God-level Store Manager เถ้าแก่ขั้นเทพ! - ตอนที่ 1099
ตอนที่ 1099
ทั้งลั่วฉวนแหละเหยาซือหยานต่างเดินเคียงข้างกันเลียบหาดไปเรื่อย เสียงของคลื่นกระทบกับหาดทรายดังปรากฏตลอดทาง สายลมเย็นจากโพ้นทะเลพัดผ่านไม่มีเว้นช่วง เป็นบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์
นกทะเลสีขาวจำนวนมากในช่วงกลางวันเลือนหายหมดสิ้น พวกมันน่าจะกลับรังไปพัก
ท้องทะเลดำมืดได้เปล่งประกายรับกับแสงดาวบนฟากฟ้า รวมถึงสองดวงจันทร์สุกสว่างก็เช่นกัน มันเป็นภาพอันยิ่งใหญ่ที่มากพอจะทำให้ผู้รับชมเกิดรู้สึกตัวเล็กจ้อย
เมื่อครู่เหยาซือหยานคิดอยากไปเดินบนชายหาด แม้เดินทางท่องไปมาในทวีปเทียนหลันยาวนาน นี่ก็เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นชายหาด
แสงจากภัตตาคารชายหาดศิลาทมิฬทางด้านหลังเริ่มกลับเป็นจุดแสงขนาดเล็ก รอบด้านนี้ไร้ซึ่งผู้คน จะมีก็เพียงเสียงของสายลมและคลื่น
แสงจันทร์ค่อนข้างสว่างเปล่งประกายสาดส่องลงมา ชายหาดยามนี้มีเพียงรอยเท้าคนทั้งสองที่ฝากทิ้งไว้เบื้องหลัง
เหยาซือหยานถอดรองเท้า เท้าเปล่าเหยียบย่ำลงกับพื้นทราย รับรู้ถึงฟองคลื่นที่ซัดเข้าหาเบาบาง นางหัวเราะยินดีออกมา
ลั่วฉวนอารมณ์ดีไม่แพ้กัน หลายครั้งที่เขาเป็นฝ่ายชักชวนเหยาซือหยานพูดคุยก่อน
“เถ้าแก่ ทางด้านนี้เหมือนจะมีอะไร” เหยาซือหยานหยุดลงก่อนจะชี้พุ่มไม้ไม่ไกลห่าง
บริเวณที่ทั้งสองอยู่ตอนนี้ค่อนข้างไกลห่าง แสงจากเมืองแทบไม่ต่างกับแสงจากหิ่งห้อย ตามบริเวณชายหาดจะมีพุ่มไม้เติบโตอยู่บ้างประปราย เหล่านี้คือพืชต่างโลกที่เติบโตได้บนพื้นทราย
ลั่วฉวนมองไปยังตรงที่เหยาซือหยานชี้บอก เขาได้เห็นพุ่มไม้ที่ดูค่อนข้างมืดหม่นเพราะแสงไฟแทบไม่อาจส่องถึง มันคล้ายจะมีสิ่งมีชีวิตซ่อนตัวอยู่จริง
“อาจจะเป็นสัตว์แถวนี้ก็ได้” ลั่วฉวนไม่คิดใส่ใจมากนัก
“เถ้าแก่ ขอข้าไปดูหน่อย” เหยาซือหยานเผยอาการตื่นเต้น สัตว์ของต่างโลก และเพราะมีลั่วฉวนคอยอยู่ข้างกาย นางจึงสามารถแสดงด้านที่มีชีวิตชีวาเช่นนี้ออกมา
ลั่วฉวนรั้งแขนนางเอาไว้ขณะถึงตรงหน้าพุ่มไม้ มันมีสัญญาณของชีวิตคงอยู่จริง
เหยาซือหยานนั่งยองลงและจับจ้องพุ่มไม้ ไม่ช้าดวงตาคู่หนึ่งจึงเผยปรากฏสุกสว่างในความมืดตรงหน้า
เพราะค่อนข้างหม่นแสง ลั่วฉวนจึงได้เห็นโดยคร่าวว่าเป็นสัตว์ตัวขนาดราวฝ่ามือ มีแขนขา และร่างกำลังสั่นเทา
ด้วยความสงสัย เหยาซือหยานยื่นมือเข้าไปในด้านในพุ่มพร้อมกอดสัตว์ร่างน้อยเอาไว้ แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้ลั่วฉวนได้เห็น
ขนสีขาวเทา ดวงตาสุกสว่างได้ในความมืด แขนขางดงามและแข็งแกร่ง ฟันอันแหลมคมที่ราวกับเพิ่งงอกขึ้นมา…
“คิเมร่า?!” ลั่วฉวนร้องโพล่งออกมา
“หือ? เจ้าตัวนี้นามว่าคิเมร่า?” เหยาซือหยานยกสัตว์ร่างน้อยขึ้นมาพิจารณาให้ชัดเจนมากขึ้น “น่ารักไม่น้อย พาไปด้วยได้ไหมเถ้าแก่?”
