Girl, I’ll Teach You Cultivation – ฉันจะสอนเธอบ่มเพาะเอง - ตอนที่ 343
ตอนที่ 343 อัปลักษณ์
ชายวัยกลางคนคนนี้คือผู้ดำรงตำแหน่งเลขาคนปัจจุบันของคุณเจียงเฉิงซู เขาแซ่เฉิง ผู้หญิงคนนี้ถามอย่างแปลกใจว่า : “เลขาเฉิงค่ะ เป็นอะไรไปค่ะ อะไรจะเกิดเรื่องใหญ่ค่ะ”
ขณะที่เลขาเฉิงกำลังบรรยายถึงความเลวร้ายอยู่นั้น พอคิดได้ขึ้นมาว่า ถึงพูดกับผู้หญิงเบื้องหน้า เธอก็ไม่เข้าใจ เพราะเธอไร้เดียงสาเกินไป จากนั้นเขาก็หันหลังและวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาต้องการนำเรื่องนี้ไปบอกหัวหน้าของเขา
“อะไรนะ? เจียงลั่วเซี่ยกลับมาแล้วหรอ? คุณดูผิดคนหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าเขาตายที่ฮ๋าชี่เมื่อหนึ่งกว่าปีที่แล้วหรอกหรอ?” เจียงเฉิ่ยซูเปลี่ยนสีหน้า ภายในใจเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้น
“เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน เขาเจอเจียงหยี่ที่บ้านแล้ว”
“นี่ก็หมายความว่า ตระกูลเจียงจะพลิกตัวกลับมา?” ใบหน้าของเจียงเฉิงซูเผยสีหน้าตกใจ ไม่เพียงแค่เมืองเฉิง แต่เกรงว่าทั้งเจียงน่านจะเกิดแผ่นดินใหญ่แล้ว
“ทำไหมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้ ไม่ใช่ว่าเขากอดอาวุธนิวเคลียร์ทะยานขึ้นฟ้าแล้วตายหรอกหรอ?”
สถานการณ์ในตอนนั้นถือว่ารุนแรงมาก มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ถึงแม้รัฐบาลของประเทศฮวาจะพยายามปกปิด แต่ก็ปิดไว้ไม่มิด ตอนแรกคนตระกูลเจียงต่างพากันคาดหวังว่าเจียงซิ่วจะกลับมาตัวเป็นๆโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ คนที่มองตระกูลเจียงเป็นศัตรูไม่มีใครกล้าลงมือ เมื่อเวลาผ่านไป เจียงซิ่วกลับไม่ปรากฏตัว ทำให้ผู้คนเริ่มหลงเชื่อว่า
เจียงลั่วเซี่ยตายแล้ว
รัฐบาลของประเทศฮวาจัดพิธีรำลึกแก่เจียวลั่วเซี่ย และมอบตำแหน่งทางทหารอันทรงเกียรติให้ อีกทั้งยังประกาศคุณงามความดีของเจียงลั่วเซี่ยด้วย แต่กลับไม่ได้ปกป้องตระกูลเจียง ทำให้ตระกูลเจียงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
อิทธิพลของตระกูลเจียง ในเจียงน่านมีความเจริญรุ่งเรืองมากถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนดั่งจรวดที่พุ่งขึ้น แต่ความเร็วการเสื่อมถอยลงก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนกัน เหมือนดั่งตึกขนาดใหญ่ทรุดตกลงมา
คนที่เจียงซิ่วล่วงเกินมีจำนวนมาก ต่อให้เจียงหยี่เป็นข้าราชการที่เมืองเจียงเฉิง ก็จะมีคนไม่ชอบเขาอยู่ดี และยังบีบกั้นเขาจนไม่สามารถเป็นข้าราชการได้ ซึ่งในจำนวนนั้นคือเจียงเฉิงซื่อซู๋เป็นคนบงการ เพราเขาเป็นคนออกปาก แต่คิดไม่ถึงว่าผ่านไปหนึ่งปี เจียงลั่วเซี่ยของตระกูลเจียงผู้ที่ถูกนานนามว่าเป็นคนที่มีอิทธิพลอันดับหนึ่งของประเทศฮวากลับมาอีกแล้ว
