God-level Store Manager เถ้าแก่ขั้นเทพ! - ตอนที่ 1163
ตอนที่ 1163
“เถ้าแก่ไปไหนหรือ?” กู่หยุนซีที่กำลังจะกลับ พบว่าโต๊ะกลางมีเพียงเหยาซือหยาน ตอนนี้จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ช่วงเช้าทั้งนางและเจียงเหวิ่นฉางพบเจอตั๋วภารกิจของโหมดทั่วไป รางวัลที่ได้คือระยะเวลาใช้งานเครื่องเล่นเกมเสมือนจริงอย่างยาวนาน
หรือก็คือตราบเท่าที่มีโชคมากพอ คิดดื่มด่ำไปกับโลกเสมือนจริงทั้งวันนั้นมีความเป็นไปได้
น่าเสียดายที่ลูกค้าหลายคนมักได้รับรางวัลแค่ระดับทั่วไป และหลายคนก็เลือกที่จะพอใจกับการเล่นสี่ชั่วโมงต่อวัน
“เถ้าแก่ไปใช้เครื่องเล่นเกมเสมือนจริงแล้ว มีธุระอะไรหรือเปล่า?” เหยาซือหยานตอบคำถามกู่หยุนซี
“ไม่มีอะไร แค่สงสัยว่าทำไมเถ้าแก่ไม่อยู่” กู่หยุนซีตอบรับอย่างเขินอายเล็กน้อย
“กล่าวไป พวกเจ้าได้เข้าร่วมการแข่งขันหรือไม่?” เหยาซือหยานเผยยิ้มเอ่ยถาม
“แข่งขัน? พี่ซือหยานหมายถึงการแข่งโกะสินะ” กู่หยุนซีเผยสีหน้าเข้าใจ “โกะออกจะน่าเบื่อเกินไป ข้าไม่เข้าร่วมแน่นอนอยู่แล้ว”
เหล่าศิษย์ของสี่สถาบันต่างก็คิดเห็นเช่นเดียวกันนี้ เพราะมันน่าเบื่อเกินไป ไม่ใช่ทุกคนจะมีความอดทนนั่งเงียบงันเล่นหมากกระดานเป็นชั่วโมงได้
“ข้าก็คิดว่าค่อนข้างน่าเบื่อ” เจียงเหวิ่นฉางเข้าร่วมบทสนทนา “สอบถามเพื่อนหลายคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน กว่าจะจบกระดานหนึ่งต้องใช้เวลายาวนานไม่น้อย”
จากที่นางคาดเดา แต่ละกระดานก็ต้องใช้เวลายาวนานระดับหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป
เหยาซือหยานยิ้มรับก่อนจะมองไปนอกร้าน ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คำกล่าวออก “มืดอีกแล้ว ไฉนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วนัก”
“ทุกวันก็เป็นเช่นนี้ พี่ซือหยาน พวกเราขอตัวก่อน” กู่หยุนซียิ้มตอบก่อนจะกล่าวลาและเดินหายกลางสายฝนไปกับเจียงเหวิ่นฉาง
ตอนนี้ใกล้หมดเวลาทำการของร้าน กลุ่มลูกค้าภายในร้านก็เริ่มกลับกันไปคนแล้วคนเล่า ความคึกคักที่อยู่ในร้านก็เลือนหายตาม
“พี่หญิง มื้อเย็นนี้ทำอะไรหรือ?” เหยาซือเย่ว์เดินเข้ามาเอ่ยถาม
“ยังไม่ได้คิด มีอะไรแนะนำล่ะ?” เหยาซือหยานพบเห็นความหมายในคำถามของนาง
“ข้าพบเจออาหารน่าสนใจในหลักสูตรทำอาหารเข้าให้ พี่หญิงลองทำดู เถ้าแก่น่าจะต้องชอบแน่” เหยาซือเย่ว์นำเสนอ
ลั่วฉวนยังคงเดินเตร่ไปทั่วอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายค่อยนึกถึงหน้ากากที่โยนทิ้งไว้ในร้านก่อนจะออกมา ตอนนี้จึงตัดสินใจกลับไปดู
พิจารณาจากท่าทีอีกฝ่ายที่นำออกมา มันน่าจะเป็นวัตถุที่ทำอะไรบางอย่างได้ ทั้งยังมีออร่าประหลาดลอยฟุ้งจากมัน
ลั่วฉวนไม่ได้ขาดแคลนเงิน ดังนั้นขึ้นโดยสารรถเวทมนตร์อันหรูหราและนั่งเดินทาง ขณะก้าวเท้าขึ้นไปก็ตกเป็นเป้าสายตาริษยาของเหล่าคนสัญจร
“คุณลูกค้าไปที่ไหนดีครับ?” ชายวัยกลางคนที่ทำหน้าที่ขับรถเวทมนตร์เอ่ยคำถาม อีกฝ่ายสวมใส่ชุดเครื่องแบบเรียบร้อยพร้อมรอยยิ้มการค้ามืออาชีพ
“อืม…” ลั่วฉวนชะงัก เขาค่อยได้ตระหนักว่าบริเวณที่ร้านกาแฟตั้งนั้นไม่ทราบอยู่ตรงใดของเซ็นน่า “เดี๋ยวผมบอกทางให้”
รถเวทมนตร์ชะลอความเร็ว หยุดและส่ง หลังจ่ายค่าโดยสารเรียบร้อย ลั่วฉวนค่อยผลักประตูปิด อากาศภายนอกยังคงมีกลิ่นดอกไม้ลอยมาแม้อยู่ไกลห่างเช่นที่นี่
หลังเดินผ่านถนนหลายสาย สภาพแวดล้อมก็เริ่มเงียบเหงาอีกครั้ง หลังผลักเปิดประตูสีแดง ลั่วฉวนค่อยเดินกลับเข้าร้าน
คิเมร่ายังคงนอนกับพื้น คล้ายไม่สนใจว่าเวลาผันผ่านเพียงใด ที่ลืมตาก็เพราะมองลั่วฉวนซึ่งเดินเข้าร้านมา แต่ไม่ช้าดวงตานั้นก็หลับลงต่อ
จากภายนอกของร่างคิเมร่า มันปรากฏชั้นแสงสว่างปกคลุมจนทำให้ยากมองเห็น ตามที่ลั่วฉวนคาดเดา มันสมควรเป็นการย่อยพลังงานของผลึกโลหิต
ด้วยหันสายตามองทางโซฟา หน้ากากประหลาดสีดำถูกวางเอาไว้อย่างเงียบงัน มันไม่เปลี่ยนจากตอนเขาทิ้งมันไว้ในร้านแม้แต่น้อย
ลั่วฉวนนั่งลงที่โซฟา หยิบหน้ากากขึ้นถือ พื้นผิวภายนอกของมันค่อนข้างสากราวเปลือกไม้
หรือจะ… ลองใส่?
ด้วยความสงสัย ลั่วฉวนใส่หน้ากากเข้ากับใบหน้าพร้อมมองออกไปผ่านสองรูที่เป็นเบ้าตา แน่นอนว่าการสวมใส่ครั้งนี้เป็นเขาตัดสินใจเอง ไม่ใช่ถูกชักนำ
บริเวณดวงตาของหน้ากากไม่สัมพันธ์จนไม่อาจมองเห็น ที่จะได้เห็นคือลายเส้นสีแดงบนหน้ากากประหนึ่งมีชีวิต ทั้งยังมีหมอกสีดำลอยออกมา
เท่าที่ลั่วฉวนรับรู้ได้ เขาพบถึงความเปลี่ยนแปลงทางจิต ภาพฉากทางหน้าแปรเปลี่ยน จิตสำนึกอันไม่คุ้นเคยราวกำลังถูกเข้าแทนที่
ในความรู้สึกของลั่วฉวน มันคล้ายไปรับชมภาพยนตร์เสมือนจริงที่ราวกับปรากฏตรงหน้า ทั้งยังมีกลิ่นเลือด
ร้านกาแฟถูกแทนที่ด้วยห้วงอวกาศอันโกลาหล โดดเดี่ยว และไม่ทราบว่าซุกซ่อนเอาความคลุ้มคลั่งเพียงใดไว้
มีเพียงความนุ่มจากโซฟาที่นั่งอยู่จึงตระหนักให้ลั่วฉวนทราบว่ายังอยู่ที่ร้านกาแฟ เหล่านี้มากพอแสดงให้เห็น ว่าสิ่งที่ได้เห็นผ่านหน้ากากมีความสมจริงในระดับชวนสะพรึงเช่นไร
ราวกับตระหนักถึงลั่วฉวนได้ หมอกสีดำที่ราวกับดูว่างเปล่า ร่างเงาอันบริสุทธิ์ของความมืด เสียงพูดคุยมากมายไปมาเริ่มดังขึ้น
หากเป็นนักเวทได้ยินถ้อยคำเหล่านี้คงตื่นเต้นยินดี เพราะมันคือการได้เข้าใจถึงศาสตร์ต้องห้าม ขณะเดียวกันก็ยังเสริมความรู้แก่พวกเขาจนอาจทำให้เกิดสภาวะคลุ้มคลั่ง นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายกับการยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์ต้องห้าม
เสียงจิตพึมพำในโสดประสาทลั่วฉวน มันกลายเป็นเสียงรบกวนที่ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ไม่ดี
“น่ารำคาญจริง” ลั่วฉวนขมวดคิ้ว
ผลจากถ้อยคำที่เอ่ยออกไปประหนึ่งเป็นคำสั่ง หมอกสีดำที่คั่นกลางระหว่างหน้ากากกับผู้สวมใส่ ฉับพลันพวกมันเผยความรุนแรง เสียงกรีดร้องแหบพร่าถูกเข้าแทนที่เสียงพึมพำ
เมื่อหมอกสีดำเริ่มเลือนหาย ตัวตนที่ถูกปกคลุมไว้ค่อยเผยรูปโฉมที่แท้จริง มันเปรียบดังเมฆสีดำที่กำลังยืดหดราวกับตามจังหวะหายใจ
กลุ่มเมฆปรากฏ ออร่าแห่งความบิดเบี้ยวเริ่มกระจายทั่วทั้งห้วงจักรวาล แสงสว่างและความมืดกลืนกินกันเอง แสงประกายที่ราวกับสายฟ้าเริ่มสว่างวูบวาบ
ลั่วฉวนเกิดสงสัย ภาพเช่นนี้เขาไม่เคยได้เห็นมาก่อน
พิจารณาจากสภาพที่เห็น เมฆประหลาดที่อยู่ตรงหน้า มันสมควรเป็นตัวตนหนึ่งในห้วงจักรวาล และออกจะไม่ค่อยเป็นมิตร
ขณะเดียวกันนี้เองที่ความคิดหนึ่งปรากฏขึ้น ตัวตนนี้มันอาจเกินกว่าสามัญสำนึก บางทีมันอาจเป็นสิ่งที่ถูกเรียกขานว่าเทพผู้สร้างโลก
หรือพูดให้ถูกคือเทพมารที่ไม่ทราบว่าอยู่ฝ่ายดำหรือขาวกันแน่
ในใจเขาตอนนี้สอบถามระบบถึงตัวตนที่ได้เห็น คำตอบอันแม่นยำจากระบบตอบกลับมาว่า “มันคือสภาวะต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์แห่งห้วงจักรวาล ที่ถือครองความสามารถในการสื่อสาร”
ขณะลั่วฉวนครุ่นคิดว่าจะทำยังไงกับมันดี แสงสว่างที่ราวกับรยางค์ฉับพลันยืดยาวปรากฏออกจากเมฆสีดำ
ด้วยความลังเล ราวกับหวาดเกรง หลังขัดแย้งกันเองหลายครั้ง พวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ลั่วฉวน
มันไม่ใช่การยืดรยางค์เข้าหาตามสามัญสำนึกทั่วไป แต่มันราวกับเป็นห้วงอวกาศที่ขยายตัวเข้าหา หรือกล่าวให้ถูก มันคือมิติอันโกลาหลที่กฎสามัญสำนึกทั้งหลายบิดเบี้ยว
หากปล่อยให้มันสัมผัสตัวเองจะเกิดอะไรขึ้น?