ลั่วฉวนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นคิเมร่าที่นี่ อีกทั้งยังไม่ทราบว่าเหตุใดคิเมร่ากลายเป็นสัตว์อ่อนแอในต่างโลกเช่นนี้
“หากชอบ พาไปด้วยก็ได้” ลั่วฉวนมองคิเมร่าด้วยสายตาแปลกออกไป… แค่ก เอาเป็นว่ามันคือแมวก็แล้วกัน “แต่มัน…”
“มันอะไรหรือ?” เหยาซือหยานมองลั่วฉวนด้วยความสงสัย นางไม่ทราบว่าเหตุใดเขาจึงกล่าวค้างไว้แค่ครึ่งทาง
“ช่างมัน ไม่มีอะไร” ลั่วฉวนหัวเราะตอบ “เรียกมันว่าคิเมร่าก็แล้วกัน”
ตอนนี้มีทั้งราชาปีศาจ ทูตอัคคีทมิฬ และคิเมร่าที่มาอยู่พร้อมหน้ากัน หากจะมีมังกรออกมาช่วยเติมเต็มความเป็นโลกแห่งเวทมนตร์คงดีไม่น้อย แค่กแค่ก…
“คิเมร่า?” เหยาซือหยานแอบบันทึกภาพรอยยิ้มของลั่วฉวนไว้ด้วยความสามารถถ่ายภาพของเครื่องเล่นเกมเสมือนจริง จากนั้นจึงวางแมวน้อยสีเทาลง “แม้ฟังดูแปลก แต่ตอนนี้เป็นนามเจ้าแล้ว!”
สัตว์น้อยตอบสนองคำของเหยาซือหยาน มันร้องเหมียวดังออกมาราวกับเป็นการยอมรับชื่อนั้น
เพราะได้สัตว์เลี้ยงใหม่ เหยาซือหยานจึงอารมณ์ค่อนข้างดี และทันใดนี้ที่นางเกิดคำถามขึ้น “เถ้าแก่ คิเมร่านี้พาไปที่ทวีปเทียนหลันได้หรือไม่?”
ในความเห็นของลั่วฉวน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างสองโลกที่แตกต่าง มันแตกต่างจากการคัดลอกโครงสร้างร่างกายของเครื่องเล่นเกมเสมือนจริง
“ระบบ” ลั่วฉวนเรียกระบบที่เงียบหายไปนานขึ้นมา
“ทำได้” ระบบให้คำตอบที่ชัดเจนออกมา
ทำได้? ถือว่าผิดคาดจากคำตอบที่ลั่วฉวนคิดเอาไว้
“แต่เพราะเสถียรภาพที่แตกต่างระหว่างสองโลกและระดับความละเอียดของสองโลก มันอาจต้องใช้เวลาสักระยะ” ระบบกล่าวเสริม
อืม อย่างนี้ค่อยเหมือนที่คิดไว้ตอนแรกขึ้นมาหน่อย
“หรือก็คือยังไม่ใช่ตอนนี้?” ลั่วฉวนถามกลับ
“ถูกต้อง” ระบบตอบกลับมา
จากนั้นบทสนทนาจึงจบลง ระบบกลับคืนสภาวะหลับไปอีกครั้งหนึ่ง
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” ลั่วฉวนส่ายศีรษะ
“เหมือนว่าจะต้องเลี้ยงไว้ในร้านกาแฟไปก่อนสินะ” เหยาซือหยานที่คาดหวังถอนหายใจออกมาเสียงเบาพลางลูบหัวคิเมร่า
เพราะเจอคิเมร่า หลังเดินเลียบหาดอีกครู่หนึ่งทั้งสองค่อยตัดสินใจกลับไปยังร้านกาแฟ
ตอนนี้ก็ค่อนข้างดึกแล้ว แต่รถรางในเมืองยังคงทำงาน แม้ว่าจะมีผู้โดยสารไม่มาก
เพราะลั่วฉวนกับเหยาซือหยานขึ้นมา ผู้โดยสารอื่นจึงเผยยิ้มแย้มกัน
“พี่สาว นั่นสัตว์เลี้ยงอะไรกัน?” เด็กสาวเข้ามาสอบถามด้วยความสงสัยต่อคิเมร่าที่เหยาซือหยานกำลังอุ้ม
“คิเมร่า” เหยาซือหยานลูบหัวมันพลางยื่นให้ “ลองลูบดูไหม?”
จากนั้นในรถรางเวทมนตร์จึงครื้นเครงขึ้นมา ลั่วฉวนหาววอดใหญ่ และก็สมกับเป็นเด็ก คงมีแต่เด็กที่ไร้ความระแวงต่ออันตรายรอบด้าน
ตามถนนมีผู้คนสัญจรบางตาลงมาก รถรางเวทมนตร์ทำงานของมันไป หลังผ่านไปราวสิบนาทีทั้งสองจึงมาถึงจุดที่ขึ้นรถรางก่อนหน้านี้
หลังเดินผ่านถนนหลายสาย สุดท้ายกลับมาถึงร้านกาแฟ ลั่วฉวนเกิดความคิดขึ้นมา ว่าตนต้องการรถเวทมนตร์เพื่อใช้แทนการเดิน
เมื่อผลักเปิดประตูร้านสีแดงเข้าไป ไฟด้านในส่องสว่างขึ้น ลั่วฉวนที่อยากผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ตอนนี้จึงไปเอนกายกับโซฟานุ่ม
เหยาซือหยานวางคิเมร่าลงกับพื้น ถัดจากนั้นจึงสำรวจมองรอบ เพราะนางยังไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่
“เถ้าแก่ กาแฟสักแก้วไหม?” เหยาซือหยานเอ่ยถามขึ้นมา นางได้เห็นวิธีการที่ลั่วฉวนชงกาแฟก่อนหน้านี้แล้ว นางเวลานี้เข้าใจวิธีการทำอย่างครบถ้วน
“กาแฟหรือ? ดี” ลั่วฉวนพยักหน้ารับ เพราะว่างเล็กน้อยจึงกางม่านแสงขึ้นมาเพื่อเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด
ลั่วฉวนไม่ได้กำหนดค่าให้เห็นม่านแสงเพียงคนเดียว ดังนั้นเหยาซือหยานที่มองมาด้วยความสงสัยจึงได้เห็น ว่าเถ้าแก่กำลังเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดอยู่
ไม่กี่นาทีถัดจากนั้น กลิ่นหอมของกาแฟค่อยลอยฟุ้งภายในร้าน และกลิ่นของมันละมุนยิ่งกว่าครั้งที่ลั่วฉวนเป็นคนชง
“ได้แล้วเถ้าแก่” เหยาซือหยานส่งแก้วกาแฟให้ลั่วฉวน จากนั้นจึงเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมแก้วของตัวนางเอง
ลั่วฉวนรับไว้ก่อนจะยกขึ้นจิบไปเล็กน้อยเพราะค่อนข้างร้อน เป็นของดี ไม่เพียงแต่กลิ่น รสชาติก็ยังดีกว่าที่เขาทำ