“ทำไงดี พวกเราจะโดน…”
“จะลุกลี้ลุกล้นทำไหม พวกเราก็แค่คนรับคำสั่ง ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นก็มีผู้ใหญ่คอยช่วยเหลือ”
ส่วนเวลานี้ เจียงซิ่วออกจากตึกหมายเลขสาม และสอบถามกับพนักงานองค์การเมืองบางคน ผลปรากฏว่าเจียงหยี่ลาออกแล้ว ส่วนตอนนี้อยู่ที่ไหน พวกเขาต่างก็ไม่รู้เหมือนกัน
ถามไปก็ไร้ประโยชน์ เจียงซิ่วไปบ้านตระกูลเฉิงต่อ
คืนฉลองปีใหม่เมื่อปีที่แล้วบ้าน เจียงซิ่วเคยไปบ้านตระกูลเฉิงมาแล้วหนึ่งครั้ง เลยยังจำได้ หลังจากมาถึงกำแพงรั้วหน้าบ้าน ทันใดนั้นก็เขาได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากข้างในบ้าน
“ถ้าจะบอกว่าตระกูลเฉิงของพวกเขายากลำบากนั้น ก็ต้องโทษเจ้าเด็กตระกูลเจียงคนนั้น”
นี่เป็นเสียงของซันเสี่ยวหง
เจียงซิ่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“คุณเจียง เรียกซะน่าเกรงขาม เขาไม่เคยเห็นหัวใครเลย ทั่วทั้งเจียงน่านถูกเขาควบคุมทั้งหมดเพียงคนเดียว ตอนนี้เป็นไงล่ะ ตายไปซะได้ก็ดี ทำให้พ่อตัวเองตกงาน ทำให้ตระกูลเฉิงของเราตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แม้แค่คฤหาสน์หลังนี้ยังถูกจำนำ คุณคิดดูเขาทำให้พวกเราสามคนกลับไปอยู่บ้านเก่าๆแบบนั้นหรอ”
เฉิงฮั่นหลินนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ร่างกายของเขาตอนนี้ฟื้นตัวดีขึ้นมาก และพูดว่า : “ตอนที่เสี่ยวซิ่วอยู่ คุณก็พลอยได้หน้าได้ตาด้วย ขนาดเจียงเฉิงซูเจอคุณยังก้มโค้งคำนับเลย แถมยังมีเพื่อนเป็นโยงมาประจบคุณอีก”
ซันเสี่ยวหงพูดว่า : “ตอนนี้ฉันตาสว่างแล้ว เจ้าเด็กนั้นเป็นเด็กน่าโง่ ไม่ทันได้เสพสุขความร่ำรวยของเขา ก็จะถูกเขาทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า ตายเสียได้ก็ดี”
“จำนำคฤหาสน์หลังนี้แล้ว จะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องบริษัทไหม?”
เฉิงฮั่นหลินถอนหายใจหนึ่งเฮือก : “ถ้าหากขายบ้านได้ก็คงไม่มีปัญหาแล้ว แต่ขายไม่ได้เพราะถูกบีบไม่ให้ขาย”
“จะบอกว่าจำนำคฤหาสน์ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอ เจียงซิ่วเจ้าเด็กนั้นเป็นตัวซวยจริงๆ ตระกูลเฉิงของฉันถูกเขาทำร้ายอย่างน่าอนาถ” ซันเสี่ยวหงนึกถึงวันที่ล้มละลาย ร้องไห้จนฟ้าดินจะถล่มทลาย
เจียงซิ่วเผยใบหน้าเสียใจ และฟังอยู่เงียบๆ
“ฉันว่านะ เราควรจะรีบแบ่งขอบเขตกับตระกูลเจียงให้ชัดเจนถึงจะถูก คนที่เจียงเฉิ่งบีบคั้นตระกูลเฉิงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะความสัมพันธ์ตระกูลเฉิงของพวกเรา เเต่เป็นเพราะไอ้ชั่วเจียงซิ่วเด็กนั้นต่างหาก
