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ฟิวชั่น ร่างกายมนุษย์กึ่งเทพจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ตอนนั้นภัยคุคามอย่างระเบิดนิวเคลียร์ยังไม่สามารถกล้ำกรายได้ ขณะนี้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น ปัจจุบันบนโลกมนุษย์นี้ ยังจะมีอะไรเป็นภัยคุกคามเขาได้
“ปรมาจารย์จงเจริญ!”
“การแก้แค้นใช้คงเอ๋อร์มีทางออกแล้ว”
ซือหวูเซี่ยกวาดสายตาไปทั้วลานนั้น พูดว่า “แก้แค้น?แก้แค้นอะไร?เป็นไปได้ว่า มีคนกล้ามาหาข้าที่วังดาบซีเฉียวเพื่อรบกวนอะไรบางอย่าง?”
“ปรมาจารย์ ท่านต้องแก้แค้นให้คงเอ๋อร์”
หนึ่งในชายชรา แทรกออกมาแล้วคุกเข่าลงอย่างน่าสงสาร ผมของเขาป็นสีขาวราวกับขี้เถ้า ยังมีน้ำมูกน้ำตาเปรอะเปื้อน
“คงเอ๋อร์ ที่เจ้าหมายถึงคือเจ้าเด็กที่ความสามารถไม่ธรรมดาคนนั้นหรือ?”
“ใช่ขอรับ เมื่อสิบปีก่อน ก่อนที่ท่านจะปลีกตัวไปบำเพ็ญเพียรก็เคยพบ ว่ากันว่าเขาเป็นเด็กอัจฉริยะ เขาเติบโตแล้ว บรรลุเป็นถึงกึ่งเทพ แต่กลับถูกคนสังหารไปแล้ว”
ซือหวู่เซี่ยตกใจอย่างมาก อนุมานช่วงเวลา เจ้าเด็กนั่นจนถึงตอนนี้ก็ยี่สิบกว่าปี ยี่สิบกว่าปีของกึ่งเทพ ความสามารถนี้หายากมากร้อยปีจึงจะเห็นครั้งหนึ่ง เพื่อพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเขาในเวลานั้นถูกต้อง เจ้าเด็กนี่เก่งมาก หากว่าทำให้คืบหน้าก็สามารถปลูกฝังได้ จะได้สืบทอดในอนาคต แต่ตอนนี้กลับถูกคนอื่นสังหารเสียแล้ว “ช่างกล้านัก!”
ซือหวู่เซี่ยเกรี้ยวกราด คนที่อยู่ที่ลานนั้นล้วนหวาดกลัวจนตัวสั่น
“เป็นผู้ใดสังหารเขา?”
ชายชราที่คุกเข่าร้องไห้พูดว่า “เป็นเจียงลั่วเซี่ยขอรับ เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบมา มันกับคงเอ๋อร์มีเรื่องขัดแย้งกัน คงเอ๋อร์เพียงแค่กระทบกระทั่งกับมัน คงเอ๋อร์ถึงกับคุกเข่าขอร้องมัน แม้แต่กับท่านปรมาจารย์ มันก็ไม่สำนึกต่อการตายของคงเอ๋อร์”
ซือหวู่เซี่ย “เจียงลั่วเซี่ย?”
“ใช่ขอรับ บุคคลนี้อันตรายอย่างมาก แข็งแกร่งอย่างยิ่ง พวกเราล้วนไม่กล้าตามหาเขาเพื่อแก้แค้น เพียงหวังว่าปรมาจารย์จะทวงคืนความยุติธรรม ตอนนี้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอันดับหนึ่งในประเทศ สังหารอย่างไร้ปรานี ปิดประตูสวรรค์ โลกภายนอกร่ำลือว่ามันเป็นเทพ!”
ซือหวู่เซี่ยพูด “เทพ?ถ้าเป็นเช่นนั้นก่อนลงมือ ต้องคอยหลีกเลี่ยง ตอนนี้ ความแตกต่างของเขากับมนุษย์เป็นอย่างไร?”
