Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 342
บทที่ 342 การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่
หากพูดตามหลักการแล้ว เธอไม่น่าจะเดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ในเมื่อบ้านยังขายได้ เขาเดาว่าหวังซินตงต้องสูญเสียอิทธิพลแน่เลย แรกเดิมเธอเป็นแค่ลูกศิษย์ธรรมดาของตระกูลหวังคนหนึ่ง เพราะตัวเองดึงดันลากเธอพุ่งทะยานขึ้นฟ้าด้วย คนตระกูลหวังต่างคิดว่าเขาตายแล้ว แต่ตรงกันข้าม
หากผู้นำของตระกูลหวัง หวังเสวียฮายรู้ว่าตอนนั้นเป็นเขาที่ผลักเซี่ยเฟ่ยจี่ตกลงมาตาย ครึ่งเทพของตระกูลหวังต้องฆ่าเขาแน่ๆ อีกอย่างทรัพย์สมบัติก็เป็นเขาที่แย่งชิงในมือของตระกูลหวัง ทรัพย์สมบัติของเจียงซิ่วส่วนใหญ่ก็เอามาจากที่อื่น รวมทั้งกองเงินกองทองของตระกูลเจียงด้วย แต่ตระกูลหวังต้องการเอาคืนทั้งหมดไม่ให้เหลือ
แต่นี้ถือว่าเป็นข่าวดีข่าวหนึ่ง ระยะเวลาเกิดเรื่องก็หนึ่งปีกว่ามาแล้ว หลินเหย่วหลิงขายบ้านเมื่อต้นปีที่แล้ว นั่นแสดงว่าเธอยังมีชีวิตและปลอดภัยอยู่
ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เงินไม่มี ก็สามารถหาใหม่ได้
ในที่สุดเขาก็วางใจได้สักที แต่ก็ยังต้องตามหาเฉิงหลิงหรานและถามเธอให้รู้เรื่อง เมื่อออกจากบ้านคฤหาสน์ เขาก็เรียกรถแล้วตรงไปยังเมืองติ่ตู
เป็นนักเรียนหรือผู้ใหญ่นะ ทำไหมมีเสน่ห์ล้นเหลือขนาดนี้ เด็กนักเรียนยังคงหัวเราะกันอยู่
หล่อจัง
หล่อมากจริงๆ
ด้วยสัญชาติเทพของเจียงซิ่ว ทำให้สัมผัสได้ถึงการชำเหลืองมองของหญิงสาวหลายคน หากจะเปรียบเทียบเจียงซิ่วในตอนนี้กับเมื่อก่อนคงไม่เหมือนกัน เพราะเมื่อก่อนเจียงซิ่วแทบจะไม่มีเวลาดูแลตัวเองเลย แต่ตอนนี้กลับยิ่งหล่อเหลา จนมีแรงดึงดูดมากพอๆกับทองคำเลย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตา รูปร่างล้วนมีเสน่ห์ลึกลับอยากจะค้นหาทำให้ผู้คนยากที่จะหลีกเลี่ยงสายตาได้
ระหว่างที่เดิน เขาค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างหน้าตากลับเป็นเจียงซิ่วคนเมื่อก่อน
ขอโทษ ไม่ทราบว่าเฉิงหลิงหรานอยู่ไหม?
เจียงซิ่วพบกับเพื่อนสนิทสมัยก่อนของเฉิงหลิงหราน
ไม่ทราบว่าคุณคือ อ๋อ ฉันนึกออกแล้ว คุณคือคนที่ดูใจกับเฉิงหลิงหราน… เด็กผู้หญิงที่ชื่อว่าไป๋เฟ่ยยังจำเจียงซิ่วได้ ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งปีกว่าแล้ว แต่เจียงซิ่วเป็นผู้ชายคนเดียวที่เฉิงหลิงหรานรอคอยเสมอมา นับว่าเธอมีความจำดี ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังจำเรื่องต่อไปนี้ได้ด้วย
คนดูใจ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ภายในใจของเจียงซิ่วรู้สึกสุขใจ และพูดว่า : ใช่ แล้วเฉิ่งหลิงหรานอยู่ไหม?