“เอาอย่างนี้ดีไหม พี่หยี่ก็เสียลูกชายไปแล้ว และตกงานราชการอีกด้วย พวกเรามาแบ่งขอบเขตกับพวกเขาให้ชัดเจนอีกครั้งดีไหม ก็แค่เลิกยุ่งเกี่ยวกับพวกเขาสองคนเท่านั้นเอง” เฉิงฮั่นหลินทนไว้ในใจ
ติ๊งต๋อง
ขณะพูด เสียงกระดิ่งประตูจากข้างนอกก็ดังขึ้น
“ใคร”
พวกเขาสองคนรู้สึกประหลาดใจ ปกติในบ้านมีแต่คนใช้ แต่ตอนนี้คนใช้ลาออกแล้ว ซันเสี่ยวหงกังวลว่าจะเป็นคนตามทวงหนี้ จึงให้เฉิงฮั่นหลิงออกไปเปิดประตูเป็นเพื่อนเธอด้วย
“ใคร”
เฉิงฮั่นหลินเปิดประตูบ้านและมองออกไป ทันใดนั้นเขาก็ตกใจ และนิ่งอึ้งไป ส่วนซันเสี่ยวหงก็เอามือปิดปาก เพราะไม่อยากเชื่อคนที่เห็นเบื้องหน้า
“ทำไหมหรอ หนึ่งปีกว่าไม่เจอ ไม่รู้จักผมแล้วหรอ”
น้ำเสียงแฝงด้วยความเย็นชา และยังแฝงการเสียดสี
“เธอ เธอ”
เฉิงฮั่นหลินตัวเริ่มตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น และพูดอะไรไม่ออก
เมื่อมองดูพบว่า เขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ใบหน้าหล่อเหลา และดวงตาเปล่งประกาย แสงสียามราตรีสะท้อนใบหน้าของชายหนุ่ม นั้นเป็นลูกเขยที่ตายเมื่อปีที่แล้วไม่ใช่หรอ
“เสี่ยว เสี่ยวซิ่ว”
ซูนเสี่ยงโฮงเปลี่ยนสีหน้าชั่วพริบตา : “เธอยังมีชีวิตอยู่ ลูกเขยของฉัน ดีดี” น้ำตาของเธอไหลออกมา เพราะเจียงซิ่วมีประสาทการฟังที่ดีล้ำเลิศ จึงสามารถได้ยินคำพูดของเธอตอนพูดในบ้าน ไม่เช่นนั้นเจียงซิ่วคิดว่าเธอคงคิดถึงตัวเองมากจริงๆ “ดีมากเลย คุณไม่อยู่ ในบ้านก็ดูไม่ได้เลย”
“คนพวกนั้น เธอต้องไม่ปล่อยพวกเขาง่ายๆนะ เธอไม่รู้หรอกว่าพวกเขากลั่นแกล้งเราอย่างน่าอนาถ”
เฉิงฮั่นหลินพูดว่า : “พูดเรื่องพวกนี้ทำไหม คนกลับมาแล้วก็ดีแล้ว เร็ว เข้าข้างไปข้างในกัน”
เจียงซิ่วส่ายหน้าและพูดว่า : “ไม่เข้าแล้ว ผมคงสั่งสอนพวกเขาไม่ได้ด้วย ถึงแม้จะรักษาชีวิตตัวเองได้ แต่ก็บาดเจ็บสาหัส พลังบ่มเพาะก็ไม่มีแล้ว อย่าว่าแต่มืออาชีพเลย ขนาดเด็กสามขวบ ผมยังสู้ไม่ได้เลย
“ห่ะ” ซันเสี่ยวหงเบิกตากว้าง แล้วประเมินเตียงซิ่วตั้งแต่หัวจรดเท้า และถามอย่างสงสัยว่า : “ทำไหมพลังบ่มเพาะถึงไม่มีแล้วล่ะ”
เจียงซิ่วพูดว่า : “เพื่อรักษาชีวิต เลยระเบิดเซิ่นหยวน”
“ผมมาเพื่ออยากสอบถามว่า พ่อแม่ของผมตอนนี้อยู่ไหน”
ซันเสี่ยวหงพูดว่า : “พ่อแม่ของคุณ พักอยู่ที่ถนนหยูนฮูแล้ว”
“อ๋อ”
พูดจบ เจียงซิ่วก็หันหลังจากไป แต่กลับเดินเป้ๆไม่คล่องแคล่ว เมื่อซันเสี่ยวหงเห็นเช่นนั้น ก็เผยสีหน้าแปลกใจ และสบตาเฉิงฮั่นหลิง เฉิงฮั่นหลินได้แต่ถอนหายใจ
สามารถมีชีวิตรอดจากการระเบิดของอาวุธนิวเคลียร์มาได้ ถือเป็นเรื่องไม่ง่ายแล้ว ถึงจะขาเป้แต่ก็ยังถือว่าโชคดี เขาเดาว่า หนึ่งปีมานี้เจียงซิ่วน่าจะพักฟื้นอาการบาดเจ็บสักที่ ตอนนี้ถึงกลับมาได้
“กลายเป็นคนไร้ค่า แถมยังขาเป้อีก สู้ตายไปเลยดีกว่า”
“ยังจะกลับมาทำไหมอีก”
เฉิงฮั่นหลินพูดว่า : “พี่หยี่กับพี่สะใภ้มีลูกชายเพียงคนเดียว ถึงจะพิการมีชีวิตกลับมา แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่”
“ถ้างั้นซู่ซู่ จะทำไงกับซู่ซู่ดีล่ะ ต่อให้ซู่ซู่ตายไป เธอก็หาคนใหม่ได้ เธอสวยหยาดเยิ้มขนาดนั้น แถมอายุยังน้อย ตอนนี้กลับต้องใช้ชีวิตกับคนไร้ค่าอย่างนี้หรอ”
เจียงซิ่วไปถึงถนนหยูนฮู่ ที่นี้ยังคึกคักเหมือนเดิม มีซุ่มขายของยามค่ำคืนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปิ้งย่าง ต้าพ่ายต่าง ไม่ไกลก็เห็นซุ่มขายผลไม้ที่คุ้นเคย และอีกหลายซุ่มขายของ
หลินเหย่วหลิงกำลังยุ่งอยู่กับสายในโทรศัพท์ เจียงหยี่ก็อยู่ข้างใน มองดูโทรทัศน์ขนาดเล็กไม่กี่นิ้วจากข้างบน ตอนนี้เป็นช่วงประกาศข่าว ทำให้เขาตั้งใจดูข่าวสถานการณ์ปัจจุบันมาก
เมื่อเงยหน้ามอง หลินเหย่วหลิงก็อึ้งชะงัก ใบหน้าของเธอซีดเซียว ใต้แสงไฟจากหลอดไฟห้าสิบวัตต์นั้น ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าวจนแดง เส้นผมทีร่วงลงมามีผมงอกจำนวนมาก การสูญเสียลูกชายเพียงคนเดียวของเธอทำให้เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวง แต่ชีวิตยังต้องเดินต่อไป แต่ตอนนี้เธอนิ่งอึ้งไป ขณะที่นิ่งอึ้งน้ำตาก็ร่วงลงมาจากดวงตาอย่างไม่ขาดส่าย
เธอจ้อมมองเจียวซิ่ว เหมือนกำลังฝันไป คงคิดว่าเป็นความรู้สึกหลอนแน่ๆ แต่สภาพที่เห็นเจียงซิ่วคือเดินเป้ๆมา “เสี่ยว เสี่ยวซิ่ว”
เมื่อเจียงหยี่ได้ยินก็กวาดตามองตามอง เมื่อมองเห็นเจียงซิ่วที่กำลังเดินมา เขาก็วิ่งกระโจนออกไป
“เสี่ยวซิ่ว เป็นลูกจริงๆหรอ”
“พ่อครับ แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว”ใบหน้าของเจียงซิ่วปรากฎรอยยิ้มจางๆ
“ลูกชาย”หลินเหย่วหลิงตะโกนเรียกอย่างเสียงดัง แล้วรีบมากอดเจียงซิ่ว ภายในใจเธออยากถามว่าขาไปโดนอะไรมา แต่แค่ลูกชายกลับมาแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว
“ยังไม่ตายจิงด้วย แม่บอกแล้วลูกไม่ตายหรอก เพราะแม่เป็นคนคลอดลูกมา ลูกตายหรือไม่ตายแม่รู้ดีที่สุด”
เจียงหยี่เป็นคนใจแข็ง แต่เวลานี้เขาอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
“กลับมาแล้วก็ดีแล้ว กลับมาแล้วก็ถือว่าดีแล้ว”
ข่าวการกลับมาของเจียงซิ่ว ได้แพร่กระจายทั่วทั้งเจียงเฉิ่งเร็วดั่งลมพัด มีทั้งคนชอบ และคนเป็นกังวล และยังมีคนตกใจกลัวด้วย
“ลูกซิ่ว หนึ่งปีมานี้ลูกไปอยู่ที่ไหนมา”
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น”
เจียงซิ่วพูดว่า :“ผมได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เลยต้องหาสถานที่เพื่อรักษาตัว”