เวลาล่วงเลยไปจนเย็นย่ำ เฉิงหลิงซูกลับบ้านแล้ว ยามที่อยู่คนเดียว ใบหน้าของเจียงซิ่วเยือกเย็นอย่างมาก เฉิงหลิงซูชินแล้ว “เจียงซิ่ว พ่อกับแม่ของนายให้ฉันมารับ”
เจียงซิ่วกำลังอ้าปาก วิญญาณผีอย่างเฉิงหลิงซูก็พูดเพิ่มอีกประโยค “พ่อตากับแม่ยายอยู่ที่นั่นแล้วนะ”
ปีใหม่จนถึงตอนนี้ เจียงซิ่วไม่เคยไปบ้านของชายชราเพื่อฉลองปีใหม่ พูดไม่ได้ว่า ธรรมชาติของเจียงซิ่วจะไม่ทำให้เฉิงหลิงซูขายหน้า แต่หลินเย่หลิงกับเจียงอี้ไปแล้ว เขาก็ต้องไป เฉิงหลิงซูทำให้เขาหมดหนทาง ยังมีหลินเย่หลิงกับเจียงอี้ที่บังคับเขา
เจียงซิ่วพูดได้แค่เพียง “ก็ได้!”
เฉิงหลิงซูพูด “งั้นนายก็รีบหน่อย สายแล้ว ฉันไปรอที่รถนะ” ตอนนี้ซูซู่ไม่มีอะไรทำก็ขับรถ ไม่ก็เดินเล่น
เจียงซิ่วไปอาบน้ำอย่างไม่รีบร้อน ประมาณสิบนาทีจึงออกไปยังที่จอดรถ
“เรื่องที่ฉันแต่งเมียน้อย พี่สาวของเธอรู้รึเปล่า?”
เฉิงหลิงซูพูด “ไม่รู้หรอก ทำไม?นายกลัวพี่สาวฉันหรอ?ใช่สิ นายเชื่อฟังเธอมาตั้งแต่เด็ก หากรู้ว่านายแต่งเมียน้อย เธอต้องไม่ปล่อยนายไปแน่นอน”
เจียงซิ่วรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก
“วางใจเถอะ ฉันไม่พูดหรอก”
เจียงซิ่วมองเธอแวบหนึ่ง ใบหน้างดงามสมบูรณ์แบของเฉิงหลิงซูไม่แสดงออกแม้แต่น้อย “ไม่พูดจะดีที่สุด เธอก็ไม่ต้องพูดถึงฉันต่อหน้าเขาจะดีที่สุด”
เฉิงหลิงซูอดไม่ได้ที่จะหันไปมองเขาแวบหนึ่ง เธอไม่เข้าใจว่าคำพูดของเจียงซิ่วหมายความว่าอย่างไร ใบหน้าของเขาดูเฉยเมยไม่สนใจอะไร หากพูดถึงตระกูลเฉิง เจียงซิ่วมีความรู้สึกดีกับใครนิดหน่อย ก็ควรจะเป็นพี่สาวนี่ละ ตัวเองปฎิบัติต่อเขาเหมือนอย่างเคย คุณแม่ไม่สนใจเขา คุณพ่อแม้ว่าจะไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ในใจก็ไม่มองเขาเลย มีเพียแค่พี่สาวที่นับว่าจริงใจต่อเขาจริงๆ
“ได้ เธอไม่ถาม ฉันไม่พูด”
พูดจบ ซูซู่พูดว่า “สิ่งของในถุงเป็นของนาย”
“อะไร?”
ซูซู่พูด “นายลองเปิดดูสิเดี๋ยวก็รู้”
เจียงซิ่วหยิบขึ้นมา ค่อนข้างหนัก เปิดออกดูเป็นเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เป็นเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองที่ให้เธอซัก “เธอหมายความว่าอะไร?”