คุณไม่รู้หรอ
มีอะไรหรอ
เฉิงหลิงหรานย้ายที่เรียน และกลับเจียงหนานไปแล้ว ตอนนั้นสภาพแวดล้อมทางสังคมไม่มั่นคง ผู้คนพากันหวาดกลัว การคมนาคนก็ติดขัด คนที่บ้านเธอเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ เลยให้เธอย้ายโรงเรียนกลับบ้านเกิด เมื่อปีที่แล้วนักเรียนลาออกหลายคน คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าเป็นเทพก็จากไปไม่น้อย ทำไหมเฉิงหลิงหรานถึงไม่บอกนายล่ะ? ไป๋เฟ่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ในตอนนั้น สถานการณ์ถือว่าไม่ปลอดภัยจริงๆ กำลังการป้องการของเมืองใหญ่ๆแข็งแกร่งมาก แต่ด้วยพื้นที่ของประเทศจีนมีขนาดใหญ่ จึงปกป้องเมืองเล็กๆหลายเมืองไม่ทั่วถึง รถไฟความเร็วสูงถูกโจมตีจากอสูร แม้แต่เครื่องบินก็ไม่เว้น ด้วยเหตุนี้จึงมีมาตรการไม่ให้บิน สถานการณ์ในตอนนั้นถือว่าเลวร้ายมาก ดังนั้นการย้ายโรงเรียนของเฉิงหลิงหรานถือว่าพอเข้าใจได้
เปล่า ขอบคุณ
หลังจากลาจากไป๋เฟ่ย เจียงซิ่วก็ไปที่มหาลัยจักรพรรดิของตัวเอง เพื่อถือโอกาสผ่านไปดูเพื่อนเก่าของตัวเอง ผลปรากฏว่าไป๋หยินยูกับเฉิ่งหลุนลาออกแล้ว เพราะเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเทพ ส่วนจ้าวอี่เว่ยกับโจวจินยังเรียนอยู่ แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คุณภาพของโรงเรียนด้อยลง แม้ว่าจะมีชื่อเสียงเหมือนเดิม โรงเรียนแทบจะไม่เป็นสถาบันแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ต่างพากันชุมนุมกัน ถ้าทางโรงเรียนไม่รับผิดชอบ นักเรียนคงได้รับอันตรายแน่
เจียงซิ่ว นายไปไหนมา พวกเราคิดว่านายตายไปแล้ว เพราะเหตุการณ์ปีที่แล้วหรือเปล่า โจวจินรู้สึกตื่นเต้นที่ได้พบเจียงซิ่ว
ถุย อย่าพูดมั่วซั่ว จางอี่เว่ยค่อนข้างเป็นคนอ่อนไหวต่อความรู้สึก จะว่าไปมันก็น่าเศร้า ทั้งปีของปีที่แล้ว ถ้าไม่รวมคนสูญหายด้วย ทั้งโลกมีคนตายกว่าหนึ่งล้านคน โดยสัดส่วนของคนตายเป็นคนประเทศจีนครึ่งประเทศ รวมถึงจางอี่เว่ยสูญเสียคนรักไปไม่น้อย
ยุคสมัยสันติภาพ นี้เป็นประโยคที่น่าขัน แต่พอได้ยินตอนนี้ เหมือนเป็นประโยคสาปแช่งเลย
ความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ เจียงซิวเกือบจะหวนนึกถึงแล้ว
นายยังเรียนอยู่ไหม? ฉันเดาว่าโรงเรียนน่าจะยังรักษาสถานะการเป็นนักเรียนของนายอยู่ ถ้านายไปติดต่อฝ่ายบริหารนักเรียนแล้วอธิบายเรื่องราวให้ชัดเจน ก็น่าจะสามารถเข้าเรียนอีกครั้ง เพราะเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้วถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน
เจียงซิ่วส่ายหน้า : ฉันต้องรีบไปเจียงหนานแล้ว
สหาย มีวาสนาค่อยเจอกันใหม่นะ
ถ้ามีโอกาสมาหาฉันที่เจียงหนานนะ
