Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 334
บทที่ 334 อาวุธนิวเคลียร์
สำนักงานใหญ่ประชุมปรึกษาเร่งด่วน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรบ้าง แต่ถ้าหากไม่มากนัก ผลลัพธ์ก็อาจมองเห็นได้ เพื่อยับยั้งผลลัพธ์ที่ยากจะจินตนาการ จึงเลือกนักรบที่ยอมเสียประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
คนตายส่วนหนึ่ง ทำลายไปเมืองหนึ่ง พื้นที่ทั้งหมดตกอยู่ในมือของศัตรูแล้ว
ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจรับข้อเสนอแนะของเหลียวตง เปิดใช้งานอาวุธนิวเคลียร์!
และการต่อสู้ในสนามมาถึงขั้นรุนแรงแล้ว คนทั่วไปล้วนไม่รู้ว่าเวลานี้ทางรัฐบาลได้ตัดสินใจทำเช่นนี้ ยังคงปกป้องศักดิ์ศรีของมนุษยชาติและต่อสู้อย่างไม่เสียดายชีวิต
แน่นอนว่ามีคนส่วนน้อย ที่เข้าใจสถานการณ์และวางแผนอพยพ ท่ามกลางความมืดหัวหน้าทีมตระกูลหนานกงกำลังรับส่งผู้รอดชีวิตจากซากปรักหักพัง ไฟสงครามที่สัญจรบนท้องนภา เปลวเพลิงสว่างวาบไปทั่วท้องฟ้าฝั่งนี้ เขาจึงมองเห็นลักษณะส่วนใหญ่ได้ชัดเจน แต่ว่า ในห้างสรรพสินค้า เขาประมาณคร่าวๆว่ามีคนอยู่ พวกเขาจะเป็นอย่างไรบ้างจะรวมตัวกันกี่คน
ในเวลาที่เจียงซิ่วผ่านถนน หัวหน้าทีมหยุดแล้วลงมา มีความรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ทว่า กลับไม่กล้าผลีผลามเข้าไป ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ละเอียดอ่อน ความใกล้ชิดใดๆ ล้วนทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้
เขาเลือกที่จะส่งเสียงขึ้นมาก่อน “ขอถาม คุณคือ…เจียงซิ่วใช่ไหม?”
คนที่เดินผ่านไปมาล้วนมองข้ามไป ระหว่างนั้นมีคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดของแสงไฟ เป็นหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี แต่ว่า หนวดเคราของเขาคล้ายกับคำบอกเล่าเล็กน้อย ไม่เหมือนเสียทีเดียว ใบหน้าเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
เจียงซิ่วค่อนข้างประหลาดใจ มีคนตามหาตัวเองได้อย่างไร เป็นไปได้ว่าเป็นคนของ Tianxing Bio Group ไม่สิ ถ้าหากเป็นคนของ Tianxing Bio Group พวกเขาต้องไม่กล้าเรียกชื่อตรงๆ แต่จะเรียกว่าคุณเจียงซิ่ว “คุณคือ….”
หัวหน้าทีมยินดีมาก “เป็นคุณจริงๆ ถือว่าหาคุณพบแล้ว ผมคือเทพสงครามแห่งสรรพชีวิต”
“เทพสงครามแห่งสรรพชีวิต?”
ใบหน้าเจียงซิ่วเลื่อนลอย ตนเองไม่เคยได้รับการติดต่อมาก่อน
“อา ก็คือตระกูลหนานกง คุณหนูของพวกเราให้พวกเราตามหาคุณ ตอนนี้ที่นี่อันตรายมาก จำเป็นต้องอพยพโดยเร็ว คุณรีบไปกับพวกเราเถอะ”
เจียงซิ่วพูด “ตระกูลหนานกง คุณหนูของพวกคุณคือหนานกงโค่วเอ๋อร์?”
“ถูกต้อง!”
เจียงซิ่วพูดอย่างประหลาดใจ “เธอก็อยู่ที่นี่ด้วย?” เธอเป็นเด็กสาวบอบบางและอ่อนแอคนหนึ่ง มาทำอะไรที่นี่?