เฉิงหลิงซูพูด “”ช่วยนายซักให้สะอาดไง
นี่คือการที่เธอไปเดินหาในห้างที่เมืองจักรพรรดิและที่เจียงหนาน
“จากนี้ เสื้อผ้าของนาย ฉันจะช่วยนายซักเอง”
เจียงซิ่วไม่เข้าใจเล็กน้อย ทำไมจู่ๆพฤติกรรมก็เปลี่ยนไป ปกติก็อยู่เฉยๆ ไม่ดึงไม่ตีก็ไม่ขยับ คิดในใจ หรือว่าเป็นเพราะค้นพบว่ามีจัวอี่เฉินทำให้เธอมีความรู้สึกว่าถึงคราววิกฤติ?
“ฉันไม่ชอบซักโดยใช้เครื่องซักผ้า!”
“ฉันใช้มือซัก”
รถขับไปอย่างมั่นคง เฉิงหลิงซูในแง่มุมนี้ก็ไม่บกพร่อง เธอไม่เพียงแต่เป็นผู้หญิงที่ชนะผู้หญิงทั่วไป ที่โดดเด่นยิ่งกว่าก็คือจิตใจของเธอ สภาพจิตใจไม่เลวเลย มือใหม่หัดขับไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
รถขับเข้าไปในเมืองเขตชุมชนใหม่แห่งหนึ่ง บ้านเก่าขายไปแล้ว และยังอยู่ที่เดิม การก่อสร้างนี้เป็นรูปแบบที่เธอเองเป็นคนริเริ่ม ปล่อยไว้ชุดหนึ่งจะดีท่สุด
วิลล่าในชุมชนขนาดเล็ก ไม่เงียบสงบมากเหมือนวิลล่าอื่น และก็ไม่มีเสียงรบกวนเหมือนชุมชนขนาดเล็กที่อื่น มีประโยชน์เพียงพอแล้ว
รถเพิ่งจอด บนตึกมีก็สิ่งของโยนลงมา สาวสวยคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียงยิ้มให้พวกเขา “พวกเธอสองคนมาช้าจะตาย ฉันหิวจะแย่แล้ว”
ผู้หญิงคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่เฉิงหลิงหราน
มองเห็นเธอ สายตาของเจียงซิ่วถูดดึงดูดอย่างลึกซึ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความรู้สึกในชาติก่อน หรือเป็นเพราะประโยคที่เหมือนมาขโมย ยิ่งรับสิ่งของไม่ได้ยิ่งทำให้มีสเน่ห์
เฉิงหลิงหรานพูด “รีบเข้ามา” ตัวเองก็หมุนตัวเข้าห้องไป เดินตึงตังลงมาจากตึก
“ในที่สุดปีศาจน้อยก็มาถึง”
เป็นซุนเสี่ยวหงที่เปิดประตู “เสี่ยวซิ่วมาแล้ว รีบๆเข้ามา รถที่ซูซูขับ ทำให้คนหวาดกลัวเสมอ” ข้างในเฉิงฮ่านหลินก็ออกมาแล้ว ในมือถือไม้เท้าก็สามารถเดินได้ตามปกติ
เมื่อเข้ามาในห้อง เฉิงหลิงหรานแอบพูด “เด็กเลวตัวน้อย นายซื้อสร้อยปลอมให้ฉันใช่ไหม”
“หืม?”
“ยังจะเสแสร้ง ฉันเห็นของแท้ในอินเทอร์เน็ตราคาห้าร้อยล้านยูโร”
เจียงซิ่วพูด “พี่สาว…..”
“พี่สาวอะไรกัน นายนี่ตลกนะ ฉันดีกับนายขนาดนี้ กลับซื้อของปลอมมาหลอกฉัน” เฉิงหลิงหรานทำท่าโกรธเกรี้ยว กับทัศนคติท่าทางที่เรียบร้อยของเจียงซิ่ว
“สร้อยนั่นล่ะ?”
“พอฉันโกรธก็โยนทิ้งไปแล้ว”
เจียซิ่ว “……..”
การให้อภัยเป็นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ของเทพเจ้า เดิมทีไม่ใช่เรื่องเงิน แต่พอได้ยินประโยคนี้ ในใจกำลังถูกกรีดจนเลือดไหล