เจียงซิ่วไม่สามารถทิ้งเบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ให้พวกเขาได้ เพราะเขาก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของบ้านเขาเหมือนกัน
ได้เลย
เมื่อจากเมืองหลวง เจียงซิ่วยังต้องไปมหาลัยนานาชาติเพื่อตามหาเฉิงหลิงซู่สักรอบ เฉิงหลิงซู่กับพี่สาวของเธอไม่เหมือนกัน เพราะเธอค่อนข้างรักอิสระ และไม่ค่อยเชื่อฟังคนในบ้านสักเท่าไหร่ เธอไปเรียนที่มหาลัยนานาชาติ เฉิงหลิงซู่เองก็ลาออกเหมือนกัน
กลับไปเจียงหนานทั้งหมดแล้วหรอ
คนเจียงหนานกลับไปเจียงหนานแล้ว คนเมืองหลวงก็ยังอยู่เมืองหลวง เจียงซิ่ววางแผนว่าจะไปหาจั่วยวู่เฉินกับจางอี่เว่ย สองคนนี้ไม่ทีทางที่จะไม่อยู่เมืองหลวง
หน่านกงโค่วเออร์เคยบอกเขาว่าอย่าให้เม่าหรานไปหาเธอ เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ดังนั้นเจียงซิ่วเลยไปหาจั่วยวู่เฉิงก่อน แต่ชิงยวู่ยู่เล่อได้ย้ายบ้านไปแล้ว
คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากไปตระกูลหน่านกง เขาสงสัยว่าเขาต้องผิดคำสัญญากัหบน่านกงโค่วเออร์ตอนแรกแล้ว ตระกูลหน่านกงนั้นเจียงซิ่วเคยไปมาก่อนครั้งหนึ่ง เลยจำทางไปได้
คฤหาสน์ใหญ่โตอะไรขนาดนี้ ประตูถูกล็อคไว้ เจียงซิ่วเดินไปที่กระดิ่งหน้ารั้วกำแพง แต่พอนึกถึงความสวยหยาดเยิ้มของหน่านกงโค่วเออร์ ภายในใจของเจียงซิ่วก็รู้สึกร้อนผ่าวจนรีบร้อน แม้แต่กดกดกริ่งยังรีบร้อนเลย
คนที่เปิดประตูเป็นลุงแก่ๆคนหนึ่ง : ไม่ทราบว่าคุณมาหาใคร?
เจียงซิ่วพูดว่า : ผมมาหาหน่านกงโค่วเออร์
ไม่ทราบว่าเธออยู่ไหม
ลุงประเมินดูเจียงซิ่วสักพัก เวลานี้เจียงซิ่วกลายร่างเป็นคนธรรมดาแล้ว เขาพูดว่า : ไม่รู้ว่าอยู่ไหน งั้นเชิญคุณเข้ามาข้างในก่อน เดี๋ยวผมจะไปถามตากับภรรยาหน่อย
เจียงซิ่วพูดว่า : ผมว่าไม่ต้องไปรบกวนคุณลุง คุณน้าดีกว่า ไปหาโค่วเออร์เลยดีกว่า
ถึงแม้ว่าลุงจะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้เอามาใส่ใจ เพราะหนุ่มสาวไม่อยากเจอผู้ใหญ่ถือเป็นเรื่องไม่แปลก อย่างนั้นก็ได้ รอสักครู่นะ ผมไปถามอาสะใภ้ก่อน
ลุงเชิญเจียงซิ่วเข้ามารอที่ลานบ้าน บอกให้เขารอสักครู่ แล้วรีบไปหาอาสะใภ้อู่ ไม่รู้ว่าวันนี้ดวงซวยหรือเปล่า ผลปรากฏว่าหน่านกงโค่วเออร์ไม่อยู่บ้าน
ต้องการเจอคุณลุงของบ้านผมไหม
เจียงซิ่วส่ายหน้า : ในเมื่อหน่านกงไม่อยู่ งั้นผมไม่รบกวนดีกว่า ขณะที่เขาหันหลังจากไป ก็ได้หยุดฝีเท้าแล้วพูดว่า : อ่อใช่ ผมชื่อเจียงซิ่วนะ ถ้าหน่านกงกลับมา รบกวนบอกเธอว่า ผมยังไม่ตาย ผมกลับมาแล้ว
ลุงพูดว่า : เจียงซิ่ว ได้ ผมจำได้แล้ว
เมืองหลวงไม่มีใครให้หาแล้ว ที่จริงที่นี้ไม่ใช่บ้านของเจียวซิ่วด้วยซ้ำ หลังนั้นเจียงซิ่วก็ไปสนามบิน เพื่อหลีกเลี่ยงเกิดเรื่องน่าอายบนรถโดยสารอีกครั้ง เจียงซิ่วได้นั่งข้างหลังบนเครื่องบิน ระหว่างทางหากเหนื่อยล้าก็นอนตรงนั้นได้เลย