“ถูกต้อง รีบไปกับพวกเรา พวกเรามีเวลาอพยพเพียงแค่สิบนาทีแล้ว”
เจียงซิ่วส่ายหัว “ฉันยังมีธุระ พวกคุณอพยพออกไปก่อนเถอะ”
เดิมทีเขาตั้งใจจะปกปิดตัวตนกับหนานกงโค่วเอ๋อร์ แม้แต่ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งก็ตาม เขาหวังว่าจะบริสุทธิ์ใจสักหน่อย บางครั้งการฝึกฝนเป็นเซียนต้องเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์อันสมบูรณ์แบบ ไม่หวังเพียงเพราะตำแหน่งลาภยศ แม้แต่ความปราถนาดั้งเดิมที่สุด ก็แปรเปลี่ยนเป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง แต่เรื่องราวของจัวอวี่เฉินหลังจากปะทุนั้น เขาตระหนักได้ว่ามันยากมากที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า คุณหนูโค่วเอ๋อร์ยังไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตัวเขาเอง
แต่ว่า ไม่ควรปล่อยไว้ให้ค้างคา
หัวหน้าทีมเร่งเร้า “คุณหนูโค่วเอ๋อร์กำลังเป็นห่วงคุณมาก พวกคุณถูกโจมตีที่ห้างสรรพสินค้า เธอก็จะวิ่งมาช่วยคุณ ตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วน เธอต้องการให้พวกเราใช้เวลาในสิบนาทีตามหาคุณ คุณอย่าทิ้งความตั้งใจที่ดีของเธอเลย”
ในใจของเจียงซิ่วคิดว่า เธอคงไม่หลอกลวงเขาหรอกกระมัง หรือว่ารู้สึกว่าการจะหาพันธมิตรระยะยาวสักคนหนึ่งเช่นนี้นั้นไม่ง่าย หรือว่าจะเป็นโรค *mysophobia ใช้ของเหมือนๆกันใช้บ่อยเข้าก็ไม่อยากเปลี่ยน?
*โรคกลัวความสกปรกและเชื้อโรค
เจียงซิ่วส่ายหน้าแล้วพูด “ไปไม่ได้ คุณกลับไปเถอะ ที่นี่ยังมีธุระไปไม่ได้หรอก”
หลี่เยียนพูดเสียงขึ้นจมูกด้วยความชิงชัง “เขาไม่ไปแน่นอน เสี่ยงอันตรายมากมายก็เพื่อเข้ามาตามหาสมบัติ พอเห็นว่าสมบัติเซียนจะถือกำเนิด เขาจะตัดใจไปได้อย่างไร”
“เฮอะ…..”
เจียงซิ่วแค่นหัวเราะเยียบเย็น ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับคำพูดนั้น
หัวหน้าทีมทำอะไรลำบากแล้ว เขาถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว เหตุการณ์ใกล้เข้ามาทุกขณะ เขาหยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมา สัญญาณตีกันยุ่งเหยิงแต่เขาพยายามพูด “คุณหนู หาคนพบแล้ว แต่ไม่แน่ใจ กรุณาระบุด้วยครับ”
หนานกงโค่วเอ๋อร์ในเวลานี้รีบดึงตัวขึ้นมา ได้ยินสัญญาณตีกันของวิทยุสื่อสาร ในใจบังเกิดความยินดี เธอหาเจอแล้ว แต่สัญญาณในสนามรบตีกันซับซ้อนเกินไป ได้ยินเพียงว่ามีคนตะโกน แต่กลับฟังไม่ชัด เธอปรับจูนแก้ไขหลายครั้งจึงได้ยินชัดเจนประโยคหนึ่ง เขาไม่แน่ใจ
เฮ้อ เจ้าบ้านี่จะมาอยู่ใช่ไหม ไม่รู้รึว่าที่นั่นอันตราย
“อยู่ไหน?”
เธอมองเวลา รีบเร่งไปตามสัญญาณของหัวหน้าทีมทันที ระยะทางไม่ไกลจากตำแหน่งของเธอ ไม่นานก็ถึงแล้ว
“เจียงซิ่ว!”
ได้ยินเสียงตะโกน ใบหน้าของเจียงซิ่วค่อยๆ มองข้ามไปอย่างอ่อนโยน เขาพบหนานกงโค่วเอ๋อร์ทุกครั้ง ล้วนต้องทำท่าทีนอบน้อม เห็นแค่คนหนึ่งที่สวมกางเกงยีนส์รัดรูป สาวสวยที่สวมเสื้อแจ็คเก็ตแขนกุดกับเสื้อผ้ารัดรูปจากระยะไกล ไม่ใช่หนานกงโค่วเอ๋อร์แล้วจะเป็นใครได้อีก?
ใบหน้าของเธอภายใต้เปลวไฟ มันสะท้อนสีแดงเล็กน้อย ใบหน้านั้นช่างละเอียดบอบบาง นัยน์ตาคู่นั้นเป็นประกาย กลังจับจ้องมาที่ใบหน้าของเจียงซิ่ว “เป็นนายจริงๆ ฉันคิดว่าฉันมองผิดไปแล้ว นายมาที่นี่ทำไม?ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรอ”
ในมือของคุณหนูโค่วเอ๋อร์ถือกริชเล่มหนึ่ง
คล้ายกับว่ามีความสามารถเพิ่มอีกอย่างแล้ว ครั้งล่าสุดที่ทั้งสองคนออกไปเที่ยวด้วยกันคุณหนูโค่วเอ๋อร์พูดเกี่ยวกับเรื่องฝึกศิลปะการต่อสู้ เธอยังตัดผมของเจียงซิ่วไปด้วย ดูท่าว่าจะอยู่บนสายศิลปะการต่อสู้โดยสมบูรณ์
“เอาละ ออกจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกัน”
เจียงซิ่วพูด “ในเวลานี้ฉันไปไม่ได้ ฉันยังมีธุระ ถ้าเธอกังวลใจ เธอก็ออกไปก่อน หากรอจนสถานการณ์จริงจังกว่านี้ ฉันอาจดูแลเธอไม่ได้”
“เข้าใจแล้ว” คุณหนูคงเอ๋อร์พูดโดยไร้โทสะ “นายมีมนตร์คาถามากมาย? สัตว์อสูรต่างก็ทำร้ายนายไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว? นายยังอยากดูแลฉันอีก? ให้ฉันดูแลนายเถอะ คล้ายๆ กันนั่นแหละ”
ไม่รู้ว่าคุณหนูคงเอ๋อร์ตั้งแต่เด็กเป็นนักรบตัวน้อยพอโตขึ้นกลายเป็นนักรบระดับสูงไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะกล้าดูถูกคน
“อย่ารออีกเลย รีบไปกับฉันเถอะ…..”
คุณหนูโค่วเอ๋อร์กำลังฉุดมือเขาออกไปข้างนอก “ถ้าไม่ไปจะไม่ทันแล้ว ถ้ารอให้เซียวหยวนพ่ายแพ้ นั้นอาจเกิดการตอบโต้การสัตว์อสูรเอาได้ พื้นที่โดยรอบถูกปิด หากถึงเวลานั้นอยากออกไปก็ไปไม่ได้แล้ว”
หลี่เยียนพูด “พวกคุณวางแผนที่จะหนี?ไม่เห็นหรือว่าคนมากมายตรงไปยังภูเขาและต่อสู้ พวกคุณไม่ไปช่วยก็แล้วไป แต่ยังจะอยู่ที่นี่เจตนาทำให้คนอื่นตื่นตระหนกอีก หลบหนีไปเถอะ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง”
โค่วเอ๋อร์หยุดอยู่กับที่ “เธอเป็นใคร?”
เจียงซิ่วส่ายหน้าแสดงว่าไม่รู้จัก
สีหน้าของหนานกงโค่วเอ๋อร์เย็นชาลงทันใด คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหนานกง ไม่ใช่คนที่จะมากลั่นแกล้งได้ “ในเมื่อเธอกล้าหาญนัก ทำไมไม่ไปซะล่ะ *เหตุผลอะไรที่ตัวเองไม่ปราถนา ก็อย่าไปยัดเยียดให้คนอื่น ครอบครัวไม่สั่งสอนบ้างหรือไง?”
*คติธรรมขงจื่อ
หลี่เยียนพอได้ยินดังนั้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดู “เธอกล้าว่าฉันว่าครอบครัวไม่สั่งสอน”
“เชื่อไหมว่า…..”
หนานกงโค่วเอ๋อร์พูด “ทำไม เธออยากมายุ่งกับฉัน?” ในมือเธอถือกริชคมวาววับอยู่
ผู้คุ้มกันข้างกายหลี่เยียนกระซิบเสียงเบา “คุณหนูหลี่ พลังการต่อสู้ของเธอเกิน 1000 เป็นนักรบระดับสูง คนข้างๆ นั่นก็ใช่ พวกเราอาจจะไม่ใช่คู่แข่งของเขานะครับ”
หลี่เยียนรวบผมแล้วพูด “ฉันเป็นคนมีอารยธรรม ฉันจะไม่ยุ่งกับคนป่าเถื่อนอย่างพวกเธอ”
หนานกงโค่วเอ๋อร์เห็นเธอดูหวั่นเกรงและไม่ก้าวร้าวอีก เธอก็ลากเจียงซิ่วเตรียมตัวอพยพ เจียงซิ่วผละออกแล้วพูดว่า “ฉันมีธุระจริงๆ ไปไม่ได้หรอก”
หนานกงโค่วเอ๋อร์พูด “เจียงซิ่ว นายอย่าอายเลย นายคิดซะว่าฉันขอร้องนายเถอะนะ”
“วางใจเถอะ ฉันไม่ทำอะไรหรอก” จากที่ฟังมาเจียงซิ่วมองออกว่าหนานกงโค่วเอ๋อร์กังวลเล็กน้อย สถานการณ์ในขณะนี้อันตรายร้ายแรงอย่างยิ่ง “เธอพูดไม่ใช่หรอว่าฉันเก่ง?”
หนานกงโค่วเอ๋อร์เบิกตากว้างขณะพูด “ฉันเคยพูดตอนไหนว่านายเก่ง คนที่ไร้ความสามารถแบบนายน่ะเหรอ”
เจียงซิ่วกระซิบข้างหูเธอเบาๆ ประโยคหนึ่ง
ใบหน้าของคุณหนูโค่วเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ เจ้าบ้านี่กล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง คำว่าเก่งที่พูดตอนนั้นกับเรื่องที่พูดตอนนี้มันใช่เรื่องเดียวกันเสียที่ไหน? “นายกำลังบ่ายเบี่ยง” สายตาของเธอในยามนี้ช่างน่ารักและมีสเน่ห์เกินห้ามใจ
ในเวลานี้ บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงคำรามกึกก้องของเครื่องบิน
เจียงซิ่วพูดไปหัวเราะไป “ดีจริง ตอนนี้อยากไปก็ไปไม่ได้แล้ว”
หนานกงโค่วเอ๋อร์ได้ยินแต่ไม่ชัดเท่าเขา “ทำไมล่ะ?”
เจียงซิ่วพูด “เครื่องบินทิ้งระเบิดมาแล้ว”
เครื่องบินมาอย่างรวดเร็ว เสียงคำรามกึกก้องดังไปทั่ว หนานกงโค่วเอ๋อร์งุนงงเล็กน้อย “แล้วเป็นยังไง?” ในใจประหลาดใจเล็กน้อย ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้เครื่องบินขับไล่ไอพ่น แล้วทำไมยังใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด
เจียงซิ่วพูด “นี่ไม่ใช่เครื่องบินทิ้งระเบิดธรรมดา ถ้าฉันเดาไม่ผิด บนนั้นน่าจะเป็นอาวุธนิวเคลียร์”
“หา อย่าพูดเหลวไหลนะ อาวุธนิวเคลียร์ต้องปล่อยจากฐานไม่ใช่หรอ?”
เจียงซิ่วพูด “ที่เธอพูดถึงคืออาวุธนิวเคลียร์ในปัจจุบัน กองกำลังของรัฐบาลต้องการใช้ แน่นอนว่าคลังอาวุธต้องถูกใช้ไปก่อนแล้ว นี่สิถึงจะเป็นอาวุธนิวเคลียร์รุ่นเก่า”
ใบหน้าของหนานกงโค่วเอ๋อร์ซีดขาวแล้ว “งั้น งั้นพวกเราทั้งหมดไม่ต้องถูกฝังอยู่ที่นี่หรอ!!”