ประมาณช่วงพลบค่ำ เครื่องบินร่อนลงเมืองเจียง
เขารีบไปคฤหาสน์ก่อน แต่คฤหาสน์ถูกขายแล้ว เขารีบไปตึกหอพักขององค์กรบริหารเมืองเจียงต่อ เจียงหยี่พ่อของเขาจะตกตำแหน่งต่ำกว่าสามตำแหน่งได้ยังไง
เวลาตอนนี้เป็นช่วงอาหารมื้อค่ำ มีคนๆหนึ่งกำลังถือกระเป๋าราชการเดินสวนทางเจียงซิ่ว ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็เผยสีหน้าเกร็งๆ : ทำไหมรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาคนๆนี้จัง หรือว่า…
ดวงตาของเขากวาดตามองกลับไปอย่างรวดเร็ว
ลูกชายที่ตายไปของเจียงหยี่หรอ
ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอ
แต่คล้ายกันมาก เหมือนคนๆเดียวกันเลย หรือว่าเขายังไม่ตาย พอคิดถึงตรงนี่ชายวัยกลางคนคนนี้ก็เริ่มสั่นเทา
เมื่อสองปีที่แล้วที่เจียงหนาน คุณเจียงมีอิทธิพลและเลื่องลือมาก แม้แต่เรื่องการแบ่งเขตชายแดนเจียงหนาน ก็ยังไม่มีผู้มีตำแหน่งสูงหรือผู้มีอำนาจมากคนไหนไม่เชื่อฟังเขา
และเขาเองก็เป็นพนักงานราชการของเมืองเจียงเฉิงด้วย และยังพักอยู่ที่ตึกหมายเลขสอง ทำไหมเขาถึงจะไม่รู้จักคุณเจียงล่ะ
คุณเจียง กลับมาแล้วหรอ
เจียงซิ่งไปถึงหอพักของเจียงหยี่ เมื่อเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งดังขึ้น เมื่อประตูเปิดออกกลับเป็นผู้หญิงอายุห้าสิบปีคนหนึ่ง เจียงซิ่วไม่รู้จัก : ขอโทษนะ คุณมาหาใครค่ะ
ที่นี้คือบ้านของตระกูลเจียงไหม
ผู้หญิงคนนี้ส่ายหน้า จากนั้นเหมือนนึกอะไรออก และพูดว่า : อ๋อ คุณคงหมายถึงเลขาเจียงคนที่เป็นอดีตตำแหน่งเลขาของเจียงเฉิงสิน่ะ เขาย้ายไปแล้ว ย้ายไปตั้งนานแล้ว
ที่นี้เป็นตึกหมายเลขสาม สถานที่ทำงานของเมืองเจียงโดยเฉพาะ ถ้าย้ายออกไปคงเป็นไปได้อยู่ทางเดียวคือย้ายออกไปทำงานที่อื่น
ขอโทษนะ ย้ายไปไหน
ผู้หญิงพูดว่า : อ๋อ ใช่สิ คุณเป็นอะไรกับเขาหรอค่ะ
เจียงซิ่วพูดว่า : ผมเป็นลูกชายของเจียงหยี่
ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แม้แต่คุณเจียงที่อยู่เบื้องหน้า ผู้ที่มีอิทธิพลใหญ่ของครอบครองเมืองเจียงหนุ่งปีกว่า ผู้หญิงคนนี้ส่ายหน้าพูดว่า “ฉันไม่รู้ค่ะ คุณลองไปถามคนอื่นดูนะค่ะ
เจียงซิ่วขมวดคิ้ว และหันหลังเดินจากไป
เมื่อเจียวซิ่วจากไป พนักงานราชการชายคนหนึ่งก็วิ่งออกมา : เขาบอกไหมว่า เขาเป็นใคร
ดูเหมือนจะชื่อว่าเจียงซิ่วค่ะ และยังบอกว่าตัวเองเป็นลูกชายของเจียงหยี่ด้วย
ใบหน้าของพนักงานราชการชายเปลี่ยนสีหน้า : เป็นเขาจริงๆเหรอ แย่เเล้ว ต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ เจียงหนานต